May 6, 2024   12:12:00 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ***********ข่าว***********
 

U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
วันที่: 19/05/2006 @ 08:35:37
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

TRUBB พุ่งตามราคายาง ปีนี้เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 30%
Source - กระแสหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:05

หุ้น ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์ พุ่งขึ้นไม่หยุด ตามราคายางขาขึ้น ผู้บริหาร วรเทพ วงศาสุทธิกุล ลั่นนักลงทุนสนใจเข้าซื้อหุ้น เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่ดี และราคาหุ้นในกระดานยังต่ำกว่าบุ๊คแวลู ทุ่ม 100 ล้าน ปรับระบบผลิตใช้ถ่านหินแทนน้ำมันลดต้นทุน รุกบุกตลาดน้ำยางจีนเพิ่ม มั่นใจปีนี้เติบโตเพิ่มขึ้น 30% นักวิเคราะห์ประเมินราคาหุ้น TRUBB แนวต้านสำคัญที่ 21-22 บาท
นายวรเทพ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์ คอร์ปอเรชั่น(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB เปิดเผยถึงการที่ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวขึ้นว่า สาเหตุหลักน่าจะมาจากการที่บริษัทมีผลประกอบการในไตรมาสแรกออกมาดี ประกอบกับราคาหุ้นปัจจุบันนั้นถือว่ายังต่ำกว่าบุ๊คแวลูมาก จากปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทมากขึ้น เนื่องจากการประกาศงบไตรมาสแรกออกมาดีกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับราคาหุ้นของเราในช่วงที่ผ่านมานั้นถือว่ายังต่ำกว่าความเป็นจริงมากๆ จาก 2 ปัจจัยนี้อาจเป็นผลให้นักลงสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นของเรามากขึ้น
ปรับระบบผลิตเลิกใช้น้ำมัน-บุกจีนเพิ่ม
สำหรับแผนการดำเนินงานครึ่งปีหลังปี 2549 บริษัทจะลงทุนปรับระบบการผลิตในโรงงานใหม่โดยจะทำการเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันเตามาเป็นถ่านหินแทน คาดว่าจะใช้งบลงทุนในส่วนนี้ประมาณ 100 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะรุกตลาดต่างประเทศเพิ่ม โดยเล็งไปที่ประเทศจีน เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้น้ำยางข้นอยู่ในระดับสูง โดยประเทศจีนต้องนำเข้าน้ำยางข้นมากกว่า 50% เพราะอัตรากำลังการผลิตน้ำยางข้นของประเทศจีนยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ประกอบกับบริษัทเองเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูง ได้รับความไว้วางใจสูง โดยบริษัทรุกเปิดตลาดในประเทศให้มากขึ้น ปัจจุบันบริษัทส่งออกน้ำยางข้นไปยังต่างประเทศ ในสัดส่วนประมาณ 50% อาทิ ประเทศ มาเลเซีย จีน และยุโรป และจำหน่ายในประเทศประมาณ 50%
ตั้งเป้าอัตราเติบโตปีนี้เพิ่ม 30%
นายวรเทพ กล่าวต่อว่า ในปีนี้ได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 30% เมื่อเทียบกับปี 2548 ที่มีรายได้อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มผลประกอบการ ในไตรมาส 2/2549 ทางบริษัทยังมั่นใจว่า รายได้ในไตรมาส 2 น่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาสแรก เนื่องจากตอนนี้ราคายางยังอยู่ในระดับสูง ทิศทางของราคายังอยู่ในระดับที่สูง จะส่งผลให้รายได้ในไตรมาส 2 ของบริษัทเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3 และ4 นั้น ทางบริษัทยังคงจะต้องติดตามทิศทางของราคายางอย่างใกล้ชิด เนื่องจากราคายางนั้นมีความไม่แน่นอนสูง ประกอบกับในช่วงไตรมาส 3 นั้นเป็นช่วงฤดูฝนทำให้ดีมานด์ลดลงบ้างเล็กน้อย แต่เชื่อว่าในไตรมาส 4 ผลผลิตของน้ำยางจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามบริษัทได้ตั้งเป้าอัตรากำลังน้ำยางข้นอยู่ที่ประมาณ 200,000 ตัน จากอัตรากำลังเต็มที่อยู่ที่ 250,000 ตัน
ระบุราคายางทรงตัวในระดับสูง
ส่วนเรื่องของภาวะราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ทางบริษัทก็ได้รับผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทในเรื่องของต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นบริษัทจะทำการเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันเตามาเป็นถ่านหิน เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ส่วนเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น ทางบริษัทก็ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นเช่นเดียวกัน โดยมีผลในแง่ของต้นภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ส่วนทิศทางของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้น บริษัทค่อนข้างที่จะกังวลพอสมควร เนื่องจากบริษัทมีการส่งออกสินค้าจำหน่ายยังต่างประเทศด้วย ซึ่งหากค่าเงินบาทแข็งจนเกินก็จะส่งผลกระทบต่อบริษัทด้วยเช่นกัน
สำหรับแนวโน้มราคายางในปีนี้ มองว่าราคาน่าจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง เพราะที่ผ่านมาราคายางปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันราคายางได้พุ่งขึ้นไปแตะที่ระดับ 90 บาท ต่อ กก. แล้ว ถือว่าสูงมากๆ ซึ่งหากราคายางปรับตัวขึ้นไปมากกว่าผู้ประกอบการปลายน้ำก็อาจจะรับไม่ไหว จะส่งผลดีมานด์ในตลาดลดลง ดังนั้นในฐานะที่บริษัทเป็นผู้ประกอบการที่เป็นผู้ที่แปรรูปยาง ก็จะต้องติดตามสถานการณ์ราคายางอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามเชื่อว่าราคายางน่าจะยังปรับตัวขึ้นไปได้อีกถึงไตรมาส 3 แต่คิดว่าราคาคงจะไม่ปรับตัวสูงเกินไปกว่านี้
ราคาหุ้นขาขึ้นตามราคายาง
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS เปิดเผยว่า การที่ราคาหุ้นของ TRUBB เป็นการปรับตัวขึ้นตามราคายางที่พุ่งสูงขึ้น ประกอบกับผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 1/2549 ออกมาดีกว่าที่คาดไว้ รวมทั้งภาวะตลาดปรับตัวลดลง ทำให้นักลงทุนเข้าลงทุนในหุ้นตัวเล็กๆ ทั้งนี้ได้ประเมินราคาแนวรับของหุ้น TRUBB อยู่ที่ 17.40-18.80 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 20.70 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 21 บาท
ประเมินราคาหุ้นแนวต้าน 21-22บ.
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIS เปิดเผยว่า การที่ระดับราคาหุ้นของ TRUBB ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น สาเหตุมาจากการที่ราคายางปรับตัวขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง TRUBB ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2549 ออกมาดีกว่าในไตรมาส 4/2548 ทำให้นักลงทุนสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้น TRUBB มากขึ้น ประเมินราคาทางเทคนิคของหุ้น TRUBB แนวรับอยู่ที่ 17 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 22 บาท
_________________

 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#1 วันที่: 19/05/2006 @ 08:36:25 : re: ***********ข่าว***********
DCON เจรจาพันธมิตร ลุยงานภาคใต้-ผุดรง.ใหม่
Source - กระแสหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:06

ดีคอน ซุ่มเงียบเจรจาพันธมิตร หวังขยายฐานรับงานเพิ่มมากขึ้น ผู้บริหาร วิทวัส พรกุล ประกาศลุยคว้างานพื้นที่ภาคใต้ โครงการบ้านเอื้ออาทร พร้อมทุ่มงบ 30 ล้านบาท ผุดโรงงานใหม่แห่งที่ 4 ที่หาดใหญ่ เพื่อเป็นฐานผลิต คาดไตรมาส 3-4 แล้วเสร็จ ยอมรับผลกำไรลดลงจากต้นทุนน้ำมันพุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ประเมินหุ้น DCON สัญญาณแกว่งตัว แนวต้านสำคัญ 4 - 4.10 บาท
นายวิทวัส พรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ DCON เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้มีการเจรจากับทางพันธมิตร เพื่อรับงานก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรในพื้นที่หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเบื้องต้นได้ทำการตกลงกันทางด้านวาจาเกี่ยวกับราคาวัสดุก่อสร้างเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ทั้งนี้บริษัทเตรียมสร้างโรงงานแห่งที่ 4 ทันที เพื่อรองรับการรับงานในโครงการบ้านเอื้ออาทรดังกล่าว โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 25-30 ล้านบาท
เลื่อนสร้าง รง.ภาคใต้ไป Q3-4
ตอนนี้ความต้องการก่อสร้างในพื้นที่ ภูเก็ต พังงา และกระบี่ มีค่อนข้างมาก โดยบริษัทมีแผนขยายตลาดในพื้นที่ดังกล่าว โดยล่าสุดได้มีการเจรจากับทางพันธมิตรเพื่อผลิตสินค้าประเภทพื้นและผนังให้กับบ้านในโครงการเอื้ออาทร ซึ่งบริษัทได้มีแผนสร้างโรงงานแห่งขึ้นในหาดใหญ่ ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับงานในโครงการดังกล่าว และส่วนที่เหลือเพื่อจำหน่ายให้กับโครงการข้างนอก โดยโรงงานที่หาดใหญ่จะเป็นโรงงานที่รองรับโรงงานที่สุราษฎร์ธานีอีกต่อหนึ่ง นายวิทวัส กล่าว
สำหรับความคืบหน้าในการก่อสร้างโรงงานที่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นั้น บริษัทยอมรับว่า ต้องมีการเลื่อนดำเนินการก่อสร้างออกไป ประมาณช่วงไตรมาส 3/49 แทน และจะสามารถเปิดขายได้ในช่วงไตรมาส 4 นี้ เนื่องจากยังคงติดปัญหาเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินในบางส่วน โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินงาน
โครงการบ้านอรดารับรู้รายได้หมดปีนี้
ในส่วนของการเปิดขายโครงการบ้านอรดา ในย่านคลอง 8 ปทุมธานี ซึ่งบริษัทยอมรับว่าการรับรู้รายได้จากการขายบ้านในโครงการบ้านอรดา อาจมีความล่าช้าบาง จากเดิมบริษัทคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในปีนี้ แต่อาจจะรับรู้ได้เพียงบางส่วนประมาณ 10 ล้านบาท เนื่องจากการเปิดขายที่ผ่านมามีปัจจัยด้านการเมืองมากระทบความมั่นใจของผู้บริโภค ขณะเดียวกันบริษัทได้ทำการจ้างบริษัทจากข้างนอก เพื่อดำเนินการด้านการตลาดและบริการการให้สินเชื่อกับทางลูกค้า ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายจ่ายด้านการบริหารงานเพิ่มขึ้น
รับ Q1กำไรลดจากต้นทุนน้ำมันพุ่ง
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 1/49 ที่ผ่านมา ปรับตัวลดลง ประมาณ 22.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อนนั้น บริษัทถือว่าการปรับประคองกำไรสุทธิในอัตราดังกล่าวเป็นระดับที่พอใจ เนื่องจากไตรมาสแรกของปีก่อนยังไม่มีปัจจัยด้านราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่สถานการณ์ราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาสสองของปีถัดไป และทรงตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบัน
ราคาหุ้นแนวต้านสำคัญ4-4.10บาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสิน คาดว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น DCON นั้น คงจะเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบแคบในลักษณะของการ Side Way เนื่องจากสภาคล่องของหุ้น DCON ถือว่าอยู่ในระดับต่ำถ้าเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน ทั้งนี้จึงได้ประเมินราคาทางเทคนิคโดยมีแนวรับอยู่ที่ 3.50 บาท ส่วนแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 4 บาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิกโก้ ประเมินการเคลื่อนตัวของราคาหุ้น DCON ว่า ถือว่าสภาพคล่องน้อย อีกทั้งที่ผ่านมาการเคลื่อนตัวไม่มีมากนัก โดยลักษณะการปรับตัวจะขยับค่อนข้างแรง ระยะสั้นมีแนวโน้มปรับตัวลง แนวรับ 3.75 บาท แนวต้าน 4.10 บาท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#2 วันที่: 19/05/2006 @ 08:37:22 : re: ***********ข่าว***********
RPC ลั่นปีนี้ฟันรายได้ 3 พันล. Q1 ปิดซ่อมบำรุงฉุดกำไรลด
Source - กระแสหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:07

