กองทุน-รายย่อยช้อนซื้อ ดันดัชนีกระเตื้องยืน 700

1 มิถุนายน 2549 07:33 น.
ตลาดหุ้นปั่นป่วนหนักดิ่งฮวบ 15.66 จุด หลุดกรอบ 700
ผลพวงตลาดหุ้นเอเชียร่วงวิตกดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐต่ำสุดรอบ 3 เดือน

ตลาดหุ้นไทยสวิงหนักถูกกระหน่ำขายตามตลาดหุ้นเอเชียที่ร่วงตามวอลล์สตรีท
เหตุดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐลดต่ำสุดรอบ 3 เดือน
กดดัชนีร่วงลึก 15.66 จุด หลุดระดับ 700 ก่อนกระเตื้องท้ายตลาดดันดัชนียืนเหนือระดับ 700 จุด
โดยนักลงทุนต่างชาติขายต่อเนื่องอีก 1.25 พันล้านบาท

บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ วานนี้ (31 พ.ค.)
ดัชนีหุ้นปรับลดลงตั้งแต่เปิดตลาดการซื้อขาย
โดยปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 698.30 จุด ลดลง 15.66 จุด หลุดแนวรับสำคัญที่ระดับ 700 จุด
ก่อนที่จะฟื้นตัวมาปิดการซื้อขายที่ 709.43 จุด ลดลง 4.53 จุด ปริมาณการซื้อขาย 14,027 ล้านบาท

โดยนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 339.04 ล้านบาท
นักลงทุนรายย่อย 916.46 ล้านบาท
และนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1,255.50 ล้านบาท [/color:97bc379ea4">

นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต เปิดเผยว่า
ดัชนีวานนี้ (31 พ.ค.) เป็นการปรับตัวลดลงเพราะจิตวิทยาการลงทุน
เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐ และตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายตลาด ดัชนีไทยสามารถปรับตัวขึ้นมาได้โดยไม่หลุดกรอบ 700 จุด
โดยหุ้นที่มีแรงซื้อเข้ามามากเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มหลัก อาทิ ธนาคาร พลังงาน และวัสดุก่อสร้าง
ประเมินว่าน่าจะเป็นนักลงทุนในประเทศเข้าซื้อไว้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นวันนี้(1 มิ.ย.)มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องได้
เนื่องจากค่าเงินบาทไทยส่งสัญญาณแข็งตัวได้อย่างต่อเนื่องแม้จะมีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ
โดยประเทศไทยขาดดุลการค้าเดือนเมษายน 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
และดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดทุน 283 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งเป็นการขาดดุลในรอบหลายเดือนแต่ค่าเงินไทยยังแข็งค่าอยู่ได้
ทั้งนี้ประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาท
อาจทำให้มีแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งก็เป็นได้

นอกจากนี้ แนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นในวันที่ 7 มิถุนายน มีสัญญาณที่ชัดเจนขึ้น
ภายหลังจากกระทรวงพาณิชย์ ประกาศตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อที่ระดับ 6.2%
ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หนุนให้นักลงทุนต่างประเทศกลับเข้าลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้มีการแกว่งตัวในทิศทางเดียวกับดัชนี ในภูมิภาค
รวมทั้ง นักลงทุนยังมีความกังวลในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อจากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น

โดยในวันที่ 7 มิถุนายน ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)
จะมีการประชุมเพื่อหารือในเรื่องอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ ในส่วนของภาวะในประเทศ
ยังขาดปัจจัยที่มาสนับสนุนใหม่ๆ ที่จะเข้ามาสนับสนุนตลาด

สำหรับกลุ่มที่มีการขายออกมามาก
ได้แก่ หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคาร
เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองที่ขณะนี้ยังไม่มีข้อยุติ

อย่างไรก็ตาม ในส่วนทิศทางของตลาดหุ้นในวันนี้ (1 มิ.ย.)
ด้านนักลงทุนยังรอดูความชัดเจนจากการประชุมของผู้ค้าน้ำมันกลุ่มโอเปค
ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะมีการประชุมในวันนี้ (1 มิ.ย.)
โดยการประชุมครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน
โดยประเมินแนวต้าน 710 จุด และแนวรับอยู่ที่ 695 จุด

