May 5, 2024   5:31:44 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
 

U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
วันที่: 07/06/2006 @ 08:21:55
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เงินเฟ้อชี้ขาดอาร์พี เชื่อวันนี้ขึ้นอีก.25%
Source - ข่าวหุ้น
Wednesday, 07 June 2006

ผู้ว่าแบงก์ชาติยันประชุมกนง.วันนี้ไม่มีการเมืองกดดัน เชื่อกรรมการทุกคนมีความเห็นใกล้เคียงกัน บอกเป็นนัยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นบวกเดือนก.ย.นี้ ระบุครึ่งปีหลัง FDI ไหลเข้าหลังการเมืองคลี่คลาย ด้านนักวิเคราะห์ฟันธงอาร์พีขึ้นอีก 0.25% แต่ไม่กระทบลงทุน ส่วนตลาดหุ้นไทยยังทรุดต่อ 11 จุด เหตุเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยปลายเดือนนี้
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลให้อิสระกับแบงก์ชาติในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและเชื่อว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในวันนี้(7 มิ.ย.)คณะกรรมการส่วนใหญ่น่าจะมีความเห็นไม่ต่างกันมากนัก นอกจากนั้นมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะเริ่มเป็นบวกได้ในเดือนก.ย.นี้ ขณะที่การเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อจะเริ่มชะลอลงในเดือนก.ค.นี้ เนื่องจากฐานในเดือนก.ค.ปีก่อนเริ่มใกล้เคียงกันซึ่งเป็นช่วงของการลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล
ทั้งนี้ ในส่วนของเศรษฐกิจไทยจะยังคงยืดหยุ่นและขยายตัวได้ เนื่องจากการส่งออกยังขยายตัว ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมยังสามารถรองรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แต่สิ่งที่ต้องจับตาคือปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่คาดว่าจะทรงตัวในระดับสูงต่อไปอีก 1เดือน
อย่างไรก็ตามปัญหาที่ต้องรับมือในขณะนี้มีเรื่องเดียวคือกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าออกเร็ว โดยแบงก์ชาติคาดว่าถ้าหากการเมืองในประเทศสงบลงก็น่าจะทำให้เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI)ไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้น จากที่ยังอั้นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงและต้องเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ที่ช่วงครึ่งปีหลังอาจมีการไหลเข้าออกของเงินทุนที่รุนแรงกว่าในปีที่ผ่านมา
โดยจะสังเกตได้จากเหตการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ที่มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามามาก ในตลาดหุ้น ตราสารหนี้ และตราสารทุนและเกิดความผันผวนระยะสั้น ดังนั้นแบงก์ชาติจึงเตรียมความพร้อมรับสถานการ์ด้วยการรักษาทุนสำรองระหว่างประเทศไว้ให้มากที่สุด อย่างไรก็ตามขณะนี้แบงก์ชาติยังไม่พบการไหลออกของเงินทุนที่ผิดปกติ
ด้านนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ยากที่จะคาดการณ์ว่าวันนี้แบงก์ชาติจะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ แต่มองว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจส่งผลให้การลงทุนและการบริโภคชะลอตัวลงกว่านี้ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในขณะนี้เริ่มใกล้จะเป็นบวกแล้ว ดังนั้นถ้าแบงก์ชาติจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยก็คงไม่เป็นไร
ด้านฝ่ายวิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) ระบุว่า มีความเป็นไปได้มากที่กนง.จะให้น้ำหนักด้านการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากว่าด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอัตรา 0.25% ในการประชุมวันนี้จากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังมีอยู่มากอันเนื่องมาจากราคาน้ำมัน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นเป็นครั้งที่ 17 สู่ระดับ 5.25% จาก 5% ในการประชุมปลายเดือนนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าถึง 0.6% สูงสุดในรอบ 3เดือน และเพิ่มขึ้นถึง 3.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า วันนี้แบงก์ชาติน่าจะปรับดอกเบี้ยอาร์พีขึ้นอีก 0.25% ขึ้นไปที่ระดับ 5% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนพ.ค.ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 6.2% จากเดือนเม.ย.ที่อยู่ในระดับ 6% นอกจากนี้มีความเป็นไปได้ว่าเฟดจะขึ้นอีกรอบในช่วงปลายเดือนนี้ อย่างไรก็ตามคาดว่าดอกเบี้ยเฟดน่าจะปรับขึ้นไปได้สูงสุดที่ระดับ 5.5% แต่ก็ไม่จำเป็นว่าดอกเบี้ยอาร์พีในประเทศจะต้องปรับขึ้นตามนั้น
ทั้งนี้ เชื่อว่าหากแบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยในวันนี้ไม่น่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นมากนัก เนื่องจากตลาดได้ปรับตัวลงเพื่อรับข่าวไปแล้วในช่วง 2 วันที่ผ่านมา โดยหุ้นลงมาประมาณ 20จุด หรือประมาณ 3% ขณะที่ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาหุ้นไทยลดลงถึงประมาณ 80 จุด หรือประมาณ 10% อย่างไรก็ตามภาวะการลงทุนในตลาดช่วงนี้จะยังคงผันผวนและกังวลกับเรื่องเงินเฟ้อ และราคาน้ำมัน ทั้งนี้ในทางเทคนิคคาดว่าดัชนีจะยังแกว่งตัวแต่จะไม่หลุดระดับ 700 จุด
ด้านภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้(6 มิ.ย.)ดัชนีปรับตัวลดลงแรง 11.18 จุดปิดที่ 702.04 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 10,350.54 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ1,267.42 ล้านบาท รายย่อยซื้อสุทธิ 1,344.46 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ77.04 ล้านบาท
ทั้งนี้ สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยลดลงเป็นเพราะล่าสุด นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ออกมาส่งสัญญาณว่าอาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก โดยระบุว่าเฟดจำเป็นที่จะต้องเฝ้าระวังเรื่องของอัตราเงินเฟ้อว่าสามารถควบคุมได้ถึงแม้เศรษฐกิจเริ่มที่จะชะลอตัวแล้วก็ตาม โดยตลาดการเงินมองว่าถ้อยแถลงนี้เป็นการบ่งชี้ว่าเฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมปลายเดือนนี้
นอกจากนี้เบอร์นันเก้ยังระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการกำหนดนโยบายทางการเงินจึงจำเป็นต้องกระทำด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง และต้องใส่ใจเป็นอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มของเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากความเปลี่ยนแปลงในระยะนี้จะเห็นว่าต้องจับตาในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อเป็นพิเศษ