ระยองเพียว เผยกำไรไตรมาส 1/2549 เหลือ 113 ล้านบาท ลดลง 9 ล้านบาทจากหยุดซ่อมบำรุง แต่ปริมาณการจำหน่ายเพิ่ม 3 ล้านลิตร พร้อมวางเป้าสิ้นปีทำรายได้ 30,000 ล้านบาท มั่นใจปีนี้ขยายปั๊มน้ำมันครบ100 สาขา ส่วนโรงกลั่นที่เวียดนามเสร็จแล้ว คาดผลิตจำหน่ายได้ปีนี้
นางศิรพร กฤษณกาญจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) หรือ RPC เปิดเผยว่า ผลดำเนินการไตรมาส 1 ปี 2549 ของบริษัทมีกำไรสุทธิหลังหักภาษีรวม 113 ล้านบาท ลดลง 9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปี 2548 ที่มีกำไรสุทธิหลังหักภาษี 123 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายรายได้ตลอดปี 2549 ไว้ที่ 30,000 ล้านบาท ไตรมาสแรกได้มีการหยุดการผลิตเพื่อซ่อมบำรุงใหญ่ (Tam Around) เป็นเวลารวม 20 วัน ซึ่งเป็นการซ่อมบำรุงตามแผนการผลิตที่ตั้งไว้ตามการซ่อมบำรุงของ บมจ.อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) หรือ ATC เพื่อเตรียมรับปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น และทำให้ปริมาณการผลิตลดลงอยู่ที่ 155 ล้านลิตร ลดลง 29 ล้านลิตร คิดเป็น 16% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2548 ซึ่งมีปริมาณการผลิตรวม 184 ล้านลิตร
ขณะที่ด้านปริมาณการจำหน่ายน้ำมันจำนวน 204 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 3 ล้านลิตร หรือคิดเป็น 2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2548 ที่จำหน่ายได้ 201 ล้านลิตร จากยอดการจำหน่าย Trading ของบริษัทในเครือที่เพิ่มขึ้น ทดแทนการผลิตที่ลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุง และได้ทำการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์สำหรับการส่งออก เพื่อให้เป็นไปตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีราคาสูงกว่าการจำหน่ายในประเทศ นางศิรพร กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทมีนโยบายที่จะขยายสถานีบริการน้ำมัน เพียว ออกไปให้ได้ครบ 100 สาขาทั่วประเทศ เพื่อเป็นการสร้างชื่อสินค้า PURE ให้ผู้บริโภคได้รู้จัก รวมทั้งเพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพจากโรงกลั่นของคนไทย 100%
สำหรับเป้าหมายรายได้ที่วางไว้ในปี 2549 บริษัทคาดว่าจะสามารถทำรายได้ถึง 30,000 ล้านบาท โดยมีความพร้อมในด้านการเพิ่มกำลังการผลิตที่ได้ทำการซ่อมบำรุงไปแล้ว ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตจากเดิมที่ผลิตอยู่ที่ 11,000 - 12,000 บาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นเป็น 15,000 บาร์เรล/วัน หรือคิดเป็น 88% ของกำลังการผลิต เนื่องจากสามารถซื้อวัตถุดิบคือ คอนเดนเสท เรสสิดิว จาก ATC ได้มากขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทได้เพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่านช่องทาง International Trading ที่เน้นลูกค้าต่างประเทศเป็นหลักเพิ่มอีกด้วย
ส่วนความคืบหน้าของโรงกลั่นน้ำมันขนาด 17,000 บาร์เรล/วัน ที่ประเทศเวียดนาม หรือ VTN-P ขณะนี้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว และอยู่ระหว่างการทดลองเดินเครื่องโรงกลั่น คาดว่าจะสามารถเริ่มผลิตเพื่อจำหน่าย (Commercial Run) ได้ภายในครึ่งปีหลังของปี 2549 นี้
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#3 วันที่: 19/05/2006 @ 08:38:21 : re: ***********ข่าว***********
NOBLE ลั่นรายได้ 2.5 พันล. เตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่ม
Source - กระแสหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:08

โนเบิล ตั้งเป้ารับรู้รายได้ปี 2549 จาก 10 โครงการเก่า 2,500 ล้านบาท พร้อมเปิด 1 โครงการใหม่ จากเดิมมี 4 โครงการ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ด้านนักวิเคราะห์ชี้ Q2 สดใส แต่ครึ่งปีหลังผลประกอบการน่าจะลด จากการไม่มียอดรับรู้รายได้ของคอนโดฯ แนะซื้อเก็งกำไร ราคาตามปัจจัยพื้นฐาน 4.80 บาท
นายธงชัย บุศราพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า ในปี 2549 ตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท เท่ากับปี 2548 โดยยอดรับรู้รายได้ดังกล่าวจะมาจากโครงการเก่าจำนวน 10 โครงการ พร้อมเตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 1 โครงการ จากแผนเดิมที่วางไว้ 4 โครงการ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ยังมีความต้องการอยู่มาก ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปี 2550
ในปีนี้เราจะมียอดรับรู้รายได้จากโครงการ NOBLE ทั้งหมด 10 โครงการ จากที่เป็นโครงการในปี 2548 ทั้งหมด 15 โครงการ ทำให้เราสามารถตั้งเป้ารับรู้ไว้ที่ 2,500 ล้านบาท ส่วนโครงการที่จะเปิดในปีนี้ตามแผนเดิมคือ 4 โครงการ แต่บริษัทเตรียมเปิดเพิ่มอีก 1 โครงการ โดยโครงการนี้จะเห็นได้ระหว่างไตรมาส 3-ไตรมาส 4 มีมูลค่าโครงการประมาณ 1,800 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ตั้งชื่อโครงการแต่อย่างใด
สำหรับทำเลที่ตั้งน่าจะเป็นย่านสุขุมวิท เพราะบริษัทมีที่ดินเปล่าอยู่ในย่านนั้น ซึ่งเป็นทำเลที่เหมาะสมและสะดวกสบายในการเดินทาง เพราะใกล้รถไฟฟ้า BTS รวมทั้งเท่าที่ผ่านมายังได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยจะเห็นได้จากโครงการคอนโดมิเนียม Remix ที่เปิดให้จองเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเพียงวันเดียว มียอดจองเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ โครงการในปี 2548 จำนวน 5 โครงการ และอีก 5 โครงการ ที่ทำการเปิดในปี 2549 บริษัทคาดว่าน่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ประมาณต้นปี 2550 เป็นต้นไป
ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ ZMICO กล่าวว่า คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2549 ของ NOBLE จะสดใสมาก เพราะปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้สำหรับไตรมาส 2 แล้วประมาณ 500-600 ล้านบาท ส่วนหนึ่งจากโครงการคอนโดมิเนียมไลท์ ราชครู ที่ใกล้ก่อสร้างแล้วเสร็จ ทั้งนี้ คาดว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังของบริษัทจะลดลง เนื่องจากไม่มียอดขายคอนโดมิเนียมรอรับรู้จำนวนมากเช่นเดียวกับครึ่งปีแรก ประกอบกับการขายบ้านเดี่ยวที่ขณะนี้ยังค่อนข้างทรงตัว สต็อคบ้านพร้อมขายของบริษัทยังอยู่ในระดับที่สูงกว่า 300 ยูนิต จึงแนะนำซื้อเก็งกำไร โดยมีราคาตามปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 4.80 บาท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#4 วันที่: 19/05/2006 @ 08:39:03 : re: ***********ข่าว***********
ITDคว้างานใหญ่กทม. ต่อขยายBTSสายอ่อนนุช
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:05

กทม.เตรียมเรียกอิตัลไทยเจรจาห้ามขึ้นค่าก่อสร้างส่วนต่อขยายสายอ่อนนุช-แบริ่งที่ประมูลชนะตั้งแต่ปีก่อน ด้วยวงเงิน 8.47 พันล้านบาท กำหนดเริ่มลงมือปลายปีนี้ ด้วยงบประมาณประจำปี 49 เตรียมเสนอขอสภากรุงเทพฯ ลงทุนเดี่ยว ไม่รอตั้งรัฐบาลใหม่
นางบรรณโศภิษฐ์ เมฆวิชัย รองผู้ว่าราการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า เร็วๆ นี้ กรุงเทพมหานคร (กทม.) จะเรียก บริษัท อิตาเลียนไทย ดิเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ITD) ซึ่งชนะการประกวดราคาการก่อสร้างส่วนต่อขยายสายอ่อนนุช-แบริ่ง ที่ 8.47 พันล้านบาท มาเจรจาเรื่องค่าก่อสร้างอีกครั้ง
โดย กทม.จะขอให้ ITD ยืนตามราคาเดิม ไม่เช่นนั้นจะเปิดประมูลใหม่ด้วยวิธีอี-อ๊อกชั่น โดยจะให้ได้ผู้รับเหมารายใหม่ภายในปีนี้ เพราะต้องการเริ่มก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานภายในสิ้นปี
ทั้งนี้ กทม.ได้เปิดประมูลโครงการนี้ตั้งแต่ปีก่อนและได้ตัวผู้รับเหมาเมื่อวันที่ 28 เม.ย.48 แต่ไม่สามารถเริ่มก่อสร้างได้เพราะรัฐบาลไม่ยอมสนับสนุนงบประมาณ
กทม.จะลงทุนเองหมดทั้ง 3 สาย แต่การเดินรถนั้นจะใช้วิธีการจ้างบริหารเหมือนกับสายตากสิน ซึ่งใน บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(บีทีเอสซี) มีแนวโน้มที่จะได้รับงานมากที่สุด เพราะว่า เป็นเส้นทางที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งหากเปลี่ยนเป็นรายอื่น อาจเกิดความยุ่งยากในการประสานงาน
ทั้งนี้ กทม.จะขอเบิกจ่ายงบประมาณส่วนกลางประจำปี 49 ออกมาใช้ก่อน รองผู้ว่ากทม. กล่าวว่า หากมีการเปิดประกวดราคาใหม่ คาดว่าราคาจะแพงขึ้น 20% แต่ถ้า ITDขอเพิ่มราคาก็คงจะเปิดประมูลใหม่ โดยใช้ระบบอี-ออกชั่น ส่วนระยะที่ 2 ซึ่งจะเริ่มลงมือในปีหน้าก็อาจจะเบิกงบประมาณประจำปี 50
นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริษัท ITD กล่าวว่า บริษัทฯ ยินดีที่จะยืนค่าก่อสร้างตามราคาเดิม แม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว นอกจากนี้ยังยินดีที่จะใส่เงินเพิ่มทุนให้บริษัท 0ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (บีทีเอสซี) ซึ่งต้องหาเงินมาซื้อขบวนรถเพิ่ม หาก กทม.จ้างบริหารการเดินรถ เพราะเห็นว่าเป็นผลดีกับ ITD เนื่องจาก ปัจจุบันจำนวนผู้โดยสารบีทีเอสเพิ่มขึ้นทุกวัน เฉลี่ยอยู่ 4 แสนคนต่อวัน
ทั้งนี้ ITD ต้องการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบีทีเอสซีเพิ่มขึ้นจาก 10% เพื่อให้บีทีเอสซีได้รับการฟื้นฟูเร็วขึ้น รวมทั้งสะสางการปรับโครงสร้างหนี้ที่ยืดเยื้อมานานหลายปีแล้วซึ่งหากทุกอย่างเรียบร้อยก็จะสามารถนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้
ขณะนี้ บีทีเอสมีแผนที่จะซื้อรถไฟฟ้าใหม่เพิ่ม 10 ขบวน หรือมากกว่านั้น โดยมีความยาวขบวนละ 3 ตู้ หรืออาจจะสั่งซื้อเป็นตู้เพื่อมาต่อให้ขบวนยาวขึ้นจาก 3 ตู้เป็น 4 ตู้ ซึ่งจะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่ว่าจะเลือกวิธีการใดจะต้องขอความยินยอมจากเจ้าหนี้ก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัปดาห์หน้า กทม.จะเสนอขอขยายวงเงินลงทุนส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า สาย อ่อนนุช-สุขุมวิท 107(ซอยเบริ่ง) ต่อที่ประชุมสภา กทม. (ส.ก.)เพื่อขยายสัดส่วนการลงทุนจากที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุน 60% เป็น กทม. ลงทุนเอง 100%
นอกจากนี้ อาจจะโยกงบประมาณของโครงการรถเมล์ด่วนพิเศษ(บีอาร์ที)สายเกษตร-หมอชิต 1,000 ล้านบาท มาใช้ โดยยกเลิกโครงการบีอาร์ทีดังกล่าว
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ รองผู้ว่า กทม.กล่าวว่า โครงสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า 3เส้นทาง กทม. จะใช้เงินลงทุนรวม 2.4 หมื่นล้านบาทดังนี้ สายแรก คือ ส่วนต่อขยายตากสิน-บางหว้า ระยะทาง 4.5 กิโลเมตร มูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท สายอ่อนนุช-สุขุมวิท 107(ซอยแบริ่ง) ระยะทาง 5.2 กิโลเมตรมูลค่า 9.6 พันล้านบาทและสายหมอชิต-แยกเกษตร(พหลโยธิน) ระยะทาง 5 กิโลเมตร มูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท
โดย กทม.วางแผนที่จะใช้งบประมาณในการก่อสร้างเป็นเวลา 3 ปี โดยแยกเป็นปี49 จำนวน 700 ล้านบาท ปี 50 จำนวน 7 พันล้านบาท และปี 51 อีก 9 พันล้านบาท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#5 วันที่: 19/05/2006 @ 08:39:44 : re: ***********ข่าว***********
BTมีความเสี่ยงต้องลดทุน ขายหุ้นที่ซื้อคืนออกไม่หมด
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:05

หวั่นแบงก์ไทยต้องลดทุน เหตุจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนไม่หมด ล่าสุดเหลือเวลาแค่ 7วันทำการ หุ้นยังอยู่เพียบกว่า 88 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.93% ของทุนชำระแล้ว ผู้บริหารยันไม่มีกลุ่มทุนขอซื้อบิ๊กล็อต ยอมรับหากขายไม่ทันลดทุนตัดหุ้นที่เหลือทิ้งตามกฎ ระบุราคาหุ้นปรับลงตามภาวะไม่ใช่เกิดจากการขายหุ้นคืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนในตลาดหลักทรัพย์ หรือ Teasury stockของธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) หรือ BT เริ่มมีความเสี่ยงจากการที่แบงก์มีโอกาสขายคืนหุ้นจำนวน 93,355,900 หุ้นไม่หมด
เนื่องจากตั้งแต่เปิดขายหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค.จนถึงล่าสุดเมื่อ 17 พ.ค.หรือ 10วันทำการแบงก์เพิ่งขายคืนหุ้นได้เพียง 4,805,200 และยังเหลือหุ้นในมือที่ยังมิได้จำหน่ายอีกถึง 88,550,700 หุ้นคิดเป็น 5.93% ของทุนชำระแล้ว โดยเหลือระยะเวลาขายหุ้นคืนอีกเพียง 7 วันทำการคือถึงวันที่ 26 พ.ค.นี้
นายฐาภพ คลี่สุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักกรรมการผู้จัดการใหญ่ แบงก์ไทย กล่าวว่าหากหุ้นที่ซื้อมา และไม่สามารถจำหน่ายคืนได้ทั้งหมดภายในระยะเวลาที่กำหนดคือวันที่ 26พ.ค.ส่งผลให้แบงก์ไทยจะต้องลดทุนที่ชำระแล้ว โดยวีธีตัดหุ้นที่เหลือทิ้ง ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวง ในพระราชบัญญัติ บริษัท (มหาชน) จำกัด เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท
โดยเมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมาคณะกรรมการบริษัทได้มีมติล่วงหน้าอนุมัติให้แบงก์ตัดหุ้นที่ซื้อคืนและยังมิได้จำหน่ายจำนวน 93,355,900 หุ้น คิดเป็นจำนวนเงิน 933,559,000บาท อันจะทำให้ภายหลังการดำเนินการลดทุนดังกล่าว ธนาคารจะมีทุนเรียกชำระแล้ว 1,400,094,100 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท เป็นจำนวนเงิน 14,000,941,000 บาท
จนถึงวันสุดท้ายยังไม่รู้สัดส่วนหุ้นจะเหลือเท่าไร แต่คงน้อยกว่าที่บอร์ดอนุมัติให้ลดทุนไว้ล่วงหน้า เพราะจนถึงตอนนี้เหลือประมาณ 88 ล้านหุ้น โดยการลดทุนดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก เพราะมีสัดส่วนไม่มากนายฐาภพ กล่าว
นายฐาภพยังกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ดีการขายหุ้นคืนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้จะไม่ทำในลักษณะบิ๊กล็อต และขณะนี้ยืนยันว่าไม่ได้มีกลุ่มทุนรายใดเข้ามาเจรจา เพื่อขอซื้อหุ้นล็อตดังกล่าวแต่อย่างใด แม้แต่สำนักงานประกันสังคม หรือสปส.ซึ่งเคยมีข่าวลือว่าสนใจซื้อหุ้นของแบงก์ไทย ส่วนการที่ราคาหุ้นปรับลงคาดว่าเป็นไปตามภาวะตลาด ไม่ได้เกิดจากการขายหุ้นคืน
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)นครหลวงไทย กล่าวว่าการลดทุนของแบงก์ไทยคงไม่ได้ส่งผลกระทบกับแบงก์ เนื่องจากแบงก์ได้ตั้งสำรองไว้แล้ว จากการที่บันทึกตัวเลขทางบัญชีไปก่อนหน้า แต่อาจมีผลกระทบทำให้เงินสดที่คาดว่าจะได้คืนหายไปบางส่วนเท่านั้น
ก่อนหน้านี้แหล่งข่าวจากบีที กล่าวว่าการขายคืนหุ้นคืนในตลาดครั้งนี้ ส่งผลดีกับเงินกองทุนค่อสินทรัพย์เสี่ยงขั้นที่ 1 ของแบงก์ โดยหากแบงก์สามารถขายคืนหุ้นได้หมด จะส่งผลให้แบงก์มีส่วนทุนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 660 ล้านบาท (คิดจากราคาขายเฉลี่ย 7 บาท) จะมีผลทำให้ BIS ขั้นที่ 1 ของแบงก์ไทยเพิ่มขึ้นอีก 0.6-0.7% หรือเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 9.35-9.36% ซึ่งส่งผลดีทำให้แบงก์สามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น จึงมีผลกับรายได้และกำไรในปีนี้อย่างแน่นอน
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#6 วันที่: 19/05/2006 @ 08:40:31 : re: ***********ข่าว***********
แห่จองRRCล้นหลาม ยอดทะลุกว่า2หมื่น - PTT รับผลดีงบQ2 ลุกเป็นไฟกำไรมโหฬาร
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:05

ประชาชนแห่จองหุ้น RRC คึกคัก ทหารไทยโชว์ยอดวันเดียว 7.6 พันรายรวม 90 กว่าล้านหุ้น จำนวน 2 พันกว่าล้านบาท รวม 3 แบงก์กว่า 2 หมื่นราย ไม่สนตลาดหุ้นเป็นลบ เชื่อมั่นธุรกิจพลังงานโชติช่วง ชี้โรงกลั่นระยองมีสิทธิ์ขึ้นเทียบชั้นหรือล้ำหน้าไทยออยล์ มีแผนปี 51 เพิ่มกำลังผลิตเป็น 2.1 แสนบาร์เรลต่อวัน และพีอีต่ำ ด้านปตท.เริงร่า งบไตรมาส 2 ลุกเป็นไฟได้กำไรขายRRCกว่า 1 หมื่นล้านบาท และบันทึกงบกำไรทีพีไอตามสัดส่วนลงทุน
บรรยากาศวันแรกเปิดจองหุ้นบริษัทโรงกลั่นระยอง จำกัด (มหาชน)หรือ RRC จำนวน 479.5 ล้านหุ้น ผ่านสาขา 3 แบงก์ กรุงเทพ ทหารไทย และกรุงไทยปรากฎว่าคึกคักมาก มีผู้เดินทางมาจองหุ้นต่อเนื่อง โดยที่ธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่เปิดทำการผ่านไป 30 นาที มีผู้จองซื้อหุ้นกว่า 100 ราย ส่วนที่ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ มีผู้จองซื้อกว่า 300 ราย หลังผ่านไปกว่า 2 ชั่วโมง
ขณะที่รายงานข่าวจากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB แจ้งว่า จากการรวบรวมข้อมูลของสำนักงานใหญ่ และอีก 398 สาขา เฉพาะของแบงก์ทหารไทยที่เปิดจองซื้อหุ้น RRC พบว่ามีผู้จองซื้อจำนวน 7,684 ราย ยอดจองซื้อรวม 90,543,000 หุ้นคิดเป็นเม็ดเงินจำนวน 2,082,489,000 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ถ้ารวมยอดจองของธนาคารกรุงเทพและกรุงไทยด้วย ตัวเลขน่าจะถึง 20,000-25,000 รายที่มาจองหุ้นวานนี้เพียงวันเดียว
โดยนักลงทุนส่วนใหญ่จะจองซื้อหุ้น RRC ตั้งแต่ 1,000-10,000 หุ้น โดยบางคนให้เหตุผลว่า ที่จองซื้อจำนวนมาก เนื่องจากการจัดสรรหุ้น RCC ใช้วิธีสุ่มเลือกแบบขั้นบันไดด้วยระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทเซทเทรดดอทคอม ในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ จึงมีการจองซื้อจำนวนมาก เพื่อจะได้มีโอกาสในการสุ่มเลือกมากขึ้น
อย่างไรก็ดีการจองซื้อหุ้นวานนี้เกิดปัญหาที่แบงก์กรุงเทพ สาขาห้วยขวาง โดยเกิดกรณีไม่รับรองเช็คต่างธนาคารที่นำไปจองหุ้นหลัง 14.00 น. โดยระบุว่าว่าผิดหลักเกณฑ์การเคลียริ่งเช็ค ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หากรับจองจะต้องเสียเงินค่าปรับแก่ธปท. 100 บาท จึงขอให้ผู้จองหุ้นไปจองใหม่วันนี้ (19 พ.ค.)
นายบวร วงศ์สินอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ อาร์อาร์ซี กล่าวว่า จากการตรวจสอบไปยังที่ปรึกษาการกระจายหุ้น ได้รับการยืนยันว่าแบงก์สามารถรับเช็คดังกล่าวได้ ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าธนาคารที่รับจองหุ้นแจ้งแนวทางปฏิบัติต่อสาขาอย่างไร จึงอยากให้มีความชัดเจนในเรื่องนี้ เพราะวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย เกรงว่าจะเกิดความผิดพลาดอีก
นางจินตนา จิตมั่นชัยธรรม นักลงทุนที่จองซื้อหุ้น RCC กล่าวว่า สาเหตุที่มาจองซื้อหุ้นครั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่า เป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง เนื่องจากทั่วโลกยังต้องการใช้น้ำมันอีกมาก คาดว่าจะลงทุนประมาณ 2 ปี เพราะเชื่อว่าราคาน้ำมันใน 2 ปีข้างหน้า ยังจะทรงตัวระดับสูงต่อไป
น.ส.ดารินทร์ ชินวรรณบุตร หนึ่งในนักลงทุน กล่าวว่า ลงทุนในหุ้น RCC เพราะเชื่อว่าธุรกิจน้ำมันและพลังงาน ยังมีแนวโน้มขยายตัว โดยดูจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง
แหล่งข่าวจาก RRC กล่าวว่า เป็นโรงกลั่นน้ำมันแบบครบวงจร (ComplexRefinery) ทันสมัยแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงได้ในสัดส่วนที่สูง ถือเป็นการสร้างรายได้หลักให้กับบริษัท โดยที่บริษัทกลั่นน้ำมันดิบคุณภาพสูงได้ 85.5% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ประกอบด้วย ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเบนซินน้ำมันดีเซล น้ำมันอากาศยาน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมพิเศษที่มีมูลค่าสูง ได้แก่รีฟอร์มเมต แนฟทาชนิดเบา และโพรไฟลีน
นอกจากนี้อนาคตบริษัทมีแผนร่วมลงทุน หรืออาจจะควบรวมกับบมจ.อะโรเมติกส์หรือ ATC ในโครงการก่อสร้างโรงงานอะโรเมติกส์แห่งที่ 2 มูลค่า 552 ล้านเหรียญสหรัฐคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปี 2551 ประกอบด้วย 2 โครงการใหญ่ ได้แก่Reforming Complex และ Aromatic Complex ที่ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย(win-win solution) เพราะการดำเนินงานในส่วน ATC โรงที่ 2 ATC จะยังเป็นผู้ดำเนินการ ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่บริษัทจะได้รับประโยชน์จากกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 2.1 แสนบาร์เรลต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับกำลังการผลิตในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 1 มีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 22% ไม่รวมผลกระทบจากกำไรจากอัตรแลกเปลี่ยน และกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ ขณะที่ P/Eเพียง 6.3 เท่า ต่ำกว่า TOP มี P/E 7.2 เท่า และทั้งอุตสาหกรรมประมาณ 8-9 เท่า
นอกจากนั้นยังมีจุดเด่นอีก PTT เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จึงดีในเรื่องจัดหาวัตถุดิบ 100% และรับซื้อผลิตภัณฑ์จากบริษัทมากกว่า 70% บริษัทฐานะแข็งแกร่งเพราะนอกจากจะมีความสามารถในการทำรายได้สูงแล้ว ยังมีหนี้สินต่อทุน (D/E) ณ31 มี.ค. 49 ประมาณ 0.8-1 เท่า ทั้งมีศักยภาพขยายธุรกิจสูงเพราะมีโครงการขยายงานเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 2.1 แสนบาร์เรลต่อวัน จาก 1.45แสนบาร์เรลต่อวัน รวมทั้งมีแผนขยายธุรกิจร่วมกับบมจ.อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) หรือ
ด้าน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน ประเมินว่า ผลประกอบการปี 49 จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 7,146 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.39 บาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีก่อน ไม่รวมผลกระทบจากกำไรการปรับโครงสร้างหนี้ และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจึงประเมินราคาเท่ากับ 25 บาท และคาดว่าจะจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 49ตามนโยบายไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ 0.75 บาทต่อหุ้น
นอกจากนั้นการขายหุ้น RRC ทำให้ ปตท.ได้รับผลดีด้วยฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่
นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจสำรวจผลิตก๊าซธรรมชาติ บมจ.ปตท. หรือ PTT กล่าวกับ ข่าวหุ้นธุรกิจ ว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 2 ดีกว่าไตรมาสก่อน เพราะจะรับรู้กำไรจากการขายหุ้น บมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยองหรือ RRC และจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบมจ.อุตสาหกรรมปิโตรเคมีคัลไทยหรือ TPI ตามวิธีส่วนได้ส่วนเสีย (Equity Method) จากปัจจุบันรับรู้วิธี(Cost Method)คือไม่มีจ่ายปันผลจะไม่บันทึกกำไร
สอดคล้องกับที่แหล่งข่าวจาก PTT เปิดเผย ข่าวหุ้นธุรกิจ ว่า แนวโน้มกำไรงวด2 ดีกว่างวดก่อน เพราะนอกจากธุรกิจหลัก ส่วนใหญ่จะมีกำไรเพิ่มขึ้น เช่น ธุรกิจโรงกลั่นแล้ว ยังจะบันทึกกำไรพิเศษจากการลดสัดส่วนเงินลงทุนใน RRCด้วยการขายหุ้น RRC ออกไป 51% จากปัจจุบันถือหุ้น 99.9% และเริ่มบันทึกส่วนแบ่งกำไรจาก TPI ตามวิธีส่วนได้ส่วนเสีย
โดยคาดว่า PTT จะรับรู้รายได้จากการขายหุ้น RRC จำนวน 877.5 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขายเบื้องต้นหุ้นละ 18-23 บาท คิดเป็นเงินประมาณ 15,795-20,182.5ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) ละ 10 บาท รวมเป็นเงิน 8,775 ล้านบาททำให้มีกำไรจากการขายหุ้นในครั้งนี้ประมาณ 7,020-11,407.5 ล้านบาท
นอกจากนี้ PTT จะเริ่มบันทึกส่วนแบ่งกำไรจากการเข้าไปลงทุนใน TPI ตามวิธีส่วนได้ส่วนเสีย ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะรับรู้ไม่ต่ำกว่า 756ล้านบาท เนื่องจาก PTT ถือหุ้นใน TPI 31.5% ขณะที่ TPI เคยให้สัมภาษณ์สื่อว่า ตั้งเป้าจะมีกำไรในไตรมาส 2 ไม่ต่ำกว่าไตรมาสก่อนที่ทำได้ 2.4 พันล้านบาท
PTT เข้าไปลงทุนใน TPI 31.5% ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เราใช้วิธีคิดงบแบบ CostMethod (ไม่มีจ่ายปันผลจะไม่บันทึกกำไร) มาตลอด เพราะ TPI ยังอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการ แต่หลังจากที่ TPI ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 26 เม.ย. แล้ว ทำให้ PTTสามารถส่งตัวแทนเข้าไปดูแลกิจการ พร้อมบริหารจัดการได้สะดวกและคล่องตัวมากขึ้น
ด้าน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.สินเอเชีย ประเมินว่า PTT จะบันทึกกำไรจากการขายหุ้น RRC (ก่อนหักภาษี) จำนวน 877.5 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขายเบื้องต้นหุ้นละ18-23 บาท ประมาณ 7,593-10,817 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้น 2.71-3.87 บาทขณะที่คาดว่าหลังขายหุ้น RRC แล้ว จะทำให้ PTT มีส่วนเพิ่มมูลค่าหุ้น 8.99-11.49 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ มีการปรับเพิ่มราคาเหมาะสมเป็น 293 บาท จากเดิม 287 บาท
เช่นเดียวกับที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา ประเมินว่า TPI จะเป็นอีกหนึ่งบริษัทร่วมที่มีส่วนสนับสนุนการเติบโตของ PTT ทั้งในรูปของส่วนแบ่งกำไรและเงินปันผลรับ เพราะแนวโน้มผลการดำเนินงานของ TPI ปรับตัวดีขึ้น จากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และแรงผนึกทางธุรกิจกับ PTT เช่น การปรับปรุงโรงกลั่นให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น การก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ขนาด 250 เมกะวัตถ์ ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จากเดิมที่มีโรงไฟฟ้าขนาดกำลังการผลิต 100-120 เมกะวัตถ์ ที่ใช้ถ่านหินและน้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งผลิตกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ไม่เพียงพอกับการใช้งานของกลุ่มบริษัทในเครือ TPI
รวมทั้งการขยายท่าเรือ โดยจะขุดลอกร่องน้ำบริเวณท่าเรือของ TPI ให้ลึกเป็น14 เมตร จากเดิมที่มีความลึก 12 เมตร เพื่อรับเรือขนส่งขนาดใหญ่ได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าขนส่งได้จำนวนมาก โดยคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายเงินลงทุนรวม 2 พันล้านเหรียญสหรัฐอีกทั้งยังมีแผนรีไฟแนนซ์หนี้ในระยะยาว โดยเบื้องต้นได้เจรจากับเจ้าหนี้ เพื่อขอซื้อหนี้มูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ในราคาส่วนลด 8-9% หากเจรจาซื้อคืนหนี้สำเร็จ จะทำให้มูลหนี้ลดลงเหลือประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#7 วันที่: 19/05/2006 @ 08:41:21 : re: ***********ข่าว***********
ทนงลุยโรด์โชว์รายเดือน ขนPTT-TG-AOTอวดฝรั่ง
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:06

