April 29, 2024   12:41:30 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นแดง?ยังแพงอยู่?
 

arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
วันที่: 31/05/2006 @ 10:31:12
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

หุ้นแดง?ยังแพงอยู่?



--------------------------------------------------------------------------------

ทิศทางดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระยะสั้นยังค่อนข้าง อึมครึม และยังอยู่ในภาวะ หุ้นแดง ยังแพงอยู่ เนื่องจากตลาดระยะสั้นยังขาดปัจจัยที่กระตุ้นจิตวิทยาการลงทุนทำให้กรอบการเคลื่อนไหวของตลาดระยะสั้นยังอยู่ในกรอบ 680 -740 สำหรับมุมมองแคบ ๆ ซึ่งปัจจัยกระทบต่อแนวโน้มการลงทุนระยะสั้นยังคงเป็นตัวแปรเดิม ๆ คือ การเมือง เงินเฟ้อ ดอกเบี้ยสูง น้ำมันแพง ค่าแรงไม่ได้ขยับอะไรทำนองนั้น

ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดที่ระดับ 713.96 ลดลง 7.62 จุดโดยมีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 7,642 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่ราคาปิดเพิ่มขึ้นมี 75 หลักทรัพย์ ลดลงมี 272 หลักทรัพย์ อีก 80 หลักทรัพย์ราคาปิดไม่เปลี่ยนแปลง ดัชนีสูงสุดระหว่างวัน 720.93 ลดลง 0.65 และต่ำสุดที่ระดับ 712.79 ลดลง 8.79 จุด
ภาพที่เกิดขึ้นยังสะท้อนว่าตลาดระยะสั้นยังค่อนข้างซบเซาและเปราะบาง เนื่องจากระดับความเชื่อมั่นในการลงทุนยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งยังคงลดความเสี่ยงด้วยการขายหุ้นเพื่อถือเงินสดเป็นการชั่วคราว

ตัวแปรที่กระทบต่อบรรยากาศและจิตวิทยาการลงทุนระยะสั้น ตัวแปรหลักยังเป็นเรื่องเดิม ๆ เช่น
เศรษฐกิจที่ชะลอตัวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคาดการณ์ทางเศรษฐกิจต่างออกมาประกาศปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ปัญหาการเมืองที่ยังต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา เรื่องการเลือกตั้ง
และการฟ้องร้องกันระหว่างพรรคการเมืองและหน่วยงานที่เกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้ง ปัญหาราคาน้ำมันแพงที่กระทบต่อต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพของประชาชน ปัญหาดอกเบี้ยแพงที่ทำให้กำลังซื้อของคนที่มีรายได้ประจำลดลง ตลอดจนปัญหาเกี่ยวกับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ตลอดจนผลประกอบการของบริษัทขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลง และยังมีปัญหาเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของงบการเงินที่ประกาศออกมา

ตัวแปรดังกล่าวยังกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนระยะสั้นยังไม่สามารถควบคุมได้ เนื่องจากเป็นตัวแปรภายนอก ดังนั้นทางเลือกของนักลงทุนมีอยู่ไม่กี่ทาง เช่น ถือหุ้นต่อ หรือลงทุนเพิ่มก็เผชิญกับความเสี่ยงของราคาหุ้นที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลง การขายหุ้นออกจะเป็นส่วนหนึ่งที่ดึงเงินสดกลับคืนมา หรือการใช้กลยุทธ์ ขายเพื่อหยุดการขาดทุน ก็เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการปรับยุทธวิธีการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
การเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้

กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นคาดว่า การถือเงินสดหรือตราสารหนี้ในอัตรามากกว่า 60 % ยังเป็นกลยุทธ์หลักในการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้นในช่วง 1 -2 เดือนข้างหน้าเพราะผลตอบแทนจากเงินฝากนั้นอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 5% สำหรับเงินฝากประเภท 3 เดือนขึ้นไป ส่วนดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวลดลงประมาณ 10% ในช่วงเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งหากนักลงทุนเทียบผลตอบแทนระหว่างตราสารทุน(หุ้น) กับตราสารหนี้ เช่น เงินฝากประจำ หรือพันธบัตรจะพบว่าแนวโน้มระยะสั้นความเสี่ยงในตลาดหุ้นยังคงค่อนข้างสูง

การประกาศผลการดำเนินงานของหุ้นขนาดเล็กที่มีปัญหาเรื่อง ธรรมาภิบาล นั้นยังคงเป็นประเด็นกดดันหุ้นหุ้นประเภทเก็งกำไรให้มีแนวโน้มราคาลดลง ตามผลการดำเนินงานที่ประกาศออกมา แม้ว่าระหว่างชั่วโมงการซื้อขายจะมี แกว่งตัวให้นักเก็งกำไร สามารถฉกฉวยสถานการณ์ระยะสั้น กินส่วนต่าง จากราคาหุ้นได้บ้าง แต่ไม่ได้มีเสถียรภาพของราคาเมื่อเวลาผ่านไป ปรากฏว่าคำตอบสุดท้ายคือ มูลค่าหุ้นที่ถืออยู่ในมือมีแนวโน้มลดลง