 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#1 วันที่: 07/06/2006 @ 08:25:03 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
ต่างชาติโยกซื้อพันธบัตร คาดดัชนีทดสอบ 700จุด ฟันธง ธปท.ขึ้น ดบ.0.25%
Source - กระแสหุ้น
Wednesday, 07 June 2006

ต่างชาติขายหุ้นต่อเนื่อง ตามตลาดหุ้นต่างประเทศขาลง โบรกฯยอมรับเม็ดเงินต่างชาติไหลไปสู่ตลาดพันธบัตร ส่วนแนวโน้มดัชนีหุ้นแกว่งตัวลง ทดสอบ 700 จุด อีกรอบ จับตาผลประชุม กนง.คาดตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25%
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บรรยากาศการลงทุนวานนี้ (6 มิ.ย.) โดยภาพรวมยังคงชะลอตัว โดยแรงขายยังคงมาจากนักลงทุนต่างชาติ ฉุดดัชนีหุ้นดิ่งลงมาแรง แต่ยังไม่หลุด 700 จุด โดยมีแรงเก็งกำไร จากรายย่อยเป็นระยะ ก่อนดัชนีลงมาปิดที่ระดับ 702.04 จุด ลดลง 11.18 จุด คิดเป็น 1.57% มูลค่าการซื้อขายรวม 10,350.54 ล้านบาท ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,267.42 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 77.04 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,344.45 ล้านบาท
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ค่อนข้างที่จะมีความผันผวน และไม่ค่อยสดใสเท่าที่ควร เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทั้งภายในประเทศ และปัจจัยต่างประเทศเข้ามากระทบ สำหรับปัจจัยภายในประเทศ คือ ผลกระทบจากปัจจัยทางการเมืองที่ยังไม่นิ่งและยังไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง ส่วนปัจจัยภายนอกคือ ประเด็นเรื่องของเม็ดเงินที่ยังคงไหลออกไปลงทุนในตลาดพันธบัตรแทน ซึ่งให้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยยังคงมีความน่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากมีพีอีต่ำอยู่ที่ประมาณ 9 เท่า ในขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคมีพีอีอยู่ที่ 13-18 เท่า
ประเมินแนวโน้มแกว่งตัวลง
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด หรือ SYRUS ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้น (7 มิ.ย.) ว่า ทิศทางยังคงเป็นไปตามกระแสของตลาดต่างประเทศ ด้วยแรงกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประเมินแนวรับที่ 696-698 จุด แนวต้านที่ 705-710 จุด เรายังคงอิงตลาดต่างประเทศอยู่ จากอัตราเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยที่น่าจะปรับขึ้นต่อเนื่อง โดยน่าจะเป็นทั้งภูมิภาคไม่ใช่เฉพาะแต่ในประเทศไทย จะส่งผลกระทบต่อตลาดทั่วโลก สำหรับปัจจัยในประเทศยังไม่มีอะไรเด่นที่จะทำให้ตลาดปรับตัวตามได้ แม้แต่เรื่องการเมืองที่ยังคงต้องรอรัฐบาลใหม่ต่อไป ส่วนนักลงทุนต่างประเทศยังมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ขอแนะนำว่า นักลงทุนควรรอจังหวะตลาดลง แล้วเลือกหุ้นเข้าซื้อ โดยเลี่ยงหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากหุ้นขนาดใหญ่ส่วนมากจะผูกพันกับตลาด แต่น่าจะเลือกหุ้นขนาดกลาง ที่ผลกำไรยังพอมี Growth อยู่บ้าง และเลือกหุ้นที่กระทบจากอัตราเงินเฟ้อไม่มาก
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ แนวโน้มหากดัชนีตกไม่ต่ำกว่า 700 จุด ก็ยังมีลุ้นดีดกลับไปยัง 725-730 จุดได้ แต่หากต่ำกว่า 700 จุด จะมีแนวรับเก็งกำไรที่ 690-680 จุด
BAYคาดธปท.ปรับขึ้นดอกเบี้ย
ฝ่ายวิจัย บมจ.กรุงศรีอยุธยา ประเมินว่า ประเด็นที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 7 มิถุนายนนี้กำลังเป็นที่สนใจกันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีมุมมองเป็น 2 ทาง โดยหากพิจารณาด้านการเติบโตของเศรษฐกิจ การปรับเพิ่มดอกเบี้ยต่อไปอาจส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวทั้งด้านการบริโภคและการลงทุน เพิ่มภาระของผู้ประกอบการทั้งจากราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาด้านเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมที่ยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งที่ระดับ 6.2% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับสูงขึ้นเกินคาด ยังเป็นปัจจัยท้าทายการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ที่มีเป้าหมายหลักมุ่งเน้นรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
มองว่ามีความเป็นไปได้มากที่ กนง. จะให้น้ำหนักด้านการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากกว่าด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตรา 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ จากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังมีอยู่มาก อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันแพง ผนวกกับราคาสินค้าหลายรายการที่ทางการควบคุมอยู่มีแนวโน้มปรับเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยต่างประเทศที่สำคัญๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น รวมถึง ECB มีโอกาสจะปรับเพิ่มดอกเบี้ยในวันที่ 8 มิถุนายนที่จะถึงนี้ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาอัตราเงินเฟ้อในประเทศเฉลี่ย 5 เดือนแรกของปีอยู่ที่ระดับ 5.9% โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคมอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 6.2% เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่วนในครึ่งปีหลังอัตราเงินเฟ้อแม้จะมีแนวโน้มชะลอลง
ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย FED Funds Rate ของสหรัฐฯในการประชุมวันที่ 28-29 มิถุนายนที่จะถึงนี้ คาดว่า FED มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นเป็นครั้งที่ 17 สู่ระดับ 5.25% จาก 5.00% ในปัจจุบัน
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#2 วันที่: 07/06/2006 @ 08:27:36 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
DISTARทำใจรับหนี้สูญ 9.6 ล. โบรกฯชี้ช่วงนี้มีแนวโน้มขาลง
Source - กระแสหุ้น
Wednesday, 07 June 2006 04:07