ทนง จัดโรดโชว์รายเดือน เปิดโต๊ะคุยนักลงทุนต่างชาติแบบตัวต่อตัว ประเดิมญี่ปุ่นประเทศแรก ด้านสศค.ขนทีมใหญ่ โรดโชว์กันยายนนี้ ที่สิงคโปร์และฮ่องกง ควง ปตท.บินไทย AOT โชว์ต่างชาติ ตลาดหุ้นไทยมีของดี คุยเมกะโปรเจ็กมีแน่หลังรัฐบาลใหม่คลอดมั่นใจเอกชนสนใจร่วมทุน
ดร.ทนง พิทยะ รักษาการรัฐมนตรีคลัง กล่าวว่าจะเริ่มออกโรดโชว์ต่างประเทศเป็นการส่วนตัว ในแต่ละเดือนในระหว่างรักษาการ เพื่อไปชี้แจงให้กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศเข้าใจถึงสถานการณ์ และภาวะเศรษฐกิจไทยที่แท้จริง ส่วนปัญหาการเมืองจะชี้ให้เห็น นี่คือการพัฒนาประชาธิปไตยในไทย เป็นเรื่องชี้แจงได้
เนื่องจากเป็นจุดผ่านการเมืองซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยไม่มีความรุนแรงไม่มีการทำรัฐประหาร เช่นประเทศอื่น เป็นจุดเด่นต้องโชว์ให้เห็นคนในประเทศมีการศึกษามีอารยธรรมที่ดี โดยจะไปประเทศญี่ปุ่นเป็นแห่งแรกในเดือนนี้ เพราะมีความคุ้นเคยกันเป็นส่วนตัวกับนักธุรกิจและนายแบงก์หลายราย
ผมไปแบบไม่เป็นทางการ พอไปถึงก็จะเชิญเขามานั่งคุยกันแบบกลุ่มเล็กๆ แต่เลือกกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการลงทุนอย่างแท้จริง เพื่อให้ข้อมูลและตอบข้อซักถามที่เขาสงสัยโดยเฉพาะปัญหาทางด้านการเมืองดร.ทนงกล่าว
ดร.ทนง กล่าวว่าเมกะโปรเจ็กเป็นเรื่องหนึ่งที่จะนำไปคุย ซึ่งมองว่าการลงทุนในโครงการประเภทนี้ในอนาคตต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเอกชนจะเป็นฝ่ายเสนอโครงการมาและรัฐจะเข้าไปร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน และโครงการทางด่วน เป็นต้น
ดร.นริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กล่าวว่ากระทรวงการคลังและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะร่วมเดินทางไปโรดโชว์ในงานอาเซียนโรดโชว์ระหว่างวันที่ 15-17 ก.ย.นี้ ที่ประเทศสิงคโปร์และประเทศฮ่องกง เพื่อกระตุ้นการลงทุนในภูมิภาค
เราจะใช้จุดขายแบบเดียวกับประเทศกลุ่มยูโร และลาตินอเมริกา ที่ไม่ใช่มองไปแค่การลงทุนในประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ต้องการให้เขามองไปถึงโอกาสในการลงทุนที่ต่อเนื่องในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีประชากรกว่า 400 ล้านคนดร.นริศ กล่าว
ส่วนกลุ่มบริษัทที่จะนำเสนอต่อนักลงทุนที่สนใจตลาดหุ้นไทย อาทิ ปตท. การบินไทยและการท่าอากาศยานไทย ซึ่งเป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจชั้นดีของไทย รวมทั้งบริษัทจดทะเบียนรายอื่น เพื่อเสนอทางเลือกในการลงทุน เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังมีพีอีที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ขณะที่ภาคการลงทุนจริง คลังจะนำเสนอ อุตสาหกรรมดาวเด่นต่างๆ ทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประเทศไทยมีความชำนาญ รวมทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว
สำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจ็ก ก็จะไปชี้แจงถึงความพร้อมและสาเหตุที่ล่าช้า เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่าหลังมีรัฐบาลใหม่ โครงการจะยังคงเดินหน้าต่อไป และไม่หยุดไม่ได้ ซึ่งระหว่างนี้รัฐบาลได้เตรียมแผนเร่งรัดการเบิกจ่ายไว้แล้ว กรณีที่เริ่มโครงการได้แล้ว
นอกจากนี้คลังยังจะไปโรดโชว์ในการประชุมธนาคารโลก และประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และประเทศในแถบตะวันออกกลาง อาทิ เมืองดูไบ ทีมีกำลังซื้อและเม็ดเงินทุนจำนวนมาก ในลำดับต่อไป
ดร.นริศ กล่าวว่า ในวันที่ 29พ.ค นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการติดตามภาวะเศรษฐกิจและกำหนดนโยบายเศรษฐกิจมหภาค โดยมีนายวีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธานโดยจะเชิญเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อปรับประมาณการเศรษฐกิจของกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้คาดว่าจีดีพีจะเติบโตใกล้เคียงกับ ตัวเลขเดิมที่ 4.5-5.5% และหากเลวร้ายจริงก็ไม่น่าจะกระทบเกิน 1% เหมือนกับกรณีของภัยพิบัติจากสึนามิ ซึ่งที่ผ่านมาการนำส่งรายได้ของรัฐบาลก็ยังดี รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้เพิ่มขึ้น ไม่มีปัญหาถังแตกอย่างที่กล่าวหากัน
ด้านตลาดหุ้นวานนี้(18พ.ค.)ปิดลบ 14.06 จุดมาที่ 748.30 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 200,21.06 ล้านบาท โดยต่างชาติขายสุทธิถึง 4,982.53 ล้านบาท ทั้งนี้ตลาดหุ้นปรับลดลงในทิศทางเดียวกับทั่วโลก เพราะเกิดความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เงินเฟ้อของทุกประเทศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้นต่อไป
ขณะที่ค่าบาทแข็งค่าขึ้นล่าสุดอยู่ที่ 38.12-38.14 บาทต่อดอลลาร์ นักค้าเงินระบุว่าสาเหตุเกิดจากเป็นแรงเก็งกำไรระยะสั้นของนักลงทุน
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#8 วันที่: 19/05/2006 @ 08:42:06 : re: ***********ข่าว***********
รอสรุปค่าเชื่อมโยง อีก2สัปดาห์ใช้จริง
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:06

อินเตอร์คอนเน็คชั่นประกาศ มีผลบังคับทันที แต่ต้องรออีก 2 สัปดาห์ถึงได้ใช้จริง เพราะ กทช.ไม่ยอมกำหนดตัวเลขเอง โยนให้ทีโอที-กสท ช่วยกันคิด ทั้งที่รู้ไม่มีวันตกลงกันได้ สุดท้ายต้องกลับมาใช้ตัวเลขกรมไปรษณีย์ 1.07 บาท
นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาต(กทช.) เปิดเผยว่า ประกาศ กทช.ว่าด้วยการใช้และเชื่อมโยงโครงข่ายโทรคมนาคม ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมาและมีผลบังคับใช้ทันที หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของผู้รับใบอนุญาต คือ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด จะต้องเสนออัตราอินเตอร์คอนเน็คชั่นฯ ให้ กทช. พิจารณาภายในระยะเวลา 15 วัน
หากทั้ง 2 รายตกลงกันไม่ได้ก็เป็นหน้าที่ของ กทช.จะเข้าไปตัดสินว่าจะใช้อัตราเชื่อมโยงโครงข่ายเท่าไหร่ เพื่อใช้ไปชั่วคราวก่อน
ในกรณีที่ ทีโอที และ กสท.จะคำนวณค่าเชื่อมโยงขึ้นมาใหม่ ก็ต้องยึดตามประกาศฯที่ระบุว่าจะต้องคำนวณและพิจารณาจากต้นทุนของบริการในปัจจุบัน
หลังจากได้ข้อยุติ ในเรื่องอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่ายแล้ว ผู้ให้บริการทั้งโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่เป็นคู่สัญญาร่วมการงานกับทีโอที และกสท จะต้องปฎิบัติตามโดยใช้อัตราเดียวกันนายสุรนันท์
ส่วนการยกเลิกค่าแอ็คเซ็สชาร์จ ที่ทีโอทีเรียกเก็บจากเอกชนและ กสท ในอัตรา 200บาท/เลขหมาย/เดือน สำหรับระบบเหมาจ่าย และ 18% จากมูลค่าการเติมเงินแต่ละครั้งสำหรับโทรศัพท์ระบบเติมเงินนั้น กทช.ยืนยันว่าไม่มีอำนาจเข้าไปแทรกแซง หรือสั่งให้ยกเลิก เพราะเป็นการทำสัญญาระหว่างผู้ประกอบการ แต่คาดว่าเอกชนจะขอหารือกับทีโอทีและกสท เพื่อขอยกเลิกเอง
จากข้อมูลดังกล่าว การจัดเก็บค่าเชื่อมโยงน่าจะปฏิบัติได้จริงในราวเดือนมิ.ย.เพราะหลังจาก ทีโอที-กสท นำมาเสนอแล้ว กทช.ต้องพิจารณาอีกครั้งว่าเป็นค่าที่เหมาะสมหรือไม่ เช่น สะท้อนต้นทุนการดำเนินงาน ซึ่งต้องแสดงวิธีการคำนวนค่าเชื่อมโยง
ทั้งนี้ ตามเกณฑ์การใช้ค่าเชื่อมโยง ระบุให้มีการกำหนดอัตราค่าเชื่อมโยงใหม่ทุกปีเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์
หากทีโอทีและกสท ไม่สามารถเสนออัตราค่าเชื่อมโยงแก่ กทช. ได้ภายใน 15 วันก็ต้องแสดงความจำนงต่อ กทช.ว่าขอให้ กทช.เป็นผู้กำหนดอัตราชั่วคราวเพื่อใช้ไปก่อน
สำหรับแนวโน้มค่าเชื่อมโยงที่ กทช. กำหนดนั้น น่าจะเป็นอัตรา 1 บาทบวกภาษี 7%หรือ 1.07 บาท เพราะค่านี้ กรมไปรษณีย์โทรเลขซึ่งมีความเป็นกลางในขณะนั้นเป็นผู้คำนวณขึ้น และได้ผ่านการหารือและได้รับการยอมรับจากผู้ประกอบการทุกราย เมื่อครั้งที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เป็นเจ้าภาพ
แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคม กล่าวว่า การตกลงกันระหว่างทีโอทีและกสท นั้น มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะที่ผ่านมาเคยเจรจากันแล้วแต่ไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ เนื่องจากตัวเลขที่ได้ออกมาไม่ตรงกัน เพราะคิดจากฐานข้อมูลที่ต่างกัน และต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับตัวเลขของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ หากจะมาเริ่มต้นคิดคำนวณใหม่เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่ายก็คงต้องใช้เวลานาน เพราะมีข้อมูลจำนวนมาก
น.พ.สุชัย เจริญรัตนกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) กล่าวอย่างชัดเจน ว่า กทช. ควรจะเป็นผู้กำหนดค่าอินเตอร์คอนเน็คชั่นฯเองเพราะมีอำนาจอยู่แล้วและเป็นที่ทราบกันดีว่า ทีโอทีและกสท ตกลงกันไม่ได้แน่นอน มีแต่จะทำให้ยืดเยื้อออกไปอีก
ก่อนหน้านี้ กทช. ได้มีมติให้เอกชนเชื่อมต่อโครงข่ายโดยตรงระหว่างกัน โดยไม่ต้องผ่านทีโอทีเหมือนที่ผ่านมา เพื่อแก้ปัญหาโทรข้ามเครือข่ายยากเนื่องจากมีการใช้งานเพิ่มขึ้นจากโปรโมชั่นตัดราคา แต่การดำเนินการนี้เป็นการเปิดช่องให้เอกชนขอยกเลิกการจ่ายแอ็คเซ็ส ชาร์จ เพราะไม่จำเป็นต้องส่งสัญญาณผ่านเครือข่ายทีโอทีอีก
นายจำรัส ตันตรีสุคนธ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที เปิดเผยว่า ทีโอทีพร้อมที่จะขยายท่อเชื่อมโครงข่ายกับผู้ประกอบการทุกรายทันที เพราะเห็นว่าการต่อตรงระหว่างเอกชนอาจจะขัดต่อสัญญาแอ็คเซ็ส ชาร์จ
เบื้องต้นทีโอทีได้ส่งหนังสือขอความร่วมมือไปถึงเอกชนเพื่อขยายท่อเชื่อมโยงข่ายผ่านทีโอทีกับผู้ประกอบการทุกรายแล้วแต่ยังไม่ได้การตอบรับจากรายใด
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#9 วันที่: 19/05/2006 @ 08:42:56 : re: ***********ข่าว***********
ไอทีวีซวยซ้ำซ้อน คปส.ร้องทวงคืน
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:06

ไอทีวีเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แนวร่วมสื่อเสรี-คปส. นัดประชุมใหญ่สัปดาห์หน้า หาแนวทางทวงคืนจากสิงคโปร์ นิวัฒน์ธำรงเศร้าหืดขึ้นคอไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ หวังพึ่งศาลต่อรองทางเดียว
นายจอน อึ๊งภากรณ์ ผู้ประสานงานกลุ่มกู้คืนสื่อเสรี และอดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.)กรุงเทพฯ กล่าวว่า ในวันที่ 23 พ.ค.นี้ กลุ่มอาสาสมัครเพื่อสังคม และลุ่มคนรักบีบีซี และจะประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางในการเรียกร้องให้ไอทีวีเป็นสื่อเสรี โดยจะเชิญคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) และเครือข่ายที่ต้องการร่วมเรียกคืนสถานีโทรทัศน์ไอทีวีให้เป็นสื่อเสรีเข้าร่วมประชุมด้วย
โดยการประชุมดังกล่าวจะหาแนวทางในการให้ไอทีวีคืนสู่ความเป็นสื่อเสรีตามเจตนารมณ์เดิม หลังจากที่ศาลปกครองกลางตัดสินเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ให้ไอทีวีต้องกลับมาจ่ายค่าสัมปทานในอัตราเดิม 1 พันล้านบาทต่อปี และปรับผังรายการให้มีเนื้อหาข่าวและสาระ 70% ในช่วงไพรม์ไทม์ ตามที่ระบุไว้ในสัญญา
สำหรับแนวทางที่จะหารือในการเรียกคืนไอทีวี มี 3 แนวทาง คือ 1.การระดมทุนจากประชาชนที่ต้องการเห็นไอทีวีเป็นสื่อเสรี เพื่อซื้อหุ้นไอทีวีคืนจากผู้ถือหุ้น ซึ่งแนวทางนี้น่าสนใจที่สุด เพราะเห็นว่าขณะนี้ธุรกิจของไอทีวีมีความไม่แน่นอนในการลงทุน ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นอาจต้องการขายหุ้นออกมา
ช่วงนี้เป็นบรรยากาศที่ดีที่สุดที่จะหารือกับผู้ถือหุ้นไอทีวีเพื่อขอซื้อหุ้น เพราะหลายคนคงไม่อยากลงทุนแล้วถ้าเราจะใช้แนวทางนี้คงต้องเตรียมเงินไม่ต่ำกว่าพันล้าน ส่วนจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนผมก็ยังระบุไม่ได้ ขณะนี้ได้ติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำปรึกษาแล้ว เช่นอาจารย์สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ จากทีดีอาร์ไอ และหากประชุมในสัปดาห์หน้าแล้วส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นไปได้ยาก เราก็จะไม่ทำ นายจอน กล่าว
ทั้งนี้หนึ่งในผู้ถือหุ้นไอทีวีที่เขาเห็นว่าต้องการขายหุ้นทิ้ง คือ กองทุนเทมาเซคโฮลดิ้ง ประเทศสิงคโปร์ เท่าที่ทราบเทมาเซคไม่ต้องการลงทุนในไอทีวี และกำลังรอสถานการณ์ที่ดีเพื่อขายหุ้นทิ้ง
แนวทางที่ 2 คือ ยังคงรูปแบบธุรกิจ แต่เน้นให้เป็นสื่อที่นำเสนอรายการสาระความรู้ ข่าว เป็นสำคัญ ซึ่งแนวทางนี้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น ให้เป็นผู้ที่มีแนวความคิดต้องการให้ไอทีวีเป็นสื่อเพื่อสังคม ซึ่งแนวทางนี้น่าจะทำร่วมกับแนวทางแรกได้
โดยหากเลือกวิธีนี้จะต้องเจรจากับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เพื่อขอลดค่าสัมปทานรายปี เพื่อให้ไอทีวีสามารถดำเนินธุรกิจอยู่ได้ ซึ่งหากภาครัฐเห็นร่วมกันว่าไอทีวีควรเป็นสื่อเสรี และต้องสามารถดำเนินกิจการอยู่ได้ น่าจะทำให้รัฐบาลตัดสินใจลดค่าสัมปทานรายปีให้ นอกจากนี้ต้องขอหลักประกันว่าจะยังคงให้ไอทีวีเป็นสื่ออิสระ
แนวทางสุดท้าย คือ การคืนให้ไอทีวีเป็นองค์กรของรัฐ แต่มีความอิสระจากการควบคุมจากรัฐบาล ซึ่งเป็นรูปแบบเช่นเดียวกับสถานีโทรทัศน์บีบีซี ซึ่งเป็นของรัฐบาลอังกฤษ แต่สามารถวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้ โดยวิธีนี้จะต้องรอให้เกิดกลไกของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) ก่อน จึงจะดำเนินการได้
แหล่งข่าวภายในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือ ITV เปิดเผยว่า ไม่เชื่อว่าค่าปรับจากกรณีที่ไอทีวีปรับผังรายการจะอยู่ที่ระดับหมื่นล้านบาทจริง และตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขที่บริษัทคงไม่สามารถจ่ายได้ เพราะสูงมากเกินไป
อย่างไรก็ตามหาก สปน. ยืนยันว่าได้คำนวณค่าปรับตามที่กำหนดไว้ในสัญญาสัมปทานระหว่างไอทีวีและ สปน. และสุดท้ายอัยการสูงสุดวินิจฉัยให้ไอทีวีต้องดำเนินการตามที่ศาลปกครองกลางตัดสินทันที ไอทีวีคงต้องขอชี้แจงและต่อรองเรื่องค่าปรับดังกล่าวว่าบริษัทคงไม่มีความสามารถจ่ายได้จริง
ขณะนี้ไอทีวียังอยู่ระหว่างทำเรื่องเพื่อยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด โดยกำลังรวบรวมรายละเอียดข้อต่อสู้ในชั้นศาลว่าจะหยิบเรื่องใดขึ้นมาต่อสู้คดีได้อีก
ก่อนหน้านี้นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ประธานกรรมการบริหาร ไอทีวี ยอมรับว่าหากไอทีวีแพ้คดี จะทำให้ดำเนินธุรกิจได้ยากยิ่งขึ้น เพราะต้องจ่ายค่าสัมปทานถึง 1 พันล้านบาทต่อปี มากกว่าสัมปทานโทรทัศน์ช่องอื่นที่จ่าย 230 ล้านบาทต่อปี ก่อให้เกิดความเสียเปรียบในการแข่งขัน
ด้านแหล่งข่าวภายใน สปน. กล่าวว่า ตัวเลขค่าปรับจากการที่ไอทีวีปรับผังรายการโดยเปลี่ยนสัดส่วนเนื้อหาข่าวและสาระในช่วงเวลาไพรม์ไทม์จาก 70% เป็น 50% ตั้งแต่ปี47 เป็นตัวเลขที่ประเมินจากข้อกำหนดค่าปรับในสัญญา ไม่ใช่เป็นตัวเลขที่ไม่มีที่มา
หลายฝ่ายอาจดูว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก และไอทีวีไม่สามารถจ่ายได้ ในส่วนของสปน. ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการก็ต้องดำเนินการให้ถูกต้องเพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐ แต่เรื่องดังกล่าวคงต้องให้ศาลตัดสิน แหล่งข่าว กล่าว
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวทางที่ไอทีวีสามารถดำเนินการได้เรื่องการจ่ายค่าปรับให้ สปน. กรณีปรับผังรายการ คือ การต่อรองเพื่อให้เหลือค่าปรับในอัตราที่ไอทีวีสามารถจ่ายได้ หรือหาก สปน. ไม่ยินยอมโดยยืนยันที่จะคิดค่าปรับตามสัญญา ไอทีวีคงต้องเจรจาเพื่อแบ่งจ่าย เพราะเงินหลักหมื่นล้านบาท ไอทีวีไม่มีความสามารถที่จะจ่ายได้อย่างแน่นอน เนื่องจากมีรายได้ต่อปีแค่หลักพันล้านบาท
เขายังแนะนำให้หลีกเลี่ยงลงทุนในหุ้นไอทีวี เนื่องจากยังมีความเสี่ยง โดยประเด็นค่าปรับกรณีปรับผังรายการเป็นรายการที่เดิมไม่ได้คาดการณ์ไว้ว่าไอทีวีต้องมีรายจ่ายส่วนนี้ด้วย
บริษัทหลักทรัพย์ฟาร์อีสท์ ระบุว่า การที่ สปน. ส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดให้ตีความว่าไอทีวีจะต้องจ่ายค่าสัมปทานย้อนหลังไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท และปรับผังรายการทันทีหรือไม่ โดยคาดว่าจะได้คำตอบภายใน 20 วัน ประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลให้มีการขายหุ้นไอทีวีออกมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง
ประกอบกับยังไม่มั่นใจว่าการปรับผังรายการให้เนื้อข่าวอยู่ที่ 70% บันเทิง 30% จะส่งผลกระทบต่อไอทีวีมากน้อยแค่ไหน จึงแนะ หลีกเลี่ยงลงทุน ให้ราคาเหมาะสม 6.95บาท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#10 วันที่: 19/05/2006 @ 08:44:05 : re: ***********ข่าว***********
ACL หุ้นดีราคาถูก
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:06

ข่าวหุ้นธุรกิจได้รวบรวมข้อมูลราคาปิดต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี(P/BV)ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ โดยจัดเรียงตามค่า P/BV จากน้อยไปหามาก พบว่า มีหุ้นที่มีค่าP/BVต่ำกว่า 1 เท่า จำนวน153 ตัว จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 411 ตัว โดยนำมาให้ศึกษาเพียง 100 ตัวเท่านั้นเพื่อให้นักลงทุนได้ทราบว่ามีหุ้นตัวใดบ้างที่ปัจจุบันราคาหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัท
โดยค่า Book Value (BV)นั้นคิดจากสินทรัพย์ในส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด(Sharedholder Liquidity)หารด้วย จำนวนหุ้นที่เรียกชำระแล้วทั้งหมด หรือเป็นมูลค่าของหุ้นที่แท้จริงนั่นเอง
ทั้งนี้ หุ้นที่มีค่า P/BVต่ำกว่า 1 เท่า เป็นหุ้นที่น่าสนใจ เนื่องจากราคาหุ้น ณเวลานั้น ต่ำปัจจัยพื้นฐานซึ่งมีมูลค่าที่สูง และโดยหุ้นกลุ่มเหล่านี้จะต้องมีกำไรสะสมอย่างต่อเนื่องและมีส่วนเกินมูลค่าหุ้นสูง
บางครั้งหุ้นที่มีพื้นฐานดี อาจไม่ได้รับความนิยม ทำให้ค่าP/BV ค่อนข้างต่ำ ซึ่งอาจมาจากบริษัทนั้นสภาพคล่องต่ำ หรือเป็นหุ้นขนาดเล็กที่นักลงทุนไม่นิยมซื้อขาย แต่เหมาะที่จะลงทุนระยะยาว
ทั้งนี้ หุ้นทั้งหมด 100 ตัว ที่มีค่า P/BV ต่ำกว่า 1 นั้นสามารถทำกำไรในปี 2548กว่า 78 ตัว ที่เหลือ22 ตัว ประสบผลขาดทุน ซึ่งบริษัทใดมีค่า P/BV ต่ำ และสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าหุ้นนั้นน่าลงทุนในยามที่เศรษฐกิจไม่ดีนัก เพื่อเป็นหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง
บริษัท ทรอปิคอลแคนนิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TC เป็นหุ้นในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม มีค่า P/BV อยู่ที่ 0.32 เท่า ซึ่งเป็นตัวสะท้อนราคาหุ้น ณ เวลานี้ปรับตัวลงมามากกว่าปัจจัยพื้นฐาน ขณะที่ผลประกอบการปี 48 สามารถทำกำไรสุทธิได้ 0.74บาทต่อหุ้น
บริษัท เอเซียไฟเบอร์ จำกัด (มหาชนหรือ) AFC เป็นหุ้นหมวดแฟชั่น มีค่า P/BVอยู่ที่ 0.22 เท่า ราคาหุ้น ณ เวลานี้ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานจริง แต่ผลการดำเนินงานมีขาดทุนสุทธิ 0.36 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นปรับลดลง
หุ้นบางตัวที่มีค่า P/BV ต่ำ อาจเป็นผลมาจากปีที่ผ่านมาผลการดำเนินงานขาดทุน ทำให้นักลงทุนไม่เชื่อมั่นในอนาคตของบริษัท ทำให้ราคาปรับตัวลง ขณะที่ค่า B/V ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก หรือราคาหุ้นตกลงมากกว่าการลดลงของ P/V ก็เป็นได้ซึ่งนักลงทุนจะต้องเปรียบเทียบค่าดังกล่าวเป็นเวลาหลายปี
โดยหุ้นที่มีค่า p/BV ต่ำแต่ขาดทุนได้แก่ NSM DE NIPPON MATCH CEIDISTAR N-PARK และ S2Y เป็นต้น
ส่วนใหญ่หุ้นที่มีค่า P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า จะเป็นหุ้นขนาดเล็ก ราคาไม่มากนัก ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ ที่มีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องส่วนใหญ่มีค่า P/BV มากกว่า 1 เท่าอย่างเช่น PTT มีค่า P/BV เท่ากับ 2.77 เท่า BBL 1.54 เท่า ADVANC 4.12 เท่าเป็นต้น
โดยหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่มี P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า ได้แก่ ธนาคารสินเอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือ ACL มีค่า P/BV เท่ากับ 0.72 เท่า สะท้อนให้เห็นว่ามูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 6.94 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นอยู่ที่ 5 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานแล้ว ราคายังถูกและยังสามารถทำกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2548 มีกำไรสุทธิ 1.82 บาทต่อหุ้น
บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP มีค่า P/BV อยู่ที่ 0.69เท่า โดยมีราคาอยู่ที่ 13.60 บาท ขณะที่มูลค่าทางบัญชีเท่ากับ 19.59 เท่า ซึ่งเป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่ราคาถูก และสามารถทำกำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2548 มีกำไรสุทธิ 0.95 บาทต่อหุ้น
ส่วน TPIPL หรือ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) มี P/BV อยู่ที่ 0.44เท่า ขณะที่กำไรสุทธิปี 2548 มีกำไรสุทธิ 1.93 บาทต่อหุ้น ซึ่งราคาปรับตัวลงมามากแล้วอาจเป็นผลมาจากกำไรสุทธิที่ปรับตัวลดลงจากปีที่แล้ว ทำให้ราคาปรับตัวลงตามไปด้วย
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#11 วันที่: 19/05/2006 @ 08:45:02 : re: ***********ข่าว***********
คอลัมน์ขี่พายุ : น่าสงสารแกรมมี่
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:07