ตลาดหุ้นเอเชียร่วงตามวอลล์สตรีท
ขณะที่ดัชนีหุ้นนิกเคอิในตลาดโตเกียววานนี้ (31 พ.ค.)
ร่วงลง 392.12 จุด หรือ 2.47% ปิดที่ระดับ 15,467.33 ต่ำสุดในรอบ 3 เดือน นับจากวันที่ 20 กุมภาพันธ์
ขณะที่ดัชนีหุ้นสเตรตส์ ไทมส์ ของสิงคโปร์ลดลง 57.67 จุด หรือ 2.4%
ปิดที่ 2,383.87 ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน นับจากวันที่ 25 มกราคม

สำหรับตลาดวอลล์สตรีทเมื่อวันอังคาร (30 พ.ค.)
ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์รูดลง 179.38 จุด หรือ 1.59% ปิดที่ 11,099.23
และดัชนีหุ้นแนสแด็กลดลง 45.63 จุด หรือ 2.06% ปิดที่ 2,164.74

เทรดเดอร์ กล่าวว่า ราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น
และแนวโน้มซบเซาของ วอล-มาร์ท สโตร์ ซึ่งรายงานยอดขายเดือนพฤษภาคม น่าผิดหวัง

เหตุจากราคาน้ำมันสูงขึ้น จุดประกายความกังวลว่า ผู้บริโภคอาจประหยัดการใช้จ่าย
ขณะที่รายงานดัชนีความมั่นใจผู้บริโภคลดลงเมื่อเดือนพฤษภาคม
หลังแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปีเมื่อเดือนเมษายน
ตอกย้ำความวิตกว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจชะลอตัวเมื่อผู้บริโภคใช้จ่ายน้อยลง
และการปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีคลังสหรัฐ ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนเล็กน้อยแก่นโยบายเศรษฐกิจ

ตลาดหุ้นเอเชียเผชิญแรงขายทั่วตลาด
ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นของสหรัฐ
แม้มีสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
ขณะที่มีแนวโน้มว่าตลาดโลกจะมีความผันผวนอย่างมาก
การเทขายหุ้นในตลาดสหรัฐ และละตินอเมริกา เมื่อวันก่อนหน้านั้น
ยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุน และทำให้เกิดความวิตกว่า
นักลงทุนต่างชาติอาจหลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีความเสี่ยงมากขึ้น

นักวิเคราะห์ในตลาดโตเกียว กล่าวว่า
การร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์ก เป็นผลจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจของสหรัฐ
หลังจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นและข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอทำให้ตลาดกังวลว่า
นักลงทุนต่างชาติรายใหญ่อาจขนเม็ดเงินออกจากตลาดเอเชีย

นายโนฮิโร ฟูจิโตะ นักยุทธศาสตร์การลงทุนอาวุโส มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ซิเคียวริตีส์ กล่าวว่า
นักลงทุนสถาบันต่างชาติขนเม็ดเงินออกจากตลาดเกิดใหม่หลายแห่งในช่วงกลางสัปดาห์ที่แล้ว
และดูเหมือนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวกำลังเกิดขึ้นอีก

นักลงทุนเลี่ยงความเสี่ยง

หุ้นกลุ่มส่งออกสำคัญ เช่น ชาร์ป คอร์ป. โซนี่ คอร์ป. และโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป.
รวมทั้งหุ้นกลุ่มโบรกเกอร์ อยู่ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักสุด
ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของราคาโลหะ
และผลกระทบที่อาจมีต่อตัวเลขผลประกอบการ
ขณะที่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีชั้นสูงร่วงลงเพราะความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ไอทีทั่วโลก