ไดสตาร์ ทำใจไม่ได้หนี้คืนจาก เซ็นทรัล ออดิโอ เชน 9.6 ล้านบาท หลังปล่อยให้กู้ยืมเงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนตามสัดส่วนที่บริษัทเข้าถือหุ้น ด้านนักวิเคราะห์ชี้ยังมีแนวโน้มขาลง ด้วยการทำ New Low แต่น่าจะดีดตัวขึ้นมาได้
นายวิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DISTAR เปิดเผยว่า บริษัทอาจจะไม่ได้รับการชำระเงินคืนจากการให้กู้ยืมแก่บริษัท เซ็นทรัล ออดิโอ เชน จำกัด เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินและดอกเบี้ยค้างรับรวม 9.6 ล้านบาท ด้วยเหตุที่บริษัทดังกล่าวประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจและมีขาดทุนติดต่อกันหลายปี ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทไม่มีภาระค้ำประกันให้กับบริษัท เซ็นทรัล ออดิโอ เชน จำกัด หลังจากที่ขายหุ้นที่ถืออยู่จำนวน 2.2 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 27.50% ให้แก่บุคคลที่ไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน เมื่อ วันที่ 1 มีนาคม 2549
บริษัทมีเงินให้เซ็นทรัล ออดิโอ เชน กู้ยืมตามที่แสดงไว้ในงบการเงิน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2549 โดยมีตั๋วสัญญาใช้เงินและดอกเบี้ยค้างรับรวม 9.6 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในปลายปี 2540 เนื่องจากก่อนหน้านี้บริษัทเข้าร่วมถือหุ้น 27.50% ซึ่งการให้ความช่วยเหลือทางการเงินดังกล่าว เป็นไปตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยบริษัทได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยค้างรับจากบริษัทดังกล่าวเต็มจำนวน ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2541 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม หนี้สินดังกล่าวบริษัทได้มีการทวงถามจนถึงที่สุดแล้ว ซึ่งบริษัทคาดว่าอาจจะไม่ได้รับชำระคืนด้วยเหตุที่บริษัทดังกล่าวประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจและมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานติดต่อกันมาหลายปี ดังแสดงไว้ในงบการเงินของบริษัท เซ็นทรัล ออดิโอ เชน จำกัด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2548 โดยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 0.3 ล้านบาทและมีขาดทุนเกินทุนจำนวน 31 ล้านบาท
นายชัย จิรเสวีณุประพันธ์ นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS กล่าวให้ความเห็นว่า ภาพรวมของหุ้นยังอยู่ในกรอบแนวโน้มขาลง โดยมีการอ่อนตัวทำ New Low แต่น่าจะมีการดีดตัว เพราะเกิดการเทขายออกมามากเกินไป แนะนำว่านักลงทุนน่าจะรอจังหวะขายตามแนวรับ 0.67/0.64 บาท ส่วนแนวต้านที่ 0.75/0.84 บาท
ด้านนักวิเคราะห์ทางเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนิตี้ จำกัด หรือ TRINITY กล่าวว่า ระยะสั้นยังมีการเทขายออกมามากเกินไป ส่วนระยะกลางไม่ค่อยดี นักลงทุนที่เล่นสั้นควรซื้อที่แนวรับ 0.70 บาท ถ้าหลุด 0.69 บาท ควรหลีกเลี่ยง ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 0.75-0.76 บาท
แนวรับ แนวต้าน
SYRUS 0.70-0.68 0.78-0.80
CNS 0.67-0.64 0.75-0.84
TNITY 0.70 0.75-0.76
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#3 วันที่: 07/06/2006 @ 08:31:51 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
EASTW เติบโตระยะยาว สัญญาณขาขึ้น-เชียร์เก็บ
Source - กระแสหุ้น
Wednesday, 07 June 2006 04:06