หากถามว่าจะเลือกหุ้นประเภทไหนในสถานการณ์ตลาดหุ้นปัจจุบัน คำตอบอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปกติการขึ้น ลง ของหุ้นแต่ละประเภทนั้นต่างกัน ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน สภาพคล่อง และจิตวิทยาการลงทุนว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นหรือไม่ ซึ่งไก่ทองเคยกล่าวถึงบ่อย ๆ ว่า หากประชนมีความเชื่อมั่น กระดาษก็กลายเป็นเงินได้ แต่หากประชาชนไม่มีความเชื่อมั่น เงินก็กลับกลายเป็นกระดาษได้เช่นกัน ถามว่าปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมี P/E ratio ที่ 8.57 เท่า และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 5.20 ล้านล้านบาท หากถามว่าน่าลงทุนไหม คำตอบคือ น่าสนใจ แต่ถ้าถามว่า จะลงทุนตอนนี้มั๊ย คำตอบ น่าจะเป็น ขอคิดดูก่อน เพราะความเชื่อมั่นยังไม่กลับคืนมานั่นเอง

หากนักลงทุนจัดสรรเงินลงทุนส่วนหนึ่งในตลาดหุ้น ซึ่งมีการวิจัยพบว่า ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นนั้นจะสูงกว่าผลตอบแทนจาก ตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ หรือตราสารในตลาดเงิน ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากนั้นจะให้ผลตอบแทนต่ำสุด โดยผลตอบแทนโดยเฉลี่ยผู้ลงทุนในหุ้นจะได้ประมาณ 12% ตราสารหนี้ประมาณ 6% และ
เงินฝากประมาณ 3% ส่วนความเสี่ยงจากการด้อยค่าของหุ้นจะมากเป็นที่หนึ่ง เช่นกัน ขณะที่การซื้อพันธบัตรและเงินฝากแทบจะไม่มีความเสี่ยง ดังนั้นช่วงนี้กลยุทธหลักคือ ถือครองหุ้นน้อยลง รอให้ตลาดทรงตัวได้แล้วค่อยเข้าลงทุนก็ไม่สายเกินไป

ส่วนหุ้นที่เข้าข่ายว่าจะให้ผลตอบแทนปานกลาง และความเสี่ยงไม่มากนัก คาดว่ายังเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่ผลประกอบการดี โดยเฉพาะเวลาเศรษฐกิจชะลอตัว บัฟเฟอร์ในเรื่องกำไรและสภาพคล่อง ควรจะเป็นตัวแปรสำคัญที่นักลงทุนต้องใช้ รองลงมาเป็นสภาพคล่อง และปัจจัยอื่น แต่ที่สำคัญ แม้ว่าจะเป็นหุ้นดี
แต่หากต้นทุนที่ซื้อ ๆ ที่ราคาสูงมาก ๆ ก็ไม่เป็นประโยชน์เช่นกัน เนื่องจากเวลาตลาดอยู่ในทางลง หุ้นส่วนใหญ่ก็จะมีโอกาสลงตามภาวะตลาดเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นหุ้นดีก็ตาม แต่หุ้นดี เมื่อตลาดฟื้นตัวก็จะอยู่แถวหน้า
และที่สำคัญยังมีเงินปันผลมาให้บ้าง ตรงกันข้ามกับหุ้นที่ผลประกอบการขาดทุน นอกจากไม่มีปันผลให้แล้ว ยังมา ควักเงินจากกระเป๋าเราไปเพิ่มทุนอีก

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจสำหรับการเลือกลงทุนและเก็งกำไรเมื่อตลาดเริ่มมีเสถียรภาพ เช่น BBL KTB SCB PTT PTTEP CPF SCC เป็นต้น ส่วนเกรด Money Game ฝากไว้ในตลาดก่อน สำหรับภาวะที่คนยังไม่เคาะขวาครับ

ที่มา / นสพ.ทันหุ้น (กราบขอบพระคุณในข้อมูลครับผม)

 กลับขึ้นบน
mr.w
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 490
#1 วันที่: 01/06/2006 @ 12:15:02 : re: หุ้นแดง?ยังแพงอยู่?
วัด ยาก จังนะครับ ว่าหุ้น แพง ไม่ แพง

แต่ที่แน่ แน่ ลงมาแรง แรง ต้องมีเด้ง คิก คิก

ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com