นายคาซูฮิโร ทาคาฮาชิ ผู้จัดการฝ่ายบริหารและวางแผนหลักทรัพย์
บริษัทไดวา ซิเคียวริตีส์ กล่าวว่า
ตลาดวิตกว่าสหรัฐอาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อ
แม้มีความเป็นไปได้มากขึ้นเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
และเมื่อพิจารณาเกี่ยวกับความวิตกดังกล่าวของนักลงทุนในตลาดโลก
ก็ทำให้มีความกังวลว่ากลุ่มตลาดเกิดใหม่จะทรุดตัวลงต่อเนื่องเป็นลูกโซ่

ตลาดหุ้นต่างๆ ล้วนถูกกดดัน ท่ามกลางความวิตกว่า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ
จะทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีความเสี่ยงมากขึ้น
โดยคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด กลุ่มวิจัยเอกชนของสหรัฐ รายงานเมื่อวันอังคาร (30 พ.ค.) ว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน
เมื่อเดือนพฤษภาคม ซึ่งย้ำถึงมุมมองดังกล่าว

การร่วงลงต่อเนื่องในหุ้นกลุ่มมูลค่าตลาดต่ำของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผลจากปัญหาด้านบัญชีในช่วงที่ผ่านมา
และการปรับตัวลงในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เช่น อินเดีย ก็ทำให้เกิดความวิตกว่า
นักลงทุนอาจถอนการลงทุนออกจากตลาดหุ้นโลก
อีกทั้งความเชื่อมั่นที่ลดลงของนักลงทุนรายย่อย
ก็ส่งผลให้ตลาดมีความระมัดระวังมากขึ้น

ทางด้านตลาดหุ้นอินเดีย ดัชนีหุ้นเซนเซกส์ร่วงลง 675 จุด หรือ 6.4% อยู่ที่ระดับ 10,112
ต่ำสุดในการค้าระหว่างวัน นักลงทุนต่างชาติถอนตัวออกจากตลาดสืบเนื่องจากความวิตกว่า
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะทำให้ผลตอบแทนจากหุ้นอินเดียมีความน่าดึงดูดใจน้อยลง

การเทขายของกองทุนต่างชาติในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
ฉุดดัชนีตลาดหุ้นเกิดใหม่ลงราว 15% จากระดับสูงสุดในรอบหลายปีที่ทำไว้เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม

ตลาดหุ้นอินเดียได้แรงหนุนเล็กน้อย
จากข่าวเศรษฐกิจในประเทศขยายตัว 9.3% ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม
เทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว และขยายตัว 8.4%
ตลอดปีงบประมาณที่ผ่านมา ซึ่งสิ้นสุดเมื่อเดือนมีนาคม ถือเป็นตัวเลขเหนือความคาดหมายส่วนใหญ่

นายอาจิต สุรานา กรรมการผู้จัดการ ไดเมนชันแนล ซิเคียวริตีส์ กล่าวว่า
ในตลาดที่มีสภาพย่ำแย่เช่นนี้ นักลงทุนมักเมินเฉยต่อข่าวดี
ความวิตกเกี่ยวกับการดิ่งหนักของตลาดหุ้นทั่วโลก
ตั้งแต่วอลล์สตรีทไปถึงละตินอเมริกา และยุโรป
กลายเป็นปัจจัยขัดขวางความต้องการของนักลงทุนในการซื้อหุ้น

ตลาดหุ้นออสเตรเลียทำสถิติดิ่งหนัก
ดัชนีหุ้นหลักร่วงลง 103.7 จุด หรือ 2.03% ปิดที่ระดับ 5,001.7
รวมแล้วลดลง 4.9% ตลอดเดือนพฤษภาคม ถือเป็นการปรับตัวลงมากที่สุด
เมื่อเทียบเป็นรายเดือน
นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2546 แรงกดดันส่วนใหญ่มาจากการรูดลงของหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน
ผลจากราคาโลหะปรับตัวลง ขณะที่เทรดเดอร์ กล่าวว่า
บรรยากาศโดยรวมของตลาดได้รับผลกระทบจากความวิตกเกี่ยวกับการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐ


ที่มา กรุงเทพธุรกิจ [/color:24a6d6b0e5">