อีสต์วอเตอร์ รุกปรับโครงสร้างหนี้ ดันออกตราสารระยะยาวใช้หนี้แบงก์ 1.5 พันล้านบาท เพื่อลดดอกเบี้ยจ่าย ลั่นหลังขึ้นอัตราค่าน้ำ 50 สต. ดันกำไรปี 50 โตพุ่งเฉลี่ย 10-15% ส่วนปีนี้คาดมีอัตราเติบโตกำไร 30%จากความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์ประเมินหุ้น EASTW แนวโน้มขาขึ้น แนะทยอยสะสม แนวต้านสำคัญ 6 บาท
นายวันชัย หล่อวัฒนตระกูล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด(มหาชน) หรือ EASTW เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ จากปัจจุบันนี้บริษัทมีหนี้กับทางธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 1.5 พันล้านบาท คิดดอกเบี้ยในอัตรา 6% หลังจากนั้นระยะเวลา 3 ปี จะเป็นคิดอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว ทั้งนี้บริษัทจะใช้วิธีออกตราสารหนี้ระยะยาวอายุ 7 ปี ในอัตราดอกเบี้ยประมาณ 6-7% ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดภาระดอกเบี้ยของบริษัท โดยเบื้องต้นบริษัทคาดว่าจะทำการเสนอขายตราสารหนี้ประมาณปลายปีนี้หรืออย่างช้าต้นปีหน้า การออกตราสารหนี้ดังกล่าวบริษัทจะทำการออกตราสารหนี้ในประเทศ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
ขณะเดียวกันบริษัทจะรักษา D/E ให้อยู่ 1.1 เท่า จากปีก่อนที่มี D/E อยู่ที่ 1.23 เท่า โดยบริษัทฯมั่นใจว่า ปัจจุบันนี้บริษัทไม่มีความจำเป็นต้องทำการกู้เงินจากสถาบันทางการเงินเพิ่มเติมอีก เนื่องจากในปี 2550 ใบสำคัญแสดงสิทธิจะครบกำหนดแปลงสิทธิจำนวน 1.4 พันล้านบาท คาดว่าผู้ถือหุ้นเดิมจะมาใช้สิทธิแปลงสภาพดังกล่าวทั้งหมด เนื่องจากปัจจุบันนี้ราคาซื้อขายหุ้นในกระดานมีราคาสูงกว่าราคาที่เสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิในมูลค่าหุ้นละ 10 บาท ดังนั้นจะทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดเพิ่ม
ดันงบลงทุนต่อเนื่อง 6.7 พันล.
อย่างไรก็ดีในปี 2549-2550 บริษัทเตรียมงบลงทุนจำนวนทั้งสิ้น 6,723 ล้านบาท โดยใช้ในโครงการพัฒนาธุรกิจน้ำดิบในปี 2549 จำนวน 2,850 ล้านบาท และธุรกิจต่อเนื่อง ทั้งในส่วนธุรกิจประปา กิจการท่อ EHP และกิจการตู้น้ำดื่มจำนวน 1,025 ล้านบาท ส่วนในปี 2550 ใช้ในโครงการพัฒนาธุรกิจน้ำดิบจำนวน 1,670 ล้านบาท และธุรกิจต่อเนื่องจำนวน 1,020 ล้านบาท ทั้งนี้งบประมาณในการพัฒนาน้ำดิบจะลดลง เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่บริษัทได้ทำไปเรียบร้อยเล้ว เหลือเพียงการพัฒนาและการปรับปรุงระบบในส่วนต่างๆอย่างต่อเนื่องเท่านั้น
ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 2.5 พันล้าน
นายวันชัยกล่าวต่อว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 2,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้อยู่ที่ 2,031 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากธุรกิจน้ำดิบจำนวน 1,500 ล้านบาท และธุรกิจน้ำประปาจำนวน 700 ล้านบาท แนวโน้มผลการดำเนินงานของธุรกิจน้ำประปามีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทต้องเสียค่าการตลาดในธุรกิจดังกล่าว
อย่างไรก็ดีปีนี้บริษัทยังไม่สามารถรู้รายได้จากการปรับขึ้นราคาค่าน้ำใหม่ได้ทันตามที่คณะกรรมการบริษัทอนุมัติปรับขึ้นอัตราค่าน้ำ 0.50 บาท ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จะมีผลในเดือนกันยายนนี้ โดยเป็นช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกับที่บริษัทปิดรอบบัญชี ในไตรมาส 4/49 (ก.ค.-ก.ย.) ดังนั้นบริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากการคิดอัตราค่าใช้น้ำใหม่ทันในไตรมาส 1/50 ทั้งนี้บริษัทคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิในปี 2550 จะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 10-15%
แนวโน้มกำไรเติบโตก้าวกระโดด
อย่างไรก็ตามอัตราการเติบโตกำไรสุทธิในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 10% ในขณะนี้บริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรสุทธิในระดับ 30% เนื่องจากบริษัทเชื่อว่า ปริมาณความต้องการใช้น้ำยังมีอยู่มาก โดยคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า ปริมาณความต้องการใช้น้ำในพื้นที่บริษัทให้บริการจะเพิ่มสูงขึ้นอีก ตามการลงทุนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เฟส3 ซึ่งจะส่งผลรายได้ของบริษัทในปี 2551 เติบโตแบบก้าวกระโดด
การปรับขึ้นราคาค่าน้ำเป็นการปรับขึ้นตามต้นทุนค่าไฟที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทมีนโยบายคงต้นทุนน้ำดิบไว้ไม่เกิน 40% ซึ่งบริษัทมีแผนการปรับโครงสร้างน้ำในอัตราใหม่กับลูกค้ารายใหม่แต่ในส่วนของลูกค้าเก่าบริษัทจะคิดจากปริมาณการใช้ที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ซึ่งบริษัทคาดว่ารายได้ในปี 50 จะสอดคล้องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีปัจจุบันนี้บริษัทคิดราคาค่าน้ำดิบเฉลี่ยที่ 7 บาท โดยภายใน 5 ปี บริษัทคาดว่าจะเพิ่มค่าน้ำดิบในอยู่ที่ 9 บาท ต่อลูกบาศก์เมตร นายวันชัย กล่าว
ปริมาณใช้น้ำปีนี้เพิ่มขึ้น 15%
ทั้งนี้บริษัทคาดว่าปริมาณใช้น้ำในปีนี้จะเติบโตประมาณ 15% จากปีก่อนที่มีปริมาณการใช้น้ำอยู่ที่ 190 ล้านลูกบาศก์เมตร อย่างไรก็ตามบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาและดึงน้ำดิบจากแหล่งต่างๆที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการวางระบบท่อ โดยเฉพาะโครงการวางท่อประปาบางปะกง-บางพระ ซึ่งขณะนี้ได้ทดลองสูบและจะนำน้ำจากบางประกงมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมได้ภายในเดือนนี้เช่นกัน
นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจน้ำดื่ม บริษัทมีแผนจะลดขนาดของธุรกิจน้ำลง เนื่องจากมีภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่มีแผนที่จะเลิกทำธุรกิจน้ำดื่ม เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวยังคงมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต แต่บริษัทจะปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจน้ำดื่มใหม่เพื่อให้รองรับกับการแข่งขันโดยจะเน้นนำธุรกิจน้ำดื่มเข้าไปให้บริการเฉพาะมากขึ้น
แนะซื้อสะสม-แนวต้าน 6 บาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.สินเอเชีย ประเมินว่า ระยะสั้นสัญญาณทางเทคนิคราคาหุ้นรอโอกาสดีดตัวอีกครั้งตามภาวะตลาดโดยรวม ซึ่งโดยประเมินแนวต้าน 6 บาท และแนวรับ 5 บาท ทั้งนี้แนะนำทยอยสะสมในระดับแนวรับดังกล่าว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ระยะสั้นแนวโน้มปรับตัวขึ้น โดยประเมินกรอบแนวต้าน 5.35-5.50 บาท และกรอบแนวรับ 5.05-4.94 บาท แนะเก็งกำไรในระดับแนวรับ
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ยูไนเต็ด ประเมินว่า ระยะสั้นราคาหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ทดสอบแนวต้าน 5.35 บาท โดยมีแนวรับ 5.05 บาท แนะเก็งกำไรในระดับแนวรับ ทั้งนี้การซื้อขายระยะหลังราคาหุ้นมีแรงขายมากในระดับหนึ่ง โดยประเมินแนวรับถัดไป 4.74 บาท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#4 วันที่: 07/06/2006 @ 08:34:58 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
EWC ปรับแผนธุรกิจใหม่ รักษาเป้าเติบโตกว่า 10%
Source - กระแสหุ้น
Wednesday, 07 June 2006

