|
|
|
?????? สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 1,898 | วันที่: 06/06/2006 @ 22:30:18 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต ตลท.พร้อมปรับทีพีไอออกจากหมวดฟื้นฟูกิจการ
6 มิถุนายน 2549 18:20 น.
ตลท.พร้อมยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของทีพีไอภายใน 1 สัปดาห์ หลังปลด ?ประชัย? พ้นบอร์ด
ส่วนต้นเดือนกรกฎาคมนี้ จะยุบกลุ่มรีแฮปโก้ลง
โดยทีพีไอจะกลับไปอยู่ในหมวดปิโตรเคมี แต่จะขึ้นเครื่องหมาย C เอาไว้ก่อน
นายสุทธิชัย จิตรวาณิช รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า
ตลท.จะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อพิจารณาให้บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน)
หรือ ทีพีไอ พ้นจากการเป็นบริษัทที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ
และย้ายออกจากหมวดฟื้นฟูกิจการ (รีแฮปโก้) กลับไปยังหมวดปกติได้
หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของทีพีไอ มีมติปลดนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ออกจากการเป็นกรรมการแล้ว
โดยทีพีไอ มีกำหนดการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาวาระดังกล่าวในวันที่ 20 กรกฎาคม นี้
?ตลท.จะไม่พิจารณาให้ทีพีไอย้ายกลับมาซื้อขายในหมวดปกติหากบริษัทยังไม่ปลดนายประชัย
ซึ่งเป็นกรรมการที่ขาดคุณสมบัติตามข้อบังคับของ ตลท. ออกจากการเป็นกรรมการของบริษัทก่อน
ซึ่งที่ผ่านมา คณะกรรมการของทีพีไอได้ส่งหนังสือเพื่อขอกลับมาซื้อขายในกลุ่มปกติ
แต่ ตลท.ได้แจ้งกลับไปว่า บริษัทต้องดำเนินการกับกรรมการที่ขาดคุณสมบัติก่อน?
อย่างไรก็ตาม ในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ตลท. จะยุบกลุ่มรีแฮปโก้ลง
ซึ่งระหว่างนั้น ทีพีไอจะกลับไปอยู่ในหมวดปิโตรเคมี แต่จะขึ้นเครื่องหมาย C เอาไว้
เพื่อให้นักลงทุนทราบว่า บริษัทยังไม่หลุดจากการเป็นบริษัทที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ ตามข้อบังคับของ ตลท.
นายสุภกิจ จิระประดิษฐกุล ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ตามเกณฑ์ของ ตลท.
หากหลักทรัพย์ใดมีจำนวนหุ้นหมุนเวียน (ฟรีโฟลท) ต่ำกว่าร้อยละ 20 จะถูกถอนชื่อจากดัชนีเซ็ท 50
และหากบริษัทนั้น ต้องการกลับมาอยู่ในการคำนวณดัชนีเซ็ท 50 อีกครั้ง
ก็ต้องหาวิธีการแก้ไขฟรีโฟลทให้กลับมาสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ
ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทุน หรือการที่ผู้ถือหุ้นเดิมนำหุ้นออกมาขายในตลาด เป็นต้น
สำหรับในกรณีของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ที่ปัจจุบันมีกลุ่มเทมาเส็กถือหุ้นอยู่เกือบทั้งหมดนั้น
ตลท.ยังต้องพิจารณาอีกครั้งว่าจะต้องถอดออกจากการคำนวณดัชนีเซ็ท 50 หรือไม่
โดยคาดว่าจะทราบข้อสรุปในกลางเดือนนี้.
ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ [/color:8de5d4a63d">
|
| กลับขึ้นบน |
จันทรา สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 1,898 | #1 วันที่: 06/06/2006 @ 22:36:51 : re: ข่าวเศรษฐกิจ... กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :[/color:f10ac0961d">
ตลท.ปรับเกณฑ์คำสั่งซื้อ-ขาย เริ่มต้น 3 ก.ค.นี้
6 มิถุนายน 2549 14:52 น.
