กลุ่มเสี่ยป.สบจังหวะภาวะตลาดหุ้นซึม จับหุ้น DCON-EWC มาโยกเล่น พบพฤติกรรมลากดีคอนฯล่อรายย่อยช่วงเช้าแตะ 4.86 บาทจากนั้นขายทิ้ง ก่อนโยกเงินไปเล่นอีสเทิร์นไวร์ช่วงท้ายตลาด วันนี้ระวังเจอขายทิ้ง

วานนี้(1 มิ.ย.)พบพฤติกรรมนักลงทุนรายใหญ่จับหุ้นบริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ DCON และบริษัท อีสเทิร์นไวร์ จำกัด(มหาชน) หรือ EWC ขึ้นมาโยกเล่นอาศัยจังหวะช่วงที่ตลาดหุ้นไม่มีข่าวดี โดยวงในหลายรายเชื่อว่าการเข้ามาซื้อขายหุ้นครั้งนี้อาจเป็นกลุ่มเสี่ยป.นั่นเอง ทั้งที่หุ้น 2 ตัวนี้ไม่มีข่าวดีอะไรออกมา จึงไม่มีเหตุอันใดที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ

โดยพฤติกรรมดังกล่าว พบว่า ช่วงเช้ามีการเข้าไปไล่หุ้น DCON ก่อน จนทำให้ราคาดันขึ้นไปแตะสูงสุด 4.86 บาทแต่หลังจากนั้นช่วง 15.00 น.มีการขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้นปิดตลาด 3.12 บาท ตัวลดลง 0.62 บาท มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น119 ล้านบาท

การขายหุ้นออกมาดังกล่าวเพื่อต้องการโยกเงินไปเล่นหุ้น EWC ต่อ หลังจากพบว่าวอลุ่มช่วงเวลาที่ขายหุ้น DCON เป็นช่วงเวลาเดียวกับวอลุ่มซื้อ EWC เข้ามาทีเดียวเกือบ6 หมื่นหุ้นหลังจากนั้นเคาะกันอีก 6-7 หมื่นหุ้นประมาณ 3-4 ครั้งช่วงก่อนปิดตลาด จนทำให้ราคา EWC พุ่งแตะ 9.40 บาท(กว่า 23%) ก่อนจะมาปิดตลาดที่ 9.15 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 93.34 ล้านบาท

ประเด็นที่กลุ่มดังกล่าวจับหุ้น 2 ตัวนี้ขึ้นมาเล่นเนื่องจากเป็นหุ้นตัวเล็กปั่นราคาง่ายแถมสภาพจำนวนหุ้นน้อย จึงเหมาะที่จะหยิบขึ้นมาเก็งกำไรช่วงตลาดไม่มีหุ้นพื้นฐานให้เล่นอย่างไรก็ตาม เชื่อว่าวันนี้น่าจะมีแรงเทขายทำกำไรหุ้น EWC ออกมา

นายวิทวัส พรกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน)หรือ DCON เปิดเผยกับข่าวหุ้นธุรกิจถึงความเคลื่อนไหวราคาหุ้น DCON ว่า ผมไม่รู้ว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงก่อนปิดตลาดทั้งที่ช่วงเช้าราคาหุ้นยังอยู่ในแดนบวกและมีผลประกอบการอยู่ในทิศทางที่ดี

ยืนยันว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่รายเดิมและพันธมิตรอย่างกลุ่มตระกูลพรกุล โตวันและสารสินไม่ได้ซื้อขายหุ้น DCON แน่นอน แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าผู้ถือหุ้นกลุ่มอื่นๆที่เข้ามาซื้อหุ้นDCON ทีหลังจะเข้ามาซื้อขายหุ้นครั้งนี้ ปัจจุบันมีกลุ่มที่ผมไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว ประมาณ2-3 กลุ่ม อาทิ กลุ่มวิภัติภูมิประเทศ ที่ถือหุ้นบริษัท 1.73%และกลุ่มชลคดีดำรงกุล ถือหุ้นจำนวน 1.26% เป็นต้นนายวิทวัสกล่าว

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/49 เชื่อว่าจะมีตัวเลขทรงตัวจากไตรมาสแรกที่ผ่านมาที่มีรายได้จำนวน 201.04 ล้านบาท กำไรสุทธิ 20.42 ล้านบาท เพราะโครงการส่วนใหญ่ของบริษัทจะรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง
ขณะที่ผลประกอบการในปี 49 บริษัทจะมีรายได้รวมเติบโตประมาณ 70% เทียบกับปีก่อนที่มีรายได้จำนวน 620 ล้านบาทเนื่องจากบริษัทได้ขยายการลงทุนใหม่ๆเพิ่มขึ้น และได้เพิ่มกำลังการผลิตสินค้าในทุกโรงงาน อาทิ ในส่วนโรงงานที่หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี ลพบุรีเพื่อรองรับความต้องการที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น

ในช่วงไตรมาส3 และ 4 บริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการบ้านอรดาและผลิตภัณฑ์ใหม่ประเภทอิฐมวลเบาที่เตรียมเปิดตัวสินค้าไตรมาส 3 ดังนั้นผลการดำเนินงานในช่วงดังกล่าวจะดีกว่า 6 เดือนแรกที่ผ่านมาอย่างไรก็ดีปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E) 0.1เท่า นายวิทวัส กล่าว

บริษัทได้ตั้งเป้างบลงทุนปี49 ไว้ประมาณ 60 ล้านบาท โดยจะนำไปลงทุนขยายโรงงานผลิตอิฐมวลเบาในหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 20 ล้านบาทและสุราษฎร์ธานี 40 ล้านบาทเงินดังกล่าวจะนำมาจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์และกระแสเงินสดที่มีอยู่ในมือ

นายวิทวัส กล่าวต่อว่า สำหรับความคืบหน้าในการออกผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบาชนิดพิเศษปลอดเชื้อรา ขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบการผลิต เบื้องต้นได้เริ่มผลิตแล้วประมาณ 3-5% ของกำลังผลิตรวม ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี โดยในช่วงไตรมาส 3 จะเดินเครื่องผลิต 60,000ก้อนต่อวัน หรือประมาณ 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน

ในช่วงอีก 1-2 เดือนข้างหน้าบริษัทจะเดินเครื่องผลิตผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบาดังกล่าวเต็มกำลังการผลิต เพราะเป็นช่วงเดียวกับที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวออกวางตลาด อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาได้ทดสอบตลาด ซึ่งมียอดขายค่อนข้างดี แม้สินค้าใหม่จะมีราคาแพงกว่าสินค้าอิฐมวลเบาในตลาด แต่จากคุณภาพที่ดีกว่าทำให้ลูกค้าเลือกซื้อมากขึ้นนายวิทวัส กล่าว

ที่มา ข่าวหุ้น[/color:b9f3dd1f93">