อีสเทิร์นไวร์ หุ้นเก็งกำไรยอดฮิต ผู้บริหาร ดร.นพ สัตยาศัย ระบุนักลงทุนเข้าเก็งกำไร เหตุราคาหุ้นในกระดานต่ำกว่าพื้นฐาน หรือ บุ๊กแวลู มาก เผยต้องปรับแผนและยุทธศาสตร์ครึ่งปีหลังใหม่ ตามเศรษฐกิจชะลอตัว ย้ำยังเดินหน้าทำธุรกิจพลังงาน มั่นใจรักษาเป้าเติบโตที่ระดับ 10% ด้านนักวิเคราะห์ประเมินหุ้น EWC สัญญาณเทคนิคไซด์เวย์อัพ แนวต้านสำคัญ 10 บาท
ดร.นพ สัตยาศัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทอีสเทิร์นไวร์ จำกัด (มหาชน) หรือ EWC เปิดเผยถึงระดับราคาหุ้นของบริษัทในปัจจุบันว่า ยังต่ำเกินกว่าความเป็นจริง เพราะบุ๊คแวลูของบริษัทนั้นอยู่ในระดับที่สูง ดังนั้นเมื่อเวลาราคาหุ้นปรับตัวลงเกินความเป็นจริง จะส่งผลให้นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นของบริษัท และนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้าซื้อหุ้นของบริษัทจะเป็นนักลงทุนรายย่อย
แรงเก็งกำไรที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นไปตามกลไกของตลาดมากกว่า เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศค่อนข้างผันผวนจากปัจจัยลบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนประเทศต่างประเทศโยกเงินไปลงทุนในประเทศอื่นๆ
ปรับแผนรับ ศก.หด-โตแน่10%
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทจะพยายามรักษาเป้าอัตราการเติบโตของบริษัทให้อยู่ที่ระดับประมาณ 10% หรือมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ส่วนเรื่องของแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในครึ่งปีหลังนั้น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับแผนและยุทธศาสตร์การดำเนินงานใหม่ เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่ชะลอตัว เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับแผนการดำเนินงานให้ตอบรับกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้ทางบริษัทคาดว่า จะได้ข้อสรุปในเรื่องของการปรับแผนการดำเนินงานได้ภายในเดือน ก.ค.นี้
เดินหน้าศึกษาธุรกิจพลังงาน
นอกจากนี้ บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจด้านพลังงาน ซึ่งความเป็นไปในเรื่องของการทำธุรกิจพลังงาน ในเบื้องต้นนั้นทางบริษัทจะต้องรอดูปัจจัยทางการเมือง และสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศว่า เอื้ออำนวยให้บริษัททำหรือไม่ ถ้าปัจจัยทางการเมืองยังไม่นิ่ง ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงไปมากกว่านี้ ทางบริษัทอาจจะเลื่อนการพิจารณาโครงการดังกล่าวออกไปด้วย
ดร.นพ กล่าวต่อว่า สำหรับการเข้าไปลงทุนในบริษัทเอื้อวิทยานั้น ขณะนี้บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนที่ได้วางไว้ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากงานภาครัฐประมาณ 80-90% และส่วนที่เหลืออีกประมาณ 10% เป็นงานภาคเอกชน
ส่วนเรื่องของการที่ภาวะราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทางบริษัทได้รับผลกระทบโดยอ้อมมากกว่าที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง ส่งผลให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นขณะเดียวกันส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคปรับตัวลดลง ทำให้ผู้บริโภคชะลอการลงทุน ส่วนเรื่องของการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ทางบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากนัก เนื่องจากบริษัทไม่ได้มีเงินกู้จากสถาบันการเงินไม่มาก
สัญญาณเทคนิคแกว่งตัวขึ้น
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIS เปิดเผยว่า ระดับราคาหุ้น EWC ที่ปรับตัวขึ้น เนื่องมาจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในระยะสั้นๆ และคาดว่าราคาน่าจะอยู่ในระดับทรงตัวและมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กน้อย ซึ่งแนวโน้มของการปรับตัวของระดับราคาหุ้นของ EWC จะคงเป็นลักษณะของการ Side Way Up ทั้งนี้ได้ประเมินกรอบราคาทางเทคนิคของหุ้น EWC โดยมีแนวรับอยู่ที่ 8.50 บาท ส่วนแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 10 บาท ส่วนในแง่ของปัจจัยพื้นฐานของ EWC นั้น ถือว่าไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับและเป็นหุ้นเก็งกำไร โดยเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับหุ้น Picni และ Power และเป็นหุ้นที่ทาง ก.ล.ต.เฝ้าจับตามมองราคาหุ้น ที่มีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
ชี้แนวต้านสำคัญ 9-10 บาท
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ EWC เปิดเผยว่า การที่ระดับราคาหุ้นของ EWC ปรับตัวขึ้น เนื่องมาจากนักลงทุนเข้าเก็งกำไรในระยะสั้นๆ เท่านั้น เนื่องมาจากสภาพตลาดหุ้นค่อนข้างที่ผันผวนและดัชนีตลาดได้ปรับตัวลดลง ส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนในหุ้นตัวเล็กๆ แต่ถ้ามองในแง่ของปัจจัยพื้นฐานแล้ว หุ้น EWC ไม่มีอะไรที่โดดเด่นและไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ดังนั้นจึงได้ประเมินกรอบทางเทคนิคโดยให้แนวรับอยู่ที่ 7- 6.85 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ระดับ 9 - 9.35 บาท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#5 วันที่: 07/06/2006 @ 08:38:10 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
KEST รับปีนี้วอลุ่มซื้อขายหดตัว ตั้งเป้ารักษาตำแหน่งผู้นำธุรกิจ
Source - กระแสหุ้น
Wednesday, 07 June 2006