ตลท. ปรับเกณฑ์คำสั่งซื้อขาย ณ ราคาเปิดและราคาปิด
พร้อมเปิดรับคำสั่ง Basket Order และ VWAP เริ่ม 3 ก.ค. 49
นายสุทธิชัย จิตรวาณิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
เปิดเผยว่า ตลท.ได้ปรับปรุง หลักเกณฑ์การซื้อขายหลักทรัพย์เกี่ยวกับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์
เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุนและเพิ่มความน่าสนใจให้ตลาดหุ้นไทย
โดยจะทำให้มีเครื่องมือที่จะช่วยบริหารจัดการการลงทุนของผู้ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ลงทุน โดยการปรับปรุงเกณฑ์การซื้อขายหลักทรัพย์
ที่จะเริ่มมีผลใช้ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2549 นี้ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงลำดับในการจับคู่คำสั่งซื้อขาย
ณ ราคาเปิด (At-the-Open: ATO) และคำสั่งซื้อขาย ณ ราคาปิด (At-the-Close: ATC)
การอนุญาตให้ส่งคำสั่งแบบ Basket Order หรือคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายประเภทกลุ่มหลักทรัพย์
ที่ประกอบด้วย คำสั่งย่อยหลายหลักทรัพย์ในคราวเดียวกัน
และการอนุญาตให้ส่งคำสั่งซื้อขายที่เป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก VWAP
ในลักษณะทยอยส่งคำสั่งโดยอัตโนมัติ (Volume Weighted Average Price of Program Trading)
?การเปลี่ยนแปลงลำดับในการจับคู่ของคำสั่ง ATO และ ATC
ให้มีสิทธิได้รับการจับคู่ก่อนคำสั่งประเภทระบุราคาจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุน
เนื่องจากจะช่วยให้ผู้ลงทุนที่ต้องการซื้อขายหลักทรัพย์ ณ ราคาเปิด หรือราคาปิด
สามารถใช้คำสั่งซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยผู้ลงทุนไม่ต้องส่งคำสั่งประเภทระบุราคาซึ่งอาจสูงหรือต่ำกว่าภาวะตลาด
และการได้รับสิทธิจับคู่ซื้อขายก่อนยังสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงของผู้ลงทุน
ที่ยอมรับที่จะซื้อขาย ณ ระดับราคาเปิด หรือราคาปิดใด ๆ ที่เกิดขึ้น? นายสุทธิชัย กล่าว
นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังสามารถส่งคำสั่งซื้อขายประเภท ATO และ ATC ผ่านอินเทอร์เน็ตได้
โดยคำสั่งประเภทนี้จะมีระบบคัดกรองคำสั่ง (Order Screening System)
เช่นเดียวกับคำสั่งซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ตอื่น ๆ เพื่อป้องกันปัญหาการส่งคำสั่งไม่เหมาะสม
?ในขณะที่คำสั่งแบบ Basket Order และ VWAP
จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่บริษัทสมาชิกในการจัดการคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้า
และยังเป็นเครื่องมือที่จะช่วยบริหารความเสี่ยงของผู้ลงทุน
นอกจากนี้ ยังเป็นการยกระดับตลาดหุ้นไทยให้มีความเป็นสากลยิ่งขึ้น
เนื่องจากจะเป็นเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุน
ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุนในประเทศ ผู้ลงทุนต่างประเทศ และผู้ลงทุนสถาบัน? นายสุทธิชัย กล่าว |
| กลับขึ้นบน |
จันทรา สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 1,898 | #2 วันที่: 06/06/2006 @ 22:40:16 : re: ข่าวเศรษฐกิจ... ผู้ค้าน้ำมันเตรียมปรับขึ้นราคาน้ำมันอีก 40-50 สต./ลิตร สัปดาห์นี้
6 มิถุนายน 2549 17:53 น.