เป็นธรรมดาของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทุกๆไตรมาสจะต้องมีการประกาสผลการดำเนินงานประจำงวด เพื่อการได้รับข้อมูลที่โปร่งใสแก่ผู้ถือหุ้น
มาสะดุดใจเอาที่ผลการดำเนินงานของหุ้นGRAMMYของไพบูลย์ ดำรงค์ชัยธรรม ผู้ยื่งใหญ่ในวงการธุรกิจบันเทิง และอาจจะเป็นการเมืองด้วย ในฐานะเพื่อนซี้ของคนชื่อทักษิณ ชินวัตร
แกรมมี่ กำไรแค่ 4.76 แสนบาท เทียบกับกำไรไตรมาส1ของปีก่อน 45.21 ล้านบาท
ผลประกอบการของแกรมมี่ลดลงถึง ร้อยละ 99!
พร้อมๆกันนี้ ก็ยังมีข่าวเล็กๆอีกชิ้นหนึ่งว่า คลื่นFM 88 Mhz. ของแกรมมี่ ซึ่งเหมาเช่าคลื่นจากกรมประชาสัมพันธ์ ก็ขาดทุนซ้ำซากจนต้องทิ้งคลื่นกลางคัน
ผมมาสะดุดใจอยู่หน่อยตรงที่ว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมา อากู๋ก็ยังไปแย่งคลื่นบิสซิเนส เรดิโอ FM 94 Mhz. ซึ่งเป็นคลื่นข่าวเศรษฐกิจการเมืองที่เป็นอิสระของดนัย เอกมหาสวัสดิ์ มาทำคลื่นข่าวในเครือแกรมมี่
ในขณะที่ตัวเองก็มีสารพัดคลื่น 7-8 คลื่นในความครอบครองอยู่แล้ว รวมทั้งคลื่นเพลงFM88ที่ขาดทุนเรื้อรังอยู่ด้วย
ทำไมต้องไปยื้อแย่งคลื่นชาวบ้านเขา เหมือนกับมีเจตนาแอบแฝงจะทำลายล้างคลื่นที่ไม่ยอมรับใช้รัฐบาลเสียอย่างนั้นแหละ
ว่าด้วยตัวตนของแกรมมี่ ซึ่งมีชื่อเต็มคือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ก็เป็นบริษัทโฮลดิ้ง คัมปานีเหมือนกับมีชิน คอร์ป เป็นโฮลดิ้งฯ และยังมีAIS ชินแซท ไอทีวีฯ เป็นบริษัทในเครือประมาณนั้น
จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ยังมีบริษัทลูกจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีกบริษัทหนึ่ง คือจีเอ็มเอ็ม มีเดีย ชื่อย่อGMMM
บริษัทลูกของแกรมมี่บริษัทนี่แหละ ที่เข้าไปเทคโอเวอร์ปฏิปักษ์ในน.ส.พ.มติชน และกึ่งปฏิปักษ์ในน.ส.พ.บางกอก โพสต์
ใช้เงินเพื่อการนี้ เกือบ 2 พันล้านบาท ทั้งๆที่ในทางธุรกิจสิ่งพิมพ์ แทบไม่มีความคุ้มค่าในการลงทุนเอาเสียเลย แต่ผู้บริหารแกรมมี่ โดยเฉพาะนายใหญ่ที่ชื่ออากู๋อาจจะมองว่าคุ้มค่าทางการเมือง
น.ส.พ.มติชน เป็นกระบอกเสียงอิสระทางการเมือง ที่ทิ่มแทงแฉโพยความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลมาโดยตลอด
ส่วนน.ส.พ.บางกอก โพสต์ ก็เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ไม่ค่อยจะลงรอยกับรัฐบาลนัก แต่มีความสำคัญตรงที่สื่อสารกับคนไปทั่วโลก
แกรมมี่ฮุบมติชนไม่สำเร็จ เพราะความรู้สึกของมหาชนว่า ยังมีคนที่ใหญ่กว่าอากู๋ยืนบงการอยู่ข้างหลังในเกมฮุบมติชนครั้งนั้น
เพื่อนฝูงในแวดวงอากู๋หลายคน เริ่มรับไม่ได้กับตัวตนของอากู๋ ที่แสดงตนเป็นตัวแทนรัฐบาลและเจ็บร้อนแทนรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา
ประกอบกับพฤติกรรมต่างตอบแทน เอาธุรกิจไปรับใช้การเมือง และเอาการเมืองไปรับใช้ธุรกิจ
อันวิสัยธรรมชาติของการเมืองนั้น ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ขนาดชนะเลือกตั้ง ก็ยังเข้ามาปกครองบ้านเมืองไม่ได้ ผู้คนทั่วแผ่นดินชิงชังรังเกียจกับความไม่รู้จักพอเสียที
สมัยนี้ ใครกลัวใครเสียที่ไหนเล่า
การเอาธุรกิจไปเกลือกกลั้วการเมืองของอากู๋ โดยไม่คำนึงถึงส่วนได้ส่วนเสียของผู้ถือหุ้น ก็ได้ผลลัพธ์เช่นนี้แหละ
คือ ได้กำไรแค่หลักแสน ผลประกอบการถอยกรูดถึงร้อยละ99
มันน่าสงสารหรือน่าสมน้ำหน้าดีล่ะ
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#12 วันที่: 19/05/2006 @ 08:47:16 : re: ***********ข่าว***********
แกรมมี่ลงทุนมั่วกำไรทรุด -5คลื่นวิทยุฉุดรายได้รูดระนาว กัดฟันทำต่อ
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:07

แกรมมี่ไตรมาสแรกทรุดกำไรไม่ถึง 5 แสนบาท รับผลกระทบลงทุนสะเปะสะปะ โดน 5คลื่นวิทยุฉุดรายได้หาย โฆษณาหด เจอค่าสัมปทานสูง ผู้บริหารยันไม่ปิดคลื่นวิทยุที่เหลือระบุคุมค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว
หลังงบไตรมาสแรกของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMYประกาศออกมามีกำไรสุทธิจำนวน 476,000 บาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.001 บาทเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 45.21 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.092 บาท ซึ่งเป็นผลมาจากการได้รับผลตอบแทนจากธุรกิจสื่อลดลง 30.5 ล้านบาท
โดยเฉพาะสื่อธุรกิจวิทยุที่มีบริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ GMMMบริษัทในเครือเป็นผู้ดำเนินการจำนวน 6 คลื่น คือ เอฟเอ็ม 89.0 91.5 93.5 106.5และ 94.0 ซึ่งเห็นได้จากการที่บริษัทได้ยกเลิกการบริหารคลื่นบัซ เอฟเอ็ม 88.0 ที่ได้ร่วมบริหารกับบริษัท อาร์.เอ็น.ที.เทเลวิชั่น จำกัด ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.เป็นต้นไป หลังเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ในวันที่ 1 มี.ค.49
ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงดังกล่าวพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มหันไปให้ความสนใจการเมืองมากขึ้น ทำให้มีการกระจายข่าวสารข้อมูลจากสื่อวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อการบันเทิงลดลง รวมถึงค่าสัมปทานค่อนข้างสูง อย่างไรก็ดีในไตรมาสแรก GMMM มีกำไรสุทธิเพียง 5.2 ล้านบาท ลดลง 37.7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 42.9 ล้านบาท
นอกจากนั้น GRAMMY ยังได้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง อาทิ ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อรองรับช่องทางการขายผ่านระบบ DIGITAL ขยายธุรกิจคาราโอเกะ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บลิขสิทธิ์ ขยายแนวเพลงในรูปแบบต่างๆให้หลากหลายมากขึ้น ขยายธุรกิจสื่อในด้านธุรกิจจัดกิจกรรมทางการตลาด คลื่นวิทยุสถานีข่าว และลงทุนในสื่อหนังสือพิมพ์ เป็นต้นเพราะบริษัทเห็นว่าการวางรากฐานดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์กับกลุ่มบริษัทในระยะยาว
อย่างไรก็ดีการที่บริษัทเข้าบริหารคลื่นสถานีข่าว 94.0 ที่มีบริษัท โอเพ่น เรดิโอจำกัด บริษัทในเครือเป็นผู้ดำเนินการก็มีส่วนทำใหบริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะต้องจ้างผู้สื่อข่าวใหม่ในอัตราที่สูง
แหล่งข่าวจาก GMMM เปิดเผยกับข่าวหุ้นธุรกิจว่า บริษัทตัดสินใจยกเลิกการบริหารคลื่นบัซ เอฟเอ็ม 88.0 เพราะความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้เจ้าของสินค้าตัดงบประมาณโฆษณาลงอย่างต่อเนื่อง และอาร์.เอ็น.ทีฯไม่สามารถติดตั้งเครื่องรับสัญญาบนรถเมล์จำนวน 7,000 คันได้ตามแผนงานที่วางไว้
นอกจากนั้นยังไม่สามารถแก้ปัญหาคลื่นแทรกซ้อน และปัญหาทางเทคนิคต่างๆได้ ทั้งนี้บริษัทจะคืนคลื่นดังกล่าวให้กับกรมประชาสัมพันธ์ในวันที่ 1 มิ.ย.49 จากเดิมที่จะหมดสัญญาร่วมผลิตในสิ้นปี โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้เคยตั้งเป้ารายได้คลื่นดังกล่าวเดือนละ 40 ล้านบาทซึ่งบริษัทจะแบ่งรายได้ให้อาร์.เอ็น.ทีฯ 50% อย่างไรก็ดีการร่วมบริหารคลื่นดังกล่าวทางอาร์.เอ็น.ทีฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบการลงทุนมูลค่า 50 ล้านบาท ขณะที่ GMMM จะรับผิดชอบการผลิตและการตลาด
บริษัทไม่มีแผนยกเลิกการบริหารคลื่นวิทยุที่ดำเนินการอยู่ แม้ว่าปัจจุบันต้นทุนการบริหารคลื่นบางแห่งจะยังอยู่ในระดับสูงก็ตาม ล่าสุด GMMM อยู่ระหว่างพิจารณาหาทางควบคุมต้นทุนการบริหาร อย่างไรก็ดีคลื่น 106.5 เป็นสถานีที่มีต้นทุนแข็งแกร่งที่สุด
หลังบริษัทยกเลิกการบริหารคลื่น 88.0 ทำให้ต้องปรับประมาณการณ์ผลประกอบการทั้งปี 49 ใหม่ จากเดิมที่คาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจวิทยุประมาณ 900 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่มีรายได้จำนวน 850 ล้านบาท เบื้องต้นอาจลดลงจากเป้าหมายเล็กน้อยหากมีการควมคุมต้นทุนที่ดีแหล่งข่าว กล่าว
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#13 วันที่: 19/05/2006 @ 08:50:40 : re: ***********ข่าว***********
ไทเก้นฯฮุบRAIMON42% ปีนี้ฟันรายได้เกิน1.7พันล.
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:07