บล.กิมเอ็ง ตั้งเป้าปีนี้รักษาส่วนแบ่งตลาดที่10% เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าหลักทรัพย์ ยอมรับหุ้น บี เอ็ม ซี แอล ต้องเลื่อนซื้อ-ขายออกไปจนกว่าภาวะตลาดจะเอื้ออำนวย ขณะเดียวกันเตรียมนำอีก 4-5 บริษัทเข้าจดทะเบียนใน ตลท. ซึ่งลดลงจากปีที่แล้วที่มี 14 บริษัท ยอมรับแนวโน้มวอลุ่มซื้อ-ขายลดลง เร่งเดินหน้าปรับปรุงกลยุทธ์เพื่อหารายได้ชดเชย
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (กิมเอ็ง) ประเทศไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KEST เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าวอลุ่มการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 16,000-20,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งถือว่า วอลุ่มการซื้อขายได้ปรับตัวลดลงจากปีที่ 2548 ที่มีวอลุ่มการซื้อขายอยู่ที่ 22,000 ล้านบาทต่อวัน ส่วนธุรกิจหลักทรัพย์จะมีอัตราการเติบโตได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ก็จะต้องขึ้นอยู่กับวอลุ่มการซื้อขายในแต่ละวันนั้นมีปริมาณการซื้อขายมากน้อยเพียงใด ซึ่งถ้าหากวอลุ่มการซื้อขายอยู่ในระดับที่ดีหรือมีปริมาณมาก ก็จะส่งผลให้ธุรกิจหลักทรัพย์มีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นเดียวกัน
นายมนตรี กล่าวต่อว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่าส่วนแบ่งตลาด (Market Share) น่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 10% อย่างไรก็ดี ทางบริษัทจะพยายามที่จะรักษา Market Share ผู้นำอันดับหนึ่งด้านธุรกิจด้านธุรกิจค้าหลักทรัพย์ ส่วนเรื่องของการนำบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) นั้น ขณะนี้บริษัทก็กำลังรอดูจังหวะและภาวะตลาดหุ้นโดยรวมว่าเอื้อต่อการเข้าจดทะเบียนหรือไม่ ซึ่งถ้าหากภาวะตลาดหุ้นของไทยเริ่มฟื้นตัวหรือกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทางบริษัทเองก็มีความพร้อมที่จะนำหุ้น BMCL เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ทันที แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนได้เมื่อไหร่ ซึ่งก็คงจะต้องรอดูสถานการณ์และภาวะตลาดหุ้นโดยรวมว่าจะเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประมาณ 3-5 บริษัท ซึ่งถือว่าลดลงจากปีที่แล้วที่มีบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 14 บริษัท ซึ่งมีมูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท
หากสถานการณ์หรือปัจจัยต่างๆ เข้ามากระทบทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่ ก็อาจจะทำให้มูลค่าหุ้นที่จะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์จะอยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าต่ำกว่าปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม เราก็จะพยายามหารายได้จากส่วนอื่นเข้ามาชดเชยรายได้ในส่วนที่ขาดหายไป เพื่อที่จะไม่ให้มีผลกระทบต่อภาพรวมของธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาวะตลาดโดยรวมในช่วงนี้จะไม่ค่อยสดใส แต่ทางบริษัทก็จะพยายามปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะตลาดโดยรวม ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าในประเทศประมาณ 76% ส่วนสัดส่วนลูกค้าในต่างประเทศอยู่ที่ 24% ซึ่งทางบริษัทคงจะต้องรักษาสัดส่วนลูกค้าให้อยู่ในระดับนี้ เพื่อที่จะไม่ให้มาร์เก็ตแชร์ของบริษัทลดลง ขณะเดียวกัน ทางบริษัทจะต้องพยายามพัฒนางานวิจัยและเพิ่มบริการให้มากขึ้น เพื่อชดเชยรายได้ด้านค้าหลักทรัพย์ที่อาจจะลดลงเพราะวอลุ่มไม่ค่อยดี
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#6 วันที่: 07/06/2006 @ 08:41:45 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
CSPตัวลอยงบQ2กำไรกระฉูด :ราคาเหล็กพุ่งไม่หยุด ปีนี้ขยายตัว15%
Source - ข่าวหุ้น
Wednesday, 07 June 2006

