May 5, 2024   9:49:04 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ***********ข่าว***********
 

U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
วันที่: 18/05/2006 @ 08:34:07
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

พิพัฒ : นักธุรกิจต้องพูดความจริง
?ดัชนีมาม่า? เป็นคำกล่าวที่ใครหลายคนมักหยิบขึ้นมาพูด เมื่อช่วงเวลาสภาพเศรษฐกิจของประเทศค่อนข้างสั่นคลอน การระมัดระวังตัวของในการใช้จ่ายซื้อหาสินค้าของคนทั้งประเทศ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจประเทศนิ่ง หรือเริ่มทรุด ดัชนีมาม่าจะปรากฏและออกมาย้ำภาวะว่าทรุดนิ่งจริง เมื่อยอดการขาย อัตราการเติบโตของมาม่าพุ่งกว่าปกติ ถ้าเศรษฐกิจดี มาม่าจะนิ่งตลาดจะไม่โต

เขาคนนี้ คือคนที่เฝ้าดูแลการเติบโต การผลิต ?มาม่า? บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ?พิพัฒ พะเนียงเวทย์? กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ไทย เพรสซิเด้นท์ฟู้ด ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ที่อยู่ในวงการนี้ คลุกคลีอยู่กับอาหารการกิน ไม่ว่าจะเป็น มาม่า ขนมปัง เหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับชีวิตเราด้วยกันทั้งนั้น


?พิพัฒ? บอกว่า การทำธุรกิจไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ สิ่งสำคัญของการทำงาน ของเรานั้นต้องยืนอยู่บนความเป็นจริง และต้องพูดความจริง ไม่ว่าจะเป็นกับคู่ค้าที่ทำธุรกิจร่วมกัน หรือแม้แต่กับผู้บริโภค ถ้ามีโอกาสและสามารถทำได้ เราต้องบอกความจริง เราต้องซื่อสัตย์กับตลาดกับผู้บริโภค


จากประสบการณ์การทำงานถึงขณะนี้ สามารถบอกได้ว่า การค้าการขาย การทำกิจการใดก็ตาม ต้องศึกษา หาความรู้ หาข้อมูลจากทุกมุมของโลก ทุกอย่างมีพัฒนาการ การเติบโต มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการทำงานการค้า ต้องก้าวและตามให้ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องพร้อมที่จะพัฒนา พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้สำเร็จลุล่วงโดยดี


พร้อมกันนี้ จากการทำงานต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจมีขึ้นมีลง นักธุรกิจที่ดีต้องพร้อมรับมือและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และเมื่อใดก็ตามที่อยู่ในภาวะดี ภาวะปกติ เป็นนักธุรกิจที่ดี และเมื่อสามารถลดต้นทุนได้ ประหยัดได้ อย่านำสิ่งนั้นเข้ากระเป๋า แต่ต้องคืนกำไรให้ลูกค้า ถึงเวลาสามารถช่วยได้ก็ต้องช่วยกัน


นอกจากนี้ การทำธุรกิจที่ดี เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เมื่อถึงจุดหนึ่งของการทำงาน ต้องยอมรับว่าสินค้านั้น ต้องมีจุดอิ่มตัว เราต้องเตรียมความพร้อมและรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเราต้องมองและแตกตลาดแตกความคิดให้ได้ออก ว่าสินค้าของเราสามารถขