วิกฤติ VS โอกาส ?



--------------------------------------------------------------------------------

แนวโน้มดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้นเริ่มวิ่งเข้าสู่แนว วิกฤติ คือ โอกาส โอกาส คือวิกฤติ
ซึ่งหมายความว่าระยะสั้นดัชนีได้วิ่งเข้ามาสู่แนวที่อาจจะสามารถเก็งกำไรเพื่อเล่นราคาหุ้นตีกลับทางเทคนิคเนื่องจากปรับตัวแรงและเร็วเกินไปบริเวณแนวรับสำคัญบริเวณดัชนี 740 -720 จุด โดยมีทางวิ่งระยะสั้นบริเวณดัชนี 760 -765 จุดเป็นแนวสกัดดาวรุ่ง

การปรับตัวอย่างรุนแรงของดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์วานนี้ค่อนข้างเหนือความคาดหมายเพราะดัชนีมีการปรับตัวลดลงกว่า 2% ระหว่างวันทำการซื้อขาย โดยเหตุผลหลักมาจากบรรยากาศของตลาดหุ้นโลกที่อ่อนตัวลงทั้งในอเมริกา ยุโรป และเอเซีย โดยต้นเหตุแห่งความกังวลมาจากความวิตกเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ เพื่อใช้เป็นกลไกในการสกัดอัตราเงินเฟ้อและการเก็งกำไร

ขณะเดียวกันระดับราคาหุ้นของตลาดหุ้นส่วนใหญ่กำลังอยู่ที่สูง และอ่อนไหวต่อสถานการณ์ที่เข้ามากระทบ
ดังนั้นเมื่อมีการปรับตัวรุนแรงทำให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่อ่อนตัวตามไปด้วย ส่วนตลาดหุ้นไทยซึ่งอยู่ในภาวะของการอ่อนตัว ดังนั้นเมื่อตลาดหุ้นโลกเกิดอาการ ตกแบบรุนแรง จึงทำให้เกิดอัตราเร่งของการขายหุ้นออกมา
เนื่องจากสินค้าในตลาดเกิด ส่วนต่างของราคา ที่ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มแสวงหากำไร หรือโอกาสในการซื้อขายในลักษณะการขายหุ้นอีกตัวหนึ่งเพื่อหวังไปค้ากำไรเอาจากหุ้นอีกตัวหนึ่ง บนความเชื่อที่ว่ากิจกรรมดังกล่าวมีผลประโยชน์สูงกว่า ซึ่งความเป็นจริงจะเป็นไปตามแนวคิดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับทักษะ ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของนักลงทุนแต่ละบุคคล

อย่างไรก็ตามกลยุทธ์การเก็งกำไรในตลาดหุ้นขาลงนั้น บ่อยครั้งก็พบกับคำว่า ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะโดยเชิงกลยุทธ์ในภาวะตลาดหุ้นขาลงนั้นควรถือเงินสด แทนการถือครองหลักทรัพย์ เพราะมูลค่าหลักทรัพย์มีแนวโน้มของการเสื่อมค่าไว และกระทบต่อความรู้สึกค่อนข้างรุนแรง แต่ในทางปฏิบัติสำหรับนักลงทุนที่มีเวลาอยู่หน้าจอมักจะอาศัยช่วงเวลาที่หุ้นผันผวน เลือกหุ้นดี ๆ มาหาผลตอบแทนระยะสั้น ๆ ได้ แต่ความสำเร็จนั้นจะขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการเลือกหุ้น จังหวะการลงทุน เป็นส่วนสำคัญ

สำหรับองค์ประกอบสำหรับการเลือกหุ้นในภาวะที่หุ้นมีความผันผวนสูงนั้น ที่สำคัญได้แก่ 1.ส่วนลดของราคาหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานคงเดิมแต่ราคาปรับตัวรุนแรง (30 -50 -70% จากราคาก่อนหน้านี้) 2.สภาพคล่องในการซื้อขายควรจะเป็นหุ้นที่สภาพคล่องในการซื้อขายสูง และติด 40 อันดับหุ้นทีมีมูลค่าการซื้อขายสูง เพราะเป็นหุ้นที่ซื้อง่าย ขายคล่อง 3.ปัจจัยพื้นฐานควรจะดี เช่น P/E Ratio ต่ำ กำไรต่อหุ้นสูง มีเงินปันผลรออยู่ข้างหน้า หรือมีนโยบายจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง หนี้สินต่อทุนต่ำ ธุรกิจมีแนวโน้มดี ไม่อยู่ในข่ายที่ ทางการกำลังตรวจสอบเนื่องจากปัญหาเรื่องงบการเงินหรือการสร้างราคาหุ้นเป็นต้น
4. ถ้าจะให้ดีควรมีเจ้าภาพขนาดใหญ่เป็น Player ด้วยจะทำให้เด่นขึ้น

เมื่อได้หลักทรัพย์เข้าข่ายองค์ประกอบข้างต้นแล้ว นักลงทุน(ระยะสั้น) ก็ต้องเลือกบรรยากาศการลงทุนที่เป็นใจ
สังเกตุหุ้นขนาดใหญ่ว่ายังคงมีการทำจุดต่ำใหม่ ต่ำกว่าเก่าหรือไม่ ถ้าหากเสถียรและเริ่มเขียวหลังจากดัชนีปรับตัวรุนแรง 5 -7 วัน แสดงว่าบรรยากาศการเก็งกำไรเริ่มเปิด ดูตลาดหุ้นหลัก ๆ ที่คนส่วนใหญ่มักอ้างอิงประกอบการตัดสินใจลงทุน เช่น ดาวโจนส์ โตเกียว ฮ่องกง หากเป็นบวกหลักร้อยขึ้นไป เพิ่มความมั่นใจขึ้นอีกหน่อย
หลังจากนั้นดูหุ้นตัวที่ตนเองเลือกไว้เป็นยานพาหนะสำหรับเก็งกำไรว่า มีข่าวร้ายหรือไม่ ต้นทุนแข่งกับเพื่อน ๆ ได้เปรียบ เสียเปรียบ เป็นกลุ่มที่ตลาดสนใจหรือไม่สนใจ เมื่อพร้อมก็เตรียม ทำตามแผน หากสิ่งที่คิดถูกต้อง หุ้นไม่ควรลง แต่หากสิ่งที่คิดผิด ซื้อแล้วลงต่อก็ต้องเตรียม จัดการกับความเสียหาย เช่น จุดหยุดขาดทุน
จุดขายทำกำไร เป็นต้น

สำหรับหุ้นที่คาดว่าน่าสนใจสำหรับการ เก็งกำไรแบบสายฟ้าแลบ(เร็ว ๆ ชนิดห้ามกระพริบตา) เช่น JAS KEST ASP ASL TPI ส่วนรุ่นใหญ่ขึ้นมาหน่อยได้แก่ PTTEP TOP BBL BBL-F SCC LH STEC ITD เป็นต้น

ที่มา / นสพ.ทันหุ้น ( ขอบพระคุณในข้อมูลครับผม)

[b:bdc82f8b1f"> แต่ความสำเร็จนั้นจะขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการเลือกหุ้น จังหวะการลงทุน เป็นส่วนสำคัญ [/b:bdc82f8b1f">

ชอบประดยคนี้จังเลยครับ

ในนรก ยังมี นรก กว่า โอ้ เศร้า