ผู้ค้าน้ำมันหลายรายเตรียม ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน และดีเซล อีกลิตรละ 40-50 สตางค์ภายใน สัปดาห์นี้
เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากปัจจัยเดิมคือสถานการณ์ความขัดแย้งเรื่องโครงการนิวเคลียร์ในประเทศอิหร่าน รวมถึงความไม่สงบในประเทศไนจีเรีย
ส่วนน้ำมันสำเร็จรูปนั้น ปริมาณความต้องการน้ำมันในภูมิภาคเอเชีย เพิ่มสูงขึ้น
เนื่องจากอุปสงค์และอุปทานน้ำมันสำเร็จรูป
โดยเกิดภาวะตึงตัวจากกรณีที่โรงกลั่นไม่สามารถผลิตได้เพียงพอกับความต้องการ
ปัจจุบันราคาน้ำมันของผู้ค้ารายอื่นในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็น ดังนี้
เบนซิน 95 ลิตรละ 29.89 บาท, เบนซิน 91 ลิตรละ 29.09 บาท,
แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 28.39 บาท และน้ำมันดีเซล ลิตรละ 27.24 บาท
ขณะที่ราคาน้ำมันของ ปตท.ถูกกว่าผู้ค้ารายอื่นอยู่ชนิดละ 10 สตางค์ |
| กลับขึ้นบน |
จันทรา สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 1,898 | #3 วันที่: 06/06/2006 @ 22:49:37 : re: ข่าวเศรษฐกิจ... ฐานเศรษฐกิจ
ฟันธงธปท.ขึ้นดบ.สกัดเงินเฟ้อ
นักเศรษฐศาสตร์สะกิดเตือนแบงก์ชาติให้น้ำหนักต่อปัญหาเงินเฟ้อ
ฟันธงแบงก์ชาติต้องตัดสินขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 7 มิ.ย.นี้
วิตกหากปรับตัวไม่ทันอาจถึงจุดวิกฤติ เพราะแรงกดดันต่อเงินเฟ้อรออยู่อีก 2-3 ไตรมาสข้างหน้า
ด้านนายแบงก์ฟันธงอัตราดอกเบี้ยถึงจุดสูงสุดกลางปีนี้ เชื่อหากกนง.ปรับดอกเบี้ยอีก 0.25%
ธนาคารทั้งระบบเตรียมพิจารณาปรับขึ้นเงินฝากและเงินกู้ตามอีกรอบ
หวั่นคลังทำศก.ช็อก
เศรษฐกิจไทยติดกับดักปัญหาการเมือง และนโยบายดอกเบี้ยจะเป็นชนวนความเสี่ยงใหม่
พร้อมทั้งให้จับตาอัตราเงินเฟ้อของเดือนพฤษภาคม 2549
ที่จะมีผลต่อการตัดสินใจต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ในวันที่ 7 มิถุนายนนี้
และได้เสนอข่าว ทนงฉก 3 แสนล.โด๊ปศก.ในฉบับ 2,118 โดยมีเนื้อหาว่า
กระทรวงการคลังเตรียมมาตรการอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจอีกรอบหนึ่ง
โดยกระทรวงการคลังย้ำถึงนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยว่า
เป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจ ในขณะที่ก่อนหน้านี้ทั้งกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย
ยังมีแนวคิดต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แตกต่างกัน
ต่อกรณีดังกล่าว ได้สำรวจความคิดเห็นจากนายธนาคารและนักเศรษฐศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง
หลังจากที่มีตัวแปรต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น
หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศตัวเลขอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2549
ซึ่งอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ระดับ 6.2% สูงกว่าเดือนเมษายน ซึ่งอยู่ที่ระดับ 6.0%
และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2.7% ลดลงจากเดือนเม.ย. ซึ่งอยู่ที่ 2.9 % |
| กลับขึ้นบน |
จันทรา สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 1,898 | #4 วันที่: 06/06/2006 @ 22:52:48 : re: ข่าวเศรษฐกิจ... ****นายแบงก์ชี้ดบ.ถึงจุดสูงสุดกลางปี
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า
เป็นที่คาดหมายว่าอัตราดอกเบี้ยน่าจะถึงจุดสูงสุดกลางปีหรือเขยิบไปเล็กน้อยและทรงๆในครึ่งปีหลัง
โดยมีเหตุผลประกอบหลายประการ
โดยในส่วนของปัจจัยภายในประเทศนั้น แรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในครึ่งหลังของปีไม่น่าจะมีแรงกดดันมาก