กลุ่มไทเก้น เล็งฮุบกิจการ RAIMON ล่าสุดโฟรเด้ และโอเล่ย์ ถือรวมกัน 42% ยังไม่รวมหุ้นที่อยู่ในไทยเอ็นวีดีอาร์ ผู้บริหารย้ำสองพี่น้องมั่นใจผลการดำเนินงาน หลังเห็นมีโครงใหญ่เตรียมผุดหลายแห่ง ระบุปี 49 ฟันรายได้กว่า 1.7 พันล้านบาทขณะที่ปีหน้าโกยเกิน 2 พันล้านบาท
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา นายโอเล่ย์ ไทเก้น ได้ซื้อหุ้นบริษัท ไรมอนแลนด์จำกัด (มหาชน) หรือ RAIMON จำนวน 0.11% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ส่งผลให้มีจำนวนหลักทรัพย์หลังการได้มาคิดเป็น 20.10% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
โดยในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมากลุ่มไทเก้นได้ทยอยซื้อหุ้น RAIMON อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นได้จากในวันที่ 16 ม.ค.49 นายโอเล่ย์ ซื้อหุ้นจำนวน 0.50% และวันที่ 3 มี.ค.จำนวน1.68% ส่งผลให้มีจำนวนหลักทรัพย์หลังการได้มาคิดเป็น 20.74% ขณะที่ในวันที่ 7 มี.ค.นายโฟรเด้ได้ซื้อหุ้น 3.14% ส่งผลให้มีจำนวนหลักทรัพย์คิดเป็น 21.17%
นอกจากนั้นบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ที่อาจมีสองพี่น้องเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนได้ทยอยซื้อหุ้น RAIMON เช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 2 มี.ค.ซื้อหุ้นจำนวน 11.41% วันที่ 26 เม.ย.จำนว0.34% วันที่ 8 พ.ค.จำนวน 3.80% ส่งผลให้มีจำนวนหลักทรัพย์หลังการได้มาคิดเป็น 23.22% ก่อนที่จะขาย 3.80% ในวันที่ 9 พ.ค.ทำให้มีจำนวนหลักทรัพย์คิดเป็น 19.42%
นายกิตติ ตั้งศรีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและการจัดการ บริษัท ไรมอนแลนด์จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับข่าวหุ้นธุรกิจว่า ปัจจุบันกลุ่มไทเก้นถือหุ้นบริษัทอยู่ประมาณ 42% ซึ่งยังไม่ถึงระดับเพดานหุ้นต่างชาติที่บริษัทกำหนดไว้ 49% ส่วนตัวเชื่อว่ากลุ่มไทเก้นทยอยซื้อหุ้น RAIMON เนื่องจากมั่นใจว่าผลประกอบการของบริษัทจะเติบโตต่อเนื่อง เพราะบริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมหรูขนาดใหญ่หลายแห่งที่รอขาย
ในปี 49 บริษัทอาจมียอดรับรู้รายได้มากกว่า 1,755 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้จากโครงการนอร์ทชอร์ พัทยา โครงการเดอะลีเจนด์ และโครงการกะตะการ์เด้นส์ ประมาณ 750 ล้านบาท และรับรู้รายได้จากโครงการที่เปิดขายในปีก่อน 2 แห่ง คือ โครงการเดอะไฮลท์ภูเก็ต มูลค่า 1,250 ล้านบาท และโครงการเดอะล็อฟท์เย็นอากาศ มูลค่า 1,150 ล้านบาท
ส่วนในปี 50 มั่นใจว่าจะมียอดรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ประมาณ 50% จากโครงการนอร์ทพ้อยท์ พัทยา พื้นที่ 12 ไร่ จำนวน 2 อาคาร 350ยูนิต ราคาขาย 7.5 หมื่นบาทต่อตารางเมตร มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายในกลางเดือนมิ.ย.49 ส่วนที่เหลือจะรับรู้รายได้ในปี 51
นอกจากนั้นยังรับรู้รายได้บางส่วนจากโครงการคอนโดมิเนียมเดอะริเวอร์ โปรเจ็กต์กรุงเทพฯ ระดับเกรดเอ ราคาขาย 7.5-8 หมื่นบาทต่อตารางเมตร มูลค่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ตากสิน โฮเทล โฮลดิ้ง จำกัด ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 60% คาดว่าจะเปิดขายได้ในช่วงปลายปี 49 รวมถึงโครงการเดอะลีเจนด์ และโครงการเดอะล็อฟท์เย็นอากาศ
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#14 วันที่: 19/05/2006 @ 08:52:06 : re: ***********ข่าว***********
LPNขาย2คอนโดฯ หนุนยอดขายปีหน้า Q2งามของเก่าหนุน
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:07

LPN ได้ฤกษ์ขายโครงการลุมพินี เพลส รัชดา และสะพานควาย 27-28 พ.ค.นี้ แย้มเริ่มรับรายได้ไตรมาส 4/50 โอภาส ย้ำตั้งแต่ไตรมาส 2 ตัวเลขสวยรับอานิสงค์ยอดขายปีก่อน ขณะที่ทั้งปีได้เห็นยอดรับรู้ 5 พันล้านบาทแน่
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยกับข่าวหุ้นธุรกิจว่า ในวันที่ 27 พ.ค.49 บริษัทเตรียมเปิดขายห้องชุดรอบพิเศษสำหรับลูกค้าที่ลงชื่อแสดงความต้องการห้องชุดในโครงการลุมพินี เพลส รัชดา-ท่าพระ สูง 29 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 850 ยูนิต มูลค่า 1,600 ล้านบาท
นอกจากนั้นในวันที่ 28 พ.ค.บริษัทจะเปิดขายห้องชุดส่วนที่เหลือขายอีก 30% ในโครงการลุมพินี เพลส พหลโยธิน-สะพานควาย หลังประสบความสำเร็จจากการเปิดขายในส่วนแรก ซึ่งสามารถขายหมดในเวลาเพียง 3 วัน ทั้งนี้บริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวในช่วงไตรมาส 4/50-ปี 51
สำหรับผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 และ 3 บริษัทเชื่อว่าจะมีอัตราเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการลุมพินี อ่อนนุช มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท และโครงการลุมพินี ปิ่นเกล้า มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท ขณะที่ในช่วงไตรมาส4 บริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการลุมพินีวิลล์ ศูนย์วัฒนธรรม มูลค่า 1,900 ล้านบาท
ดังนั้นในปี 49 บริษัทจะมียอดรับรู้รายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ประมาณ 5,000ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่มียอดรับรู้รายได้จำนวน 3,346 ล้านบาท และมียอดขายประมาณ 8,100 ล้านบาท คิดเป็น 5,800 ยูนิต เทียบกับปีก่อนที่มียอดขายจำนวน 7,169 ล้านบาทคิดเป็น 4,231 ยูนิต
ส่วนปี 50 อาจมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 6,500 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้จากโครงการลุมพินี เพลส นราธิวาส-เจ้าพระยา โครงการลุมพินี เพลส รัชดา-สะพานควาย และโครงการลุมพินี เพลส รัชดา-ท่าพระ
ขณะที่ในปี 51 อาจมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 8,000 ล้านบาท โดยจะมาจากโครงการลุมพินี เพลส รัชดา-ท่าพระ โครงการลุมพินี เพลส ปิ่เกล้า เฟส 2 โครงการลุมพินีเซ็นเตอร์ โครงการลุมพินี วิลล์ และโครงการลุมพินี เพลส
ในไตรมาส 3 บริษัทเตรียมเปิดขายโครงการใหม่ 1 แห่ง คือ โครงการลุมพินีปิ่นเกล้า 2 แห่ง มูลค่า 1,200 ล้านบาท จำนวน 600 ยูนิต คาดว่าจะได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก เพราะโครงการดังกล่าวเป็นส่วนขยายจากโครงการลุมพีนี ปิ่นเกล้า ที่มีลูกค้าเดิมสนใจกว่า 300 รายนายโอภาส กล่าว
อย่างไรก็ดีขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมย่านอ่อนนุช สูง 8 ชั้น พื้นที่ 22 ตารางเมตร ราคาขาย 5.5 แสนบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงไตรมาส 4/49 และจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 51
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#15 วันที่: 19/05/2006 @ 08:54:09 : re: ***********ข่าว***********
CMOบุ๊ครายได้300ล้านครึ่งปีหลัง - หั่นงานภาครัฐเหลือ30% หนีความเสี่ยง
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:08

CMO ลุ้นครึ่งปีหลังรับ 4 อีเวนต์ใหญ่ กว่า 300 ล้านบาท ดันยอดรายได้ทั้งปีถึง 600ล้านตามเป้า เพิ่มขึ้น 10% ส่วนไตรมาสนี้ยังดีต่อเนื่อง รับรู้รายได้แล้ว 140ล้าน เล็งลดสัดส่วนงานภาครัฐเหลือไม่ถึง 30% หวั่นปัญหาการเมืองทำให้ความเสี่ยงสูง หันรับงานเอกชนช่วงธุรกิจออกาไนเซอร์ขาขึ้น
แหล่งข่าวจากบมจ.ซีเอ็ม ออร์กาไนท์ หรือ CMO กล่าวกับ ข่าวหุ้นธุรกิจ ว่าในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าบริษัทจะรับรู้รายได้หลักจาก 3-4 งานใหญ่ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท เช่น ไอซีทีเอ็กซ์โป 2006 มอเตอร์เอ็กซ์โป งานโฮมโปร เอ็กซ์โป และงานพืชสวนโลก โดยล่าสุดได้ลงนามสัญญากับลูกค้าไปแล้วคิดเป็นมูลค่า 50 ล้านบาท
ส่วนรายได้รวมในปีนี้คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 600 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้รวม 560 ล้านบาท โดยมาจากการรับงานอีเวนต์ฯอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรับรู้รายได้จากบริษัทลูกที่เพิ่งเปิดใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว เพื่อดูแลการจัดกิจกรรมของพิพิธภัณฑ์
สำหรับไตรมาส 2 นั้น คาดว่ามีทิศทางเติบโตดี เนื่องจากบริษัทจะรับรู้รายได้หลักจาก3 งานใหญ่ คิดเป็นมูลค่าราว 140 ล้านบาท ได้แก่ งานมอเตอร์โชว์ประมาณ 10 ล้านบาทแลนด์โลเวอร์ จี4 ชาเลนเจอร์กว่า 10 ล้านบาท และงานเฉลิมพระเกียรติครองราชย์ครบ60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกว่า 100 ล้านบาท
สำหรับแผนดำเนินธุรกิจในปีนี้จะลดสัดส่วนรายได้จากงานภาครัฐเหลือไม่ถึง 30%จากเดิม 35% เพราะมองว่างานภาครัฐมีความเสี่ยงสูงจากปัญหาการเมืองยืดเยื้อ ทำให้ช่วงนี้เกิดสูญญากาศเรื่องอนุมัติงงบหรืองานภาครัฐได้
ส่วนตลาดรวมอีเวนต์ออกาไนเซอร์ยังเป็นขาขึ้น ทำให้กำลังซื้อหรืองบการจัดอีเวนต์ออกาไนเซอร์เพิ่มขึ้น เช่น ไตรมาสแรกบริษัทพลิกกลับมาเป็นกำไร 9.72 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มีผลขาดทุน 8.58 ล้านบาท
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป ประเมินว่า รายได้ปีนี้จะอยู่ที่ 601 ล้านบาทและกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 46.83 กำไรต่อหุ้น 0.31 บาท ดังนั้น กลยุทธ์ลงทุนแนะนำซื้อ อิง P/E 8 เท่า ราคาเหมาะสมเท่ากับ 2.48 บาท และคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.19บาท
อย่างไรก็ดี วานนี้ (18 พ.ค.) ราคาหุ้น CMO ปิดที่ 2.48 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.08 บาท หรือ 3.33% มูลค่าซื้อขาย 18.87 ล้านบาท
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#16 วันที่: 19/05/2006 @ 08:55:36 : re: ***********ข่าว***********
ทาทาฯออกฤทธิ์ดันMSรุกส่งออก หนีตลาดไทยทรุดผลักยอดQ2วิ่ง
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:08

MS ปรับแผนธุรกิจหลังได้ทาทาสตีลเป็นพันธมิตร หันซบตลาดต่างประเทศ หลังภาคก่อสร้างไทยส่อเค้าชะลอตัว อาศัยฐานตลาดที่กว้างของทาทาสตีลเป็นตัวขยายยอดส่งออกเชื่อตั้งแต่ไตรมาส 2 ยอดขายไปโลด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ถึงแม้บริษัท มิลเลนเนียม สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MS จะได้ทาทาสตีล ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่จากประเทศอินเดียเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางการดำเนินงาน
ซึ่งจากผลประกอบการในไตรมาส 1 MS ขาดทุน 236.41 ล้านบาท และเป็นหุ้นตัวเดียวในกลุ่มผู้ผลิตเหล็กที่ไม่มีการตอบสนองต่อภาวะการฟื้นตัวของราคาเหล็ก เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่กดดัน เช่น งานก่อสร้างไม่สดใส โดยเฉพาะจากโครงการเมกะโปรเจ็กที่ยังไม่คืบหน้า รวมถึงในไตรมาสแรกมีการทำคำเสนอซื้อ (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) จากกลุ่มทาทาสตีลที่ 1.15 บาท ซึ่งถือเป็นมาตรฐาน (Benchmark) ของราคาตลาดในช่วงการทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์
แหล่งข่าวจาก MS เปิดเผยกับ ข่าวหุ้นธุรกิจ ว่า บริษัทจะปรับแผนการดำเนินงานหลังจากที่ทาทาสตีลเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยแผนดังกล่าวจะเน้นการส่งออกสินค้ามากขึ้นจากปีก่อนที่มีสัดส่วนการส่งออกเพียง 1-2% เท่านั้น นอกจากนี้บริษัทอาจได้รับวัตถุดิบบิลเลจ(Billet) จากทาทาสตีล ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตในอนาคต
ทาทาสตีลจะเข้ามาบริหารแผนการดำเนินงานทั้งหมด แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนซึ่งในเบื้องต้นเชื่อว่าทาทาสตีลจะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการส่งออก เพราะเขาเป็นผู้ผลิตเหล็กชั้นนำระดับโลก และผลิตเหล็กครบวงจร จึงมีฐานตลาดกว้าง นอกจากนี้จะปรับโครงสร้างผู้บริหาร ซึ่งล่าสุดมีผู้บริหารจากทาทาสตีลจำนวน 6 คน แหล่งข่าว กล่าว
สำหรับผลประกอบการไตรมาสแรกที่ขาดทุนนั้น เนื่องจากราคาเหล็กเริ่มฟื้นตัวในช่วงเดือนมี.ค. ประกอบกับบริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน หากดูจากปริมาณการขายแล้วจะเห็นว่าในไตรมาสแรก MS มียอดขาย 270,000 ตัน เพิ่มขึ้น 28.57% จากไตรมาส 4 ปี48 ที่มีปริมาณการขายเพียง 210,000 ตัน
ส่วนไตรมาส 2 คาดว่าจะมีปริมาณการขายที่ใกล้เคียงกับไตรมาสแรก โดยเชื่อว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้นเพราะราคาเหล็กอยู่ในช่วงขาขึ้น รวมถึงบริษัทมีการบริหารจัดการควบคุมต้นทุนที่ดี
ไตรมาส 2 อาจยังไม่ดีเท่าที่ควร แต่หลังจากทาทาสตีลวางแผนการดำเนินงานเรียบร้อยแล้วมั่นใจว่าจะเน้นขยายธุรกิจโดยการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศให้มากขึ้น เพราะปัจจุบันงานก่อสร้างในประเทศชะลอตัว โดยเฉพาะงานภาครัฐ อย่างไรก็ดีในปีนี้ยังคงคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 6-8%แหล่งข่าว กล่าว
บทวิเคราะห์บล.กรุงศรีอยุธยา ระบุถึงผลประกอบการไตรมาส 2 ของ MS ว่าจะดีขึ้นเพราะการทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ของผู้ถือหุ้นใหม่ (ทาทาสตีล) เรียบร้อยแล้ว โดยถือหุ้นในสัดส่วน 67% คาดว่าจะทราบนโยบายทิศทางการดำเนินงานในเร็วๆ นี้ รวมถึงทาทาสตีลอาจส่งบิลเลจ (Billet) ให้กับ MS เพื่อลดต้นทุนวัตถุดิบ
นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากราคาเหล็กที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นรวมถึงสภาวะตลาดที่ดีขึ้นจะทำให้ MS มีปริมาณการขายและรายได้ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน และเชื่อว่าในไตรมาส 2 MS เป็นหุ้นเหล็กอีกตัวที่น่าสนใจ ให้ราคาเป้าหมาย 1.55 บาทต่อหุ้น มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาปัจจุบัน 1.11 บาท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#17 วันที่: 19/05/2006 @ 08:56:52 : re: ***********ข่าว***********
หุ้นSUCพุ่งไร้สตอรี่ โบรกชี้แค่เก็งกำไร รับข่าวยอดโต800%
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:08