CSP คาดไตรมาส 2 กำไรพุ่ง หลังปรับราคาสินค้าใหม่ ส่วนทั้งปี49 มั่นใจรายได้ขยายตัว15% จากปีก่อนชี้ราคาเหล็กพุ่ง-ขยายกำลังการผลิตเพิ่มเชื่อควอเตอร์ 2 มาร์จิ้นอยู่ที่ 12%ผู้บริหารยอมรับดอกเบี้ยขาขึ้นกระทบต้นทุน งัดกลยุทธ์ปรับราคา-ลดสต็อกรับมือเชื่อแนวโน้มเหล็กปีนี้สดใส
นายวีรศักดิ์ ชัยสุพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ CSP เปิดเผยว่าคาดว่ารายได้และกำไรช่วงไตรมาสที่ 2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก เนื่องจากบริษัทสามารถขายสินค้าราคาใหม่ได้ขณะที่ช่วงไตรมาสแรกบริษัทยังต้องขายสินค้าในราคาเดิมของปีก่อน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าราคาเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่รายได้ทั้งปีของบริษัทคาดว่ามีอัตราการเติบโตประมาณ 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 2,700 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้ได้รับผลดีจากราคาเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทได้มีการขยายกำลังการผลิตท่อเหล็กรีดเย็นที่เริ่มผลิตตั้งแต่ปลายปี 2548 ซึ่งได้ใช้เครื่องจักรอยู่จำนวน 2 เครื่อง
ขณะนี้บริษัทใช้กำลังการผลิตที่ประมาณ 50%โดยเครื่องจักรมีกำลังการผลิตเต็มกำลังอยู่ที่ 3 หมื่นตันต่อปี นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องติดแผ่นแถบอีกจำนวน 1เครื่อง จากเดิมที่มีจำนวน 2 เครื่อง ทั้งนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จ และเปิดดำเนินการได้ประมาณไตรมาส 3 ทำให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3 หมื่นตันต่อปี ดังนั้น ในปีนี้ คาดว่าจะมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ประมาณ 2.3 แสนตันต่อปี
ขณะเดียวกันคาดว่า Gross Profit Margin(กำไรขั้นต้น)ในช่วงไตรมาส 2 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 12% ขณะที่ปีก่อนมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 7.86%โดยเป็นผลมาจากราคาเหล็กที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทหาทางแก้ไขโดยการปรับราคาขายสินค้าขและลดการสต็อกสินค้าจากเดิม 3 เดือน เหลือ 2 เดือน เพื่อช่วยลดต้นทุน ทั้งนี้ปริมาณสต็อกสินค้าที่ลดลงนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการสั่งสินค้าของลูกค้าแต่อย่างใด เนื่องจากจำนวนสินค้ายังสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้
นอกจากนั้นเชื่อว่าราคาเหล็กปีนี้ จะยังคงปรับตัวอยู่ในระดับสูง โดยก่อนหน้านี้ราคาเหล็กได้ปรับตัวลดลงไปมากเป็นผลมาจากดีมานด์และซัพพลายไม่สมดุลกันเนื่องจากมีปริมาณเหล็จากประเทศจีนออกมาเป็นจำนวนมาก แต่ขณะนี้รัฐบาลจีนได้พยายามปิดโรงงานขนาดเล็กลงและให้ผู้ผลิตลดจำนวนการผลิตลง ดังนั้นจึงส่งผลให้ปริมาณเหล็กจากประเทศจีนออกสู่ต่างประเทศไม่มากนักประกอบกับราคาสินแร่รวมถึงราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้ราคาเหล็กยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง
สำหรับราคาหุ้น CSP ในขณะนี้ มองว่าเริ่มสะท้อนปัจจัยพื้นฐานของบริษัท หลังจากที่ราคาหุ้นสามารถยืนเหนือราคาจอง(ไอพีโอ)3 บาทได้ ทั้งนี้เป็นผลจากนักลงทุนหันมาสนใจลงทุนหุ้น CSP มากขึ้น จากแนวโน้มราคาเหล็กที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งความต้องการเหล็กในประเทศไทยยังมีมากขึ้น เพราะได้มีการนำเหล็กไปใช้ในการก่อสร้างมากขึ้นอาทิ ก่อสร้างสะพาน เป็นต้น
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#7 วันที่: 07/06/2006 @ 08:44:36 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
คอลัมน์หุ้นอินเทรนด์ : TRUE
Source - ข่าวหุ้น
Wednesday, 07 June 2006

บล.เคจีไอมองว่าการลงทุนใน TRUE มีความเสียงมากทั้งจากเรื่องของผลประกอบการไตรมาส 2/49ที่มีแนวโน้มจะออกมาไม่ได้ ในขณะที่กลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าก็ถูกจำกัดจากเรื่องเงินลงทุนประกอบกับปริมาณโครงข่ายที่น้อยกว่าคู่แข่ง ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทยังมีความเสียงจากการเพิ่มทุน จากปัจจัยลบทั้งหลายเรายังคงแนะนำขาย TRUE
บล.กิมเอ็งด้วยแนวโน้มผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงของทรูมูฟในไตรมาส 2/49, ความเสี่ยงที่จะมีส่วนทุนติดลบในไตรมาส 2/49 และโอกาสการเพิ่มทุนในปีนี้เพื่อใช้ในการลงทุนเพิ่มเติม อีกทั้งราคาปัจจุบันสูงกว่าราคาเหมาะสมตามวิธี sum-of-the-parts ที่ 10.60 บาท ปรับมองว่าหุ้น TRUE เต็มมูลค่า แล้ว ปรับจากคำแนะนำ ถือ เดิม
บล.เกียรตินาคินตั้งแต่ต้นปี 49 การแข่งขันราคาที่รุนแรงในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ และความเป็นผู้นำด้านราคาของ TRUE MOVE จะเป็นสาเหตุหลักที่กดดันการขยายตัวของ ARPU และรายได้ของTRUE MOVE เราประเมินว่า หากการแข่งขันราคายังมีอย่างต่อเนื่อง จุดคุ้มทุน (Break-even) ของ TRUE MOVE อาจมีแนวโน้มจะยังไม่เกิดขึ้นในปี 49 จากเดิมที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นประมาณครึ่งปีหลัง 49
บล.นครหลวงไทยจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์เคลื่อนที่รวมกันทั้งหมด ณ สิ้นปี 2548 อยู่ที่36.5 ล้านเลขหมาย คิดเป็น 58.8% ของจำนวนประชากรประเทศไทยทั้งหมด ดังนั้นโอกาสการเติบโตของผู้ใช้เลขหมายใหม่จะชะลอตัวลง ประกอบกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลต่อหนี้สินทางการเงิน
บริษัทหลักทรัพย์ ซื้อ ถือ ขาย ราคา/บาทบล.เคจีไอ - - / 8.50บล.กิมเอ็ง - - / 10.60บล.เกียรตินาคิน - - / 12.40บล.นครหลวง - / - 11.00
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#8 วันที่: 07/06/2006 @ 08:47:29 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
MMEข่าวร้ายกมลรอทิ้ง ขายแน่หลังไซเลนท์8มิ.ย.
Source - ข่าวหุ้น
Wednesday, 07 June 2006

