IEC กรณีศึกษาตลท. กับความชอบธรรมว่าอยู่ที่ไหน
หลังศาลปกครองสั่งเพิกถอนคำสั่งห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้นผู้บริหารบจ. -โบรกฯ ระบุ...
การดำเนินการกับ บจ.ในตลาดฯ ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของตลาดฯ
และขณะเดียวกันตลาดฯต้องแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ปฏิบัติ 2 มาตรฐานเพื่อให้บจ. มั่นใจในการทำงาน
โดยจะต้องมีหลักเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติที่ชัดเจน
ในขณะที่ บิ๊กตลท.ยังยืนยันหนักแน่นไม่ยกเลิกห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้น หุ้นตัวอื่นที่เหลืออยู่
และพร้อมยื่นอุทธรณ์การสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลปกครองให้เร็วที่สุด

หลังจากเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2549 ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ
เพิกถอนคำสั่งห้ามซื้อขายในลักษณะ Netsettlement และMargin Trading
ในหุ้นของบมจ. อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริ่ง (IEC) ตามที่บริษัทได้ยื่นคำร้องไป
โดยระบุว่าคำสั่งดังกล่าวทำให้นักลงทุนที่ทำการซื้อขายในลักษณะหักกลบลบหนี้
ซึ่งเป็นการซื้อขายหลักทรัพย์โดยทั่วไปของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯที่ทำการหักราคาซื้อกับราคาขาย
เข้าใจว่บริษัทที่ถูกห้าม Net Settlement และ Margin Trading
เป็นบริษัทที่มีปัญหาไม่น่าเชื่อถือ และอาจมีความไม่ปกติในการประกอบการ
ซึ่งโดยประเพณีการค้าที่ปฏิบัติกัน บริษัทหลักทรัพย์และกองทุนรวมต่างๆ จะไม่ยอมเข้าลงทุนนั้น
จนทำตลาดหลักทรัพย์ฯสั่งเพิกถอนและอนุญาติให้หุ้น IEC สามารถ
ซื้อขายได้ตามปกติตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมเป็นต้นมา
ซึ่งการสั่งห้ามซื้อขายแบบ Netsettlement และ MarginTrading ของ IEC นั้น
ตลาดหลักทรัพย์ฯได้สั่งห้ามตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม ถึง 22 มิถุนายน 2549

การตัดสินของศาลปกครองกลางดังกล่าว แม้จะเป็นเพียงยกแรกก่อนที่จะมีการนัดไต่สวนอีกครั้ง
สำหรับประเด็นการฟ้องร้องค่าเสียหายอีกกว่า 3.1 พันล้านบาทในขั้นต่อไปนั้น
ทำให้เกิดคำถามต่อมาตรการในการดำเนินการกับบริษัทจดทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์ฯขึ้นมาทันทีว่า
ในช่วงที่ผ่านมากับการสั่งห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้น ในหุ้นหลายๆตัวมีความถูกต้องและชอบธรรมมากเพียงใด
และส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทมากน้อยแค่ไหน
และผู้บริหารตลาดฯใช้มาตรฐานหรือบรรทัดฐานตัวใดในการพิจารณาว่าจะห้ามไม่ให้หุ้นตัวใดซื้อขายได้ตามปกติ
รวมไปถึงการกำหนดระยะเวลาในการสั่งห้ามด้วย

ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าหุ้น IEC ถูกตลาดฯสั่งห้ามเน็ทฯและมาร์จิ้นค่อนข้างจะนานกว่าหุ้นตัวอื่น
ดังนั้นทันทีที่ศาลปกครองมีคำสั่งให้เพิกถอนดังกล่าว....
โดยระบุว่าการแทรกแซงของรัฐเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะต้องใช้อำนาจอย่างระมัดระวัง
และเป็นกรณีเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งไม่ควรมีระยะเวลาติดต่อหรือต่อเนื่องกันเกินกว่า 30 วันทำการ
เนื่องจากจะก่อให้เกิดผลเสียต่อการบริหารกิจการของบริษัทเจ้าของหลักทรัพย์จนไม่อาจแก้ไขเยียวยาได้
ยิ่งแสดงให้เห็นว่าการพิจารณาของตลาดฯในช่วงที่ผ่านมาเกิดข้อผิดพลาดหรือไม่


ดังนั้นหากจะบอกว่ากรณีไออีซี กำลังจะกลายเป็นกรณีศึกษาให้กับผู้บริหารตลาดฯ
ว่าจากนี้การสั่งห้ามหุ้นตัวใดเป็นระยะเวลาที่นานเกินไปอาจจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของตลาดฯเสียเอง
อีกทั้งยังทำให้เกิดความคลางแคลงใจต่อภาพพจน์ของตลาดฯ ในสายตาของบริษัทจดทะเบียนอีกด้วย
เพราะบางครั้งมาตรการของตลาดฯ แม้ว่าอาจจะมีเจตนาที่ดีและทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุนก็จริงอยู่
แต่อาจทำใหผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติของตลาดฯ เช่นเดียวกัน....

แม้ว่านายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์จะยืนยันว่าไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชังกับหุ้นบริษัทใด
เพราะการพิจารณาในการดำเนินการนั้น จะมีคณะทำงานพิจารณาเป็นทีมอยู่แล้ว
อีกทั้งยังย้ำว่าตลาดฯจะไม่ยกเลิกมาตรการดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม คำยืนยันนี้อาจจะไม่เพียงพอ หากคำตัดสินยกที่ 2ของศาลปกครองจะให้ไออีซีชนะในคดีการเรียกร้องค่าเสียหาย
ซึ่งนั้นเท่ากับทำให้ความชอบธรรมของตลาดฯ อาจจะมัวหมองลงได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคงไม่สามารถตัดสินและชี้ขาดลงไปได้ชัดเจน เพราะคงต้องรอการวินิจฉัยของศาลที่ยังไม่เกิดขึ้น
เพียงแต่ต้องรอลุ้นกันเท่านั้น แต่ทั้งนี้ก็ถือว่าการที่ไออีซีสามารถทำให้ศาลเห็นใจและสั่งเพิกถอนคำสั่งของตลาดฯได้
ก็น่าจะทำให้การดำเนินการใดๆของตลาดฯ จากนี้จะต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวังและรอบคอบที่สุด
เพื่อไม่ให้เกิดคำถามว่าความชอบธรรมของตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ที่ไหน

* ผู้บริหารบจ. ถามหาจิตสำนึกตลท.ในการดำเนินการกับบจ.

แหล่งข่าวจากบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แห่งหนึ่ง
เปิดเผยถึงกรณีที่ศาลปกครองได้มีคำสั่งให้ตลาดฯเพิกถอนคำสั่งห้ามเน็ทฯ - มาร์จิ้นหุ้น IEC ว่า
ในส่วนของบริษัทไม่มีความจำเป็นที่จะไปฟ้องร้องตลาดฯให้เพิกถอนคำ
สั่งห้ามซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ เหมือนกับ IEC
เนื่องจากการกระทำดังกล่าว ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับบริษัทฯ เลย
ซึ่งต่อจากนี้ไปคงจะต้องขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของตลาดฯ
ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไรกับบริษัทฯ ที่ถูกสั่งห้ามซื้อขายในลักษณะ Net Settlement และ Margin Trading

การที่ตลาดฯดำเนินการอาจเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฏเกณฑ์
แต่ศาลฯ ก็คงมีเหตุผลที่เพียงพอในการสั่งให้ตลาดฯเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว
นอกจากนี้ส่วนตัวมีความคิดเห็นว่านักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นที่ถูกห้ามเน็ตฯและมาร์จิ้นคงมีวิจารณญาณ
และมีความรู้ที่เพียงพอ หากเกิดความเสียหายขึ้นก็เชื่อว่านักลงทุนคงจะยอมรับได้
รวมทั้งอาจพิจารณาให้ดีความเสียหายที่เกิด ขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น
ดังนั้นสิ่งที่ตลาดฯดำเนินการอาจเป็นเรื่องที่ไม่ตรงกับประเด็นนัก แหล่งข่าว กล่าว



* บิ๊กEPCO เชื่อตลาดฯมีเหตุผลพอในการห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้น

นายวีระ เหล่าวิทวัส กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EPCO กล่าวว่า
ไม่ขอวิจารณ์การตัดสินของศาลปกครองเนื่องจากเคารพในคำตัดสินของศาลฯ
ส่วนกรณีที่ตลาดฯมีความชอบธรรมหรือไม่ ก็ไม่ขอวิจารณ์เช่นกัน
เพราะทุกอย่างที่ตลาดฯ ดำเนินการก็คงจะมีเหตุผลที่เพียงพอในการตัดสินใจ
และคงทำตามกฏระเบียบของตลาดฯ ซึ่งไม่ได้เลือกปฏิบัติแต่อย่างใด

ผมไม่กล้าที่จะไปวิจารณ์ศาลหรือตลาดหลักทรัพย์ เพราะเคารพในคำตัดสินของศาลฯ
รวมทั้งเชื่อว่าการที่ตลาดฯดำเนินการอย่างก็คงเป็นไปตามกฏเกณฑ์ของตลาดฯและต้องมีข้อมูลที่เพียงพอด้วย นายวีระ กล่าว

วงการ ระบุ ตลาดฯต้องไม่มี 2 มาตรฐาน....

ด้านแหล่งข่าวจากโบรกเกอร์รายหนึ่ง กล่าวว่า
การที่ตลาดหลักทรัพย์สั่งห้ามการซื้อขายแบบเน็ตเซ็ทเทิลเมนท์และบัญชีมาร์จิ้นหุ้น IEC
ถือว่าเป็นการปฏิบัติที่ชอบธรรมเพราะตลาดหลักทรัพย์มีหน้าที่ดูแลการซื้อขายให้อยู่ในภาวะปกติ
แต่ตลาดหลักทรัพย์ต้องแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ปฏิบัติ2มาตรฐานเ
พื่อให้บริษัทจดทะเบียนมั่นใจกระบวนการทำงานของตลาดหลักทรัพย์
โดยจะต้องมีหลักเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติที่ชัดเจน

ตลาดหลักทรัพย์มีความชอบธรรมในการใช้มาตรการห้ามเน็ตและมาร์จิ้นหุ้นIEC
เพราะมีหน้าที่ในการดูแลการซื้อขาย แต่ตลาดหลักทรัพย์ต้องไม่มี 2 มาตรฐานในการทำงาน
เพื่อไม่ให้เกิดข้อกังขาโดยจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็นและออกระเบียบและหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน? แหล่งข่าวกล่าว

อย่างไรก็ดี มองว่าตลาดหลักทรัพย์ไม่จำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบ
กรณีที่การบังคับใช้มาตรการห้ามเน็ตและมาร์จิ้นหุ้น IEC จนกระทบแผนการขายหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท
เพราะตลาดหลักทรัพย์มีหน้าที่ดูแลให้การซื้อขายในตลาดหุ้นเป็นไปอย่างปกติและถูกต้อง
ซึ่งหากตลาดหลักทรัพย์ไม่ปฏิบัติอาจถูกกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่


นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า
การที่ตลาดหลักทรัพย์มีมาตรการห้ามเน็ต-มาร์จิ้นหลักทรัพย์ที่มีการเคลื่อนไหว ผิดปกตินั้นถือว่าเป็นมาตรการที่ดี
เพราะจะเป็นการช่วยป้องกันความเสี่ยงให้กับนักลงทุนในระดับหนึ่งและจะสามารถควบคุมการปั่นหุ้นได้
แต่ทั้งนี้การดำเนินการของตลาดฯในบางครั้งก็มักจะก่อให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ได้
หรือไม่มีความชอบธรรรมและมีส่วนได้ส่วนเสียในหุ้นนั้นๆ จนทำให้มีการเลือกปฏิบัติต่อหุ้น
ได้ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความเสียหายและทำให้ข้อสงสัยถึงการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์

อย่างไรก็ดี มองว่าหากเจ้าหน้าที่มีการปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามมาตรฐานนั้น
คงจะต้องมีการการจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติทันที
เช่นให้มีการขึ้นเครื่องหมาย H หรือ SP เป็นต้น
ซึ่งถ้าตรวจสอบแล้วไม่พบความผิดปกติ แล้วค่อยปลดเครื่องหมายออก ซึ่งเชื่อว่าคงไม่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นมากนัก
แต่ไม่ใช่มีการปล่อยให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่งแล้วค่อยมีคำสั่งห้ามการซื้อขาย

* ตลท. ยันไม่ยกเลิกมาตรการห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้นหุ้นตัวอื่นตาม IEC
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า
ตลท.จะไม่ยกเลิกมาตรการห้ามเน็ต-มาร์จิ้นหุ้นตัวอื่นที่อยู่ระหว่างถูกบังคับใช้มาตรการดังกล่าวเหมือน IEC
เพราะกรณี IEC ตลท.ปฎิบัติตามคำสั่งศาลและ ตลท. มีหน้าที่ดูแลการซื้อขายและปฎิบัติตามข้อบังคับของตลท.
ซึ่งผู้บริหารบริษัทเหล่านั้นมีสิทธิที่จะฟ้องร้องตลท.ได้ตามกระบวนการตามกฎหมายหากเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีหุ้น 3 ตัวที่ตลท.ยังดำเนินมาตรการห้าม
เน็ตและบัญชีมาร์จิ้นคือ MME , APURE , APURE-W1

การใช้มาตรการห้ามเน็ทฯและมาร์จิ้นของตลาดหลักทรัพย์เป็นการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มีอยู่
ไม่ได้เลือกปฏิบัติเฉพาะหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งการบังคับใช้มาตรการอาจมีความแตกต่างกัน
เนื่องจากหุ้นแต่ละตัวมีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกัน รองผู้จัดการ ตลท. กล่าว

นางสาวโสภาวดี กล่าวว่า วานนี้ (18 พ.ค.)คณะอนุกรรมการกฎหมายของตลาดหลักทรัพย์
ได้หารือเพื่อยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองที่ให้ยกเลิกมาตรการห้ามเน็ทเซทเทิลเม้นท์และห้ามมาร์จิ้นหุ้น IEC
ซึ่งตลาดหลักทรัพย์จะชี้แจงต่อศาลฯ ว่าตลาดหลักทรัพย์ปฏิบัติตามหน้าที่
พร้อมทั้งส่งเหตุผลและรายละเอียดอื่นๆ ให้ศาลฯ พิจารณา โดยจะยื่นอุทธรณ์ให้เร็วที่สุด