SUC พุ่งพรวด 3 วันติด โบรกมองรายย่อยแค่เก็งกำไรผลประกอบการที่กำไรสุทธิเพิ่มกว่า 800% ไม่มีสตอรี่ใหม่ หลังจากนี้คาดเทรดในกรอบแคบๆ เพราะสภาพคล่องน้อย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหุ้นบริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) หรือ SUC ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. โดยในวันที่ 16 ปิดตัวที่ราคา 21.60 บาท เพิ่มขึ้น 3.30บาท หรือ 18.03% ปริมาณซื้อขาย 65.33 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 17 พ.ค. ปิดที่ 23.80เพิ่มขึ้น 2.20 บาท หรือ 10.19% ปริมาณซื้อขาย 158.82 ล้านบาท และวานนี้ปิดที่ 24.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือ 1.68% มูลค่าซื้อขาย 128.30 ล้านบาท
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ระบุว่า สาเหตุที่หุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเล่นรับข่าวผลประกอบการไตรมาส 1 ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก โดย SUC มีกำไรสุทธิ 451 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.56 บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 48 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.17 บาท โดยมีกำไรเพิ่มขึ้น 403 ล้านบาท หรือเพิ่มกว่า 800%
อย่างไรก็ตามเชื่อว่านักลงทุนแค่เข้ามาเล่นเพื่อเก็งกำไรรับข่าวผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก แต่คาดว่าหลังจากนี้จะเริ่มมีแรงเทขายเพื่อทำกำไร แล้วราคาหุ้นจะกลับไปเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ตามเดิม เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องน้อย
ปกติหุ้น SUC แทบไม่มีความเคลื่อนไหวเพราะสภาพคล่องน้อย แต่จะปรับตัวขึ้นเมื่อมีข่าวผลประกอบการ หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ดังนั้นการที่หุ้นปรับตัวขึ้นไม่ได้มาจากสตอรี่ใหม่ๆ แค่เก็งกำไรเท่านั้น นักวิเคราะห์ กล่าว
ทั้งนี้ SUC รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ระบุว่า สาเหตุที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว เนื่องจากมีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่มากกว่าต้นทุนขายและต้นทุนบริการ 248 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการดำเนินธุรกิจสิ่งทอในจีนที่มีผลการดำเนินงานเต็มที่แล้ว ขณะที่ไตรมาส 1 ปี 48 ธุรกิจดังกล่าวเพิ่งดำเนินงาน
เมื่อรวมรายได้จากธุรกิจพลังงานและการบริการด้านการศึกษาในจีน รวมเป็นยอด 135.3 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจกลุ่มพลาสติก ยางและโลหะ กับธุรกิจคอมพิวเตอร์ในไทย มีรายได้รวม 72.3 ล้านบาท
ขณะที่กำไรนั้น รับรู้จากธุรกรรมในไทย 216.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 182.79 ล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว ซึ่งมีจำนวน 33.34 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้เงินปันผลจากธุรกรรมในไทย ขณะที่ปีที่แล้วรายได้เงินปันผลจากการลงทุนรับรู้ไตรมาส 2 ปี48
นอกจากนี้ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในจีนในธุรกิจพลังงานและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นประมาณ 130 ล้านบาท
SUC ยังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว66.44 ล้านบาท จากรายการเงินกู้ระยะยาวเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่า
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#18 วันที่: 19/05/2006 @ 08:57:58 : re: ***********ข่าว***********
SECCฝ่าวิกฤตไม่ไหวหลุดจอง -แจกปันผลปี48ไม่ต่ำกว่า50%เอาใจนักลงทุน
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:08

SECC ไปไม่รอด เทรดวันแรกปิดตลาดที่ 2.78 บาท ต่ำกว่าราคาจองที่ 3 บาท ผู้บริหารแย้มลุ้นจ่ายปันผลปี 48 ล่อใจนักลงทุน ชูจุดเด่นนำเข้ารถยนต์ไม่จำกัดรุ่นทำการตลาดง่ายชี้ไตรมาส 2 แย่ เพราะเป็นช่วงโลซีซั่น ด้าน FA ย้ำพื้นฐานแกร่งโชว์ครองแชร์อันดับ 1
วานนี้ (17 พ.ค.) หุ้นบริษัท เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ SECC เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก โดยเปิดตลาดที่ระดับ 3 บาทเท่าราคา IPO ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 2.78 บาท ต่ำกว่าราคาจอง 7.33%
นายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ ประธานกรรมการ บริษัท เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ SECC เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะมีการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นสำหรับผลการดำเนินงานปี 2548 หากไม่มีโครงการลงทุนใดๆ เข้ามาเพิ่มเติม โดยจะประชุมคณะกรรมการและผู้ถือหุ้นประมาณไตรมาส 2 หรือต้นไตรมาส 3 ซึ่งมีนโยบายจ่ายเงินปันผลประมาณ 50% ของกำไรสุทธิ
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 อาจจะไม่ดีเท่าไตรมาส 1 เพราะในแต่ละปีช่วงไฮซีซั่นของบริษัทคือไตรมาส 1 และไตรมาส 4 อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีแนวโน้มรายได้ที่ดีต่อเนื่อง เพราะมีการนำรถยนต์ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดเข้ามามากขึ้น อาทิ รถยนต์ประหยัดพลังงานหรือรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัย เพราะจุดเด่นของบริษัทคือไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของรุ่นรถยนต์จึงทำให้สามารถทำการตลาดได้ง่าย
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 64.46 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.21)เพิ่มขึ้น 0% จากช่วงเดียวกันของก่อนที่ 18.03 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.06)
ส่วนราคาหุ้น SECC นั้น เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสนใจลงทุนระยะยาวเพราะเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจที่ยาวนานถึง 15 ปี โดยเห็นจากช่วงการเสนอขาย IPOนั้นได้รับการตอบรับจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อยเป็นจำนวนมาก แต่สำหรับราคาหุ้นในช่วงนี้นั้นอาจมีความผันผวนซึ่งเกิดจากสภาวะตลาดหุ้นโดยรวม
ด้านนายธนะชัย บัณฑิตวรภูมิ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ฟินันซ่า ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้น บริษัท เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือ SECC เปิดเผยว่า สภาวะตลาดในช่วงนี้ไม่เอื้อต่อการลงทุนมากนักด้วยปัจจัยหลายด้าน ดังนั้นอาจเป็นเหตุให้นักลงทุนบางส่วนเทขายทำกำไรออกมากในช่วงแรก
บรรยากาศการลงทุนไม่เอื้อ ทำให้นักลงทุนที่เทขายหุ้นออกมาเพื่อสร้างความปลอดภัยไว้ก่อน อีกทั้งดัชนีดาวโจนส์ก็ปรับตัวลดลงมาก ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อหุ้นบ้าง ซึ่งคงต้องรอให้นักลงทุนคลายความกังวลก่อนนายธนะชัย กล่าว
ทั้งนี้ ประเมินว่าราคาหุ้นที่เหมาะสมของ SECC น่าจะอยู่ที่ประมาณ 4-5 บาท หากเทียบกับ P/E ในอุตสาหกรรมยานยนต์อยู่ที่ 12 เท่า โดยราคาไอพีโอที่ 3 บาท มี P/Eอยู่ที่ 8 เท่า นอกจากนั้น SECC ยังมีแผนงานในอนาคตอย่างต่อเนื่อง อาทิ ขยายสาขาบริการหลังการขาย เป็นต้น
อย่างไรก็ดี หุ้น SECC ถือเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานแกร่งเพราะเป็นผู้ประกอบธุรกิจนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศทั้งรถยนต์สปอร์ต รถยนต์นั่งส่วนบุคคล (ซีดาน) รถยนต์อเนกประสงค์รถยนต์ตรวจการณ์ และรถยนต์ที่นำเข้าตามความต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะ เช่น รถยนต์กันกระสุน รถแคมป์ปิ้งคาร์ และรถมินิบัส เป็นต้น ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือกว่า 70%
นอกจากนั้นบริษัทยังให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่การนำเข้าจำหน่าย และการบริการหลังการขาย เช่น การซ่อมบำรุง การซ่อมทางเทคนิค นอกจากนั้นยังนำเข้าและจำหน่ายอะไหล่ อุปกรณ์เสริม และอุปกรณ์ตกแต่ง
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#19 วันที่: 19/05/2006 @ 08:59:14 : re: ***********ข่าว***********
JASผงาดรับข่าวดันJTSขายหุ้น -เปิดจอง5-7มิ.ย. ราคาเหมาะสม4.2บาท/หุ้น
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 19 May 2006 04:09

JAS บวกสวนตลาด 3.57% ด้วยวอลุ่มแน่น รับข่าวดัน JTS เข้าตลาดฯ เปิดจอง 5-7 มิ.ย.นี้ เทรดก่อนสิ้นเดือน ราคาเหมาะสมหุ้นละ4.2 บาท หาเงินเพิ่มศักยภาพบริการอินเทอร์เน็ต โบรกมองอนาคตดี ธุรกิจระบบสื่อสารโทรคมนาคม และคอมพิวเตอร์แข็งแกร่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้(18พ.ค.) หุ้น JAS ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนกระแสภาวะตลาดที่ลดลง 14.06 จุด โดยราคาขึ้นไปสูงสุดที่ 0.59 บาท หรือเพิ่มขึ้น 0.02 บาท ราว 3.57% แต่ปรับตัวลงมาปิดที่ 0.58 บาท มีมูลค่าการซื้อขาย 199.834 บาท
ทั้งนี้ น่าจะเป็นเพราะรับข่าวบริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด(มหาชน)(JTS) ได้ฤกษ์เข้ากระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในเดือนมิ.ย.นี้โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ซิมิโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ซีมิโก้ ระบุว่า หุ้นของ JTS ที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)จำนวน 175 ล้านหุ้นนั้น คาดว่าจะสามารถเปิดให้จองซื้อได้ในวันที่ 5-7 มิ.ย.49 และจะสามารถเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ราวสัปดาห์ที่ 3-4 ของเดือนมิ.ย. ส่วนราคาหุ้นคาดว่าจะสรุปได้ภายในสัปดาห์นี้
บล.กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะว่า มูลค่าหุ้น JTS น่าจะอยู่ที่ราคา 4.2 บาทต่อหุ้นโดยมี PER 10 เท่า EV/EBITDA 4 เท่า ในปี 48 กำไรก่อนหักรายการพิเศษเติบโต 30% จากปีก่อนหน้า มาเป็น 264 ล้านบาท และคาดว่าในปีนี้จะขยายตัวต่อเนื่องเป็น 295ล้านบาท
โดยก่อนหน้านี้ผู้บริหารแผนฟื้นฟู JAS ระบุว่าในปีนี้บริษัทฯจะมีการเพิ่มการลงทุนใหม่ๆเพื่อผลักดันให้บริการเข้าถึงลูกค้าโดยตรงมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจอินเตอร์เน็ต ซึ่งในปีที่ผ่านมาธุรกิจนี้เติบโตขึ้น 2 เท่าสร้างรายได้ให้กับกลุ่ม 10%
ทั้งนี้ JTS เป็นผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาออกแบบและวางระบบสื่อสารโทรคมนาคม รวมไปถึงระบบคอมพิวเตอร์และโครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและยังนำเนินกิจการให้เช่าโทรศัพท์สาธารณะ แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) และให้เช่าอุปกรณ์เครื่องมือวัดอีกด้วย
นายภูดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการสายการตลาด บล. เอเชียพลัส จำกัด เปิดเผยว่า JAS จะได้รับผลดีในแง่รับรู้กำไรจากขายหุ้นของ JTS ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับบริษัทในการขยายธุรกิจได้ และยังเป็นการเพิ่มมูลค่าหุ้นที่ยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีซึ่งอยู่ที่ 0.90 -1 บาท
หลังจากที่ JTS เข้าจดทะเบียนแล้ว มูลค่าทางบัญชีของ JAS จะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยกรอบการลงทุน ส่วนของแนวรับอยู่ที่ 0.53 บาท ขณะที่แนวต้านแรก 0.58 บาท และแนวต้านถัดไป 0.60 บาท
นอกจากนี้ หาก JAS ออกจาแผนฟื้นฟูได้ตามที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ก็จะยิ่งเป็นผลดีกับหุ้น
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com