กมลส่อเค้าขาย MME แน่ หลังหมดไซเลนท์ พีเรียด 8 มิ.ย. นี้ แม้จะบอกว่าขอดูราคาก่อนว่าคุ้มที่จะขายหรือไม่ ส่วนตัวถือ 5% ส่วนไซเลนท์ พีเรียด รอบ 2 ครบ ธ.ค. 49ยังไม่รู้จะขายหรือไม่ นักลงทุนทิ้งเก็งกำไรก่อนครบไซเลนท์ พีเรียด ขณะที่เมื่อวานหุ้นรีบาวนด์ แต่โบรกฯชี้ราคามีสิทธิดิ่งต่อ
นายกมล เอี้ยวศิวิกูล ประธานกรรมการ บริษัท ไมด้า-เมดดาลิสท์ เอนเธอร์เทนเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ MME เปิดเผยว่า ตนอาจจะตัดสินใจขายหุ้นที่ถืออยู่ใน MME ประมาณ 5% ออกมาภายหลังหมดระยะเวลาห้ามขาย(ไซเลนท์พีเรียด)ในวันที่8 มิ.ย. นี้ หากดูแล้วว่าราคาหุ้นในกระดานมีความเหมาะสมที่จะขาย
อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถระบุได้ว่าหากตัดสินใจขายหุ้นออกมา จะขายจำนวนกี่หุ้น เป็นเรื่องที่บอกในขณะนี้ไม่ได้ ถ้าบอกว่าจะขายแน่นอน หากราคาอยู่ที่เท่าไร แต่สุดท้ายผมตัดสินใจไม่ขาย มันก็ไม่เหมาะสม จึงไม่ควรพูดก่อน หากราคาไม่ดี สุดท้ายผมอาจไม่ขายเลยก็ได้ นายกมล กล่าว
ทั้งนี้ตนถือหุ้นใน MME เพียง 5% เท่านั้น ยังมีผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ อีก ซึ่งอาจจะตัดสินใจขายหลังหมดไซเลนท์ พีเรียดเช่นเดียวกัน เป็นสิทธิของผู้ถือคนนั้นๆ ปัจจุบัน MME มีหุ้นรวมประมาณ 75% โดยหากผู้บริหารขายหุ้นหลังหมดไซเลนท์ พีเรียดทั้งหมด จะเหลือถือหุ้นรวมประมาณ 50%
สำหรับกำหนดหมดไซเล้นท์ พีเรียดครั้งที่ 2 จะมีในอีก 6 เดือน นับจากวันที่ 8 มิ.ย.นี้ หรือประมาณเดือน ธ.ค. 49
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากทราบว่า MME จะครบกำหนดไซเลนท์ พีเรียด ในวันที่8 มิ.ย. นี้ ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้น MME เพื่อทำกำไรล่วงหน้า โดยหุ้น MME เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ ไม่แนะนำให้ลงทุน เพราะราคาหุ้นมีโอกาสปรับลดลงได้อย่างต่อเนื่อง
วานนี้ (6 มิ.ย.) หุ้น MME ปิดที่ 10.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท หรือ 5.88%มูลค่าซื้อขาย 22.28 ล้านบาท
โดยราคาหุ้น MME ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. ปิดที่ 12.10 บาท วันที่ 2 มิ.ย. ปิดที่ 14.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 2.40 บาท อย่างไรก็ตามในวันที่ 5 มิ.ย. ราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลดลงโดยปิดที่ 10.20 บาท ลดลง 4.10 บาท จากการที่ นักลงทุนเทขายหุ้นทิ้งหลังมีข่าวว่าบริษัทจะครบกำหนดไซเลนท์ พีเรียด ในวันที่ 8 มิ.ย. นี้ และกลับมาปิดบวกเมื่อวานนี้
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ยูโอบี เคย์เฮียน ระบุว่า การที่หุ้น MME กลับมาปิดบวกน่าจะเป็นการรีบาวนด์ทางเทคนิคเท่านั้น หลังจากที่ราคาปรับตัวลดลงจากข่าวหมดไซเลนท์พีเรียด ประกอบกับก่อนหน้านี้ราคาหุ้นก็ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้เชื่อว่าราคาหุ้นของ MME ยังมีสิทธิปรับลงอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะถึงวันที่ 8มิ.ย. นี้
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#9 วันที่: 07/06/2006 @ 09:31:25 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
.000A
 กลับขึ้นบน
ข้าวเม่าทอด
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 13
#10 วันที่: 07/06/2006 @ 09:38:14 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
เฮียคะ ถามหน่อย
เริ่มเก็บหุ้นดี
หรือว่านิ่งๆ ต่อไปก่อนดี่คะ

สรรพนามแปลกๆ ไปไหม อิ อิ .0008
 กลับขึ้นบน
mr.w
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 490
#11 วันที่: 07/06/2006 @ 13:20:24 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
เห็นเค้าว่า ยังไงก็ต้องทามให้เงินฝากเป้นบวก เฮ้อ

อย่างนี้ก็คาดกันเอง หล่ะกาน เงินเฟ้อ ลบ ดอกเงิน ฝาก

ทามไงให้เป้นบวก 555555555

ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#12 วันที่: 07/06/2006 @ 17:11:47 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
ถึงไม่บอกเรา แต่เราก็รู้แล้วว่าบอกคนอื่น มาตั้ง2-3 อาทิตย์แล้ว .0002
ว่า หก เจ็ด แปด 678

ต้องให้เราสืบเอง .000c .0002
 กลับขึ้นบน
สาลี่
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 51
#13 วันที่: 13/06/2006 @ 13:53:42 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
ฟฟฟฟ3
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com