เพราะเชื่อว่าแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อน่าจะชะลอตัวลง
ส่วนปัจจัยภายนอกอัตราดอกเบี้ยสหรัฐน่าจะสูงสุดที่ 5-5.25% ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องเฝ้าติดตาม
อย่างไรก็ตาม ในระยะ 4เดือนข้างหน้าอาจจะมีปัจจัยไปกดดันให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้นได้อีก 0.25-0.50%
แต่ระยะสั้นในวันที่ 7มิถุนายนนั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะกรรมการนโยบายการเงินจะพิจารณา
ซึ่งต้องนำข้อมูลเศรษฐกิจหลายด้านมาประกอบกัน
โดยหากกนง.จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.25% นั้น
ก็ไม่มากหากเทียบกับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาซึ่งปรับขึ้นมาแล้ว 2.4 %
แต่เนื่องจากในขณะนี้มีประเด็นเรื่องของความเชื่อมั่นเข้ามาเป็นส่วนประกอบ
ทำให้ธปท.ต้องชั่งน้ำหนักมากขึ้น
ขณะที่ผลกระทบต่อผู้ประกอบการหรือผู้ลงทุนนั้นไม่ได้มีผลในระดับที่รุนแรง
กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเพิ่มเตมว่า หากกนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25%
ธนาคารพาณิชย์ทั่วไปคงดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะกลไกตลาด
เพราะถ้าดอกเบี้ยนโยบายขึ้นก็จะเห็นดอกเบี้ยผลตอบแทนจากตลาดเงินเพิ่มขึ้น
เป็นช่องทางให้ธนาคารพาณิชย์ที่ลงทุนในตลาดเงินได้ผลตอบแทนสูงขึ้น
ขณะเดียวกันธนาคารที่ต้องหาแหล่งเงินจากตลาดเงินก็จะมีต้นทุนสูงขึ้น
และอัตราดอกเบี้ยฝากขึ้นก็จะมีผลต่อด้านดอกเบี้ยเงินกู้ด้วย
และเป็นไปได้ที่ธนาคารพาณิชย์ในระบบจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นตามกัน
ส่วนจะปรับขึ้นตามเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับภาวะการแข่งขัน |
| กลับขึ้นบน |
จันทรา สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 1,898 | #5 วันที่: 06/06/2006 @ 22:55:35 : re: ข่าวเศรษฐกิจ... นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ให้ความเห็นว่า
การตัดสินใจของ กนง.ในวันที่ 7มิถุนายนนั้น เป็นการชี้นำแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
แต่ไม่มีผลต่อการตัดสินใจให้ธนาคารต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม
เพราะธนาคารพาณิชย์จะพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยจากปัจจัยของสภาพคล่อง
ซึ่งขณะนี้ธนาคารกรุงไทยยังมีสภาพคล่องเหลืออยู่
แต่ในขณะเดียวกันขึ้นอยู่กับอีกปัจจัยหนึ่งคือ การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์คู่แข่งในระบบว่า
จะมีธนาคารใดปรับอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ หากธนาคารพาณิชย์อื่นมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยธนาคารกรุงไทยก็ต้องปรับด้วย
ทั้งนี้ในการพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเรื่องที่ต้องทำให้เกิดสมดุลระหว่างภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)
โดยจะต้องพิจารณาภาวะโดยรวม ไม่ใช่ทำแค่จุดใดจุดหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูง
เพราะเป็นห้วงเวลาที่ไม่มีรัฐบาลเนื่องจากรัฐบาลยุบสภา
จึงเห็นว่าธปท.ไม่ควรไปผลักอัตราดอกเบี้ยขึ้นมากเกินไปเพราะจะทำให้เกิดความไม่สมดุล
แต่การประชุม กนง.ในครั้งนี้ ธปท.ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างเศรษฐกิจส่วนรวมกับการคุมอัตราเงินเฟ้อ
ซึ่งเงินเฟ้อก็ไม่ได้มาจากการใช้จ่าย แต่เป็นผลจากภาระของต้นทุนที่เพิ่ม แต่ตอนนี้รัฐบาลเริ่มขยับแล้ว
กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธปท.อาจจะต้องพิจารณาถึงภาวะเศรษฐกิจต่อไปข้างหน้าว่า
จะมีการชะลอตัวลงหรือไม่ หากประเมินว่าเศรษฐกิจจะปรับลดลงมากธปท.ก็จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
แต่ถ้าธปท.ประเมินเศรษฐกิจข้างหน้าว่าอยู่ในภาวะทรงๆ ก็อาจจะปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพ
แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นอีก 0.25%
แต่ขณะนี้การลงทุนและการบริโภคน้อยลงอยู่แล้ว
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกก็ต้องทำให้การลงทุนและการใช้จ่ายหดลงไปอีก
ถามว่าเศรษฐกิจส่วนรวมรับได้หรือเปล่า?ถ้าอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นอีก
ถ้ารับได้โดยคิดว่าจะมีส่วนอื่นมาเติมให้ก็โอเค ทุกอย่างจบ
แต่ถ้าเศรษฐกิจส่วนรวมรับไม่ได้ก็ต้องหยุด จริงๆ แบงก์ชาติมีทางเลือกน้อย
ไม่เหมือนภาครัฐที่มีโอกาสทำได้มากกว่า แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าแบงก์ชาติอาจจะมีก๊อก 2 ก๊อก 3 นายอภิศักดิ์กล่าว |
| กลับขึ้นบน |
จันทรา สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 1,898 | #6 วันที่: 06/06/2006 @ 22:59:57 : re: ข่าวเศรษฐกิจ... ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า
โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่ามีน้ำหนักค่อนข้างมากที่กนง.จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในวันที่ 7 มิ.ย.นี้
เพราะหากกนง.ไม่รีบตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ แรงกดดันจากเงินเฟ้อจะมากขึ้น
เนื่องจากยังมีแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในส่วนที่ยังไม่ส่งผล จากราคาน้ำมันที่ปรับราคาขึ้นตั้งแต่ต้นปี
ดังนั้นการไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ อาจทำให้สถานการณ์ถึงจุดวิกฤติ
เพราะราคาผู้ผลิตและราคาผู้บริโภคในอีก 2-3 ไตรมาสต่อจากนี้ไปจะค่อยๆขยับขึ้นเรื่อยๆ
ดร.บันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า
ถ้ากนง.ไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ตลาดหลักทรัพย์และภาคธุรกิจจะดีขึ้นเพียงระยะสั้น
แต่ระยะยาวกนง.ก็ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตราย
เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังสูง โดยส่วนตัวคิดว่าโอกาสปรับเพิ่มดอกเบี้ยมีมากถึง 90%
เพราะตลาดได้รับรู้ไปก่อนหน้าแล้วว่ากนง.จะปรับดอกเบี้ยขึ้น
นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตรอาวุโส ธนาคารสแตนดารด์ชาร์เตอร์ด(ไทย)กล่าวว่า
หากกนง.ไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ จะสร้างแรงกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าในระยะสั้น เพราะตลาดรับรู้ไปแล้วก่อนหน้า
โดยต่างประเทศนั้นได้มีการคาดการณ์ว่ากนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทำให้ดอกเบี้ยตลาดพันธบัตรปรับขึ้นไป และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นไปรอ
ทั้งนี้ ในส่วนของธนาคารคาดว่าแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อจะผ่อนคลายลงในครึ่งปีหลังของปีนี้
ขณะที่เงินเฟ้อทั่วไปน่าจะปรับเป็น 4-5%ไ ด้จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 6.2%
โดยรับอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าช่วงที่ผ่านมาทำ ให้ราคาสินค้านำเข้าถูกลง
ประกอบกับแนวโน้มราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวลดเชื่อว่าจะอ่อนตัวต่อเนื่อง
แต่ในขณะเดียวกันธนาคารก็ไม่แปลกใจถ้ากนง.จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
เพราะกระแสเศรษฐกิจชะลอตัวมากขึ้น ทำให้ธปท.ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างเป้าหมายดูแลเงินเฟ้อกับเศรษฐกิจ
รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรมหาวิทยาลัย กล่าวว่า
หากประเมินแนวโน้มธนาคารกลาง(เฟด)ยังมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อนั้น
การที่กนง.ไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ก็จะไม่เป็นผลดีต่อการบริหารเงินทุนหมุนเวียน
โดยเฉพาะช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยนโยบายของไทยกับเฟดถ้าแตกต่างกัน 0.25-0.50%
จะเป็นปัญหาบั่นทอนเงินออมในระบบ เพราะอัตราเงินเฟ้อยังสูง 6.2%ขณะที่อัตราดอกเบี้ยแท้จริงยังติดลบ
และระยะต่อไปหากกนง.จะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยตามแนวโน้มก็อาจจะช็อคเศรษฐกิจได้ |
| กลับขึ้นบน |
จันทรา สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 1,898 | #7 วันที่: 06/06/2006 @ 23:04:00 : re: ข่าวเศรษฐกิจ... ****ครม.พิเศษเคาะมาตรการ
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีพิเศษ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน
โดยมีรัฐมนตรีของกระทรวงต่างๆเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย
แรงงาน ข้าราชการ พนักงานเอกชน ที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาท โดยมี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธาน
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า
มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานที่มีรายได้ต่ำกว่า 6,000-7,000 บาทต่อเดือนนั้น
รัฐบาลจะหามาตรการเข้ามาช่วยเหลือใน 2 แนวทาง คือ
แนวทางที่เกี่ยวข้องกับเงินกองทุนประกันสังคม และการปรับปรุงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยมอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
กระทรวงการคลัง กับกองทุนประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ร่วมทำการสำรวจกลุ่มลูกจ้างต่างๆที่เกี่ยวข้อง
ว่าควรจะปรับอัตราค่าจ้างให้เหมาะสมเป็นเท่าไรแล้วจะไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างไร
และให้ไปดูในเรื่องกฎหมายการนำเงินกองทุนประกันสังคมมาใช้กับผู้ใช้แรงงานว่ากฎหมายเปิดให้ใช้มากน้อยเพียงใด
โดยข้อสรุปนี้จะนำมาเสนอต่อที่ประชุมอีกครั้งในอีก 2สัปดาห์
ทางด้าน นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า
มาตรการลดรายจ่ายให้แก่เกษตรกร 3 มาตรการ ประกอบด้วย
1.การลดอัตราดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรรายย่อย ที่เป็นหนี้ไม่เกิน 1 แสนบาท
โดยจะลดอัตราดอกเบี้ยให้ 1% ต่อปี ซึ่งทำร่วมกับ (ธ.ก.ส.)
2.การลดค่าไฟฟ้าของภาคเกษตรให้อยู่ในอัตราเดียวกับอัตราที่เก็บจากนิคมอุตสาหกรรมที่ปัจจุบันต่ำกว่าทั่วไปอยู่ประมาณ 20%
และ3. เร่งแก้ปัญหาการผูกขาดราคาปุ๋ยและสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร
รวมทั้งดำเนินการผลิตปุ๋ยชีวภาพออกแจกจ่ายให้กับประชาชนควบคู่ไปด้วย
นอกจากนั้นนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เร่งดำเนินการ 2 มาตรการหลัก
เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในระยะเร่วด่วน ประกอบด้วย
1.การดูแลราคาสินค้าเกษตรไม่ให้ตกต่ำ
2.การลดค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ใน พืช3 กลุ่มหลัก
คือ 1.ผลไม้ที่มีผลผลิตออกตามฤดูกาล 2.พืชพลังงาน อาทิ ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง เป็นต้น
ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากรไปแกฎระเบียบการนำเข้าพืชผลผลิตดังกล่าวจากต่างประเทศ |
| กลับขึ้นบน |
mr.w สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 490 | #8 วันที่: 07/06/2006 @ 13:12:21 : re: ข่าวเศรษฐกิจ... เหนื่อย จิง จิง อยากรุจัง สิ้นปีนี้ npl จะเป้นยังไงอะ
เฮ้อออออออออออออออ เศร้า .0002 .0002 .0002 |
| กลับขึ้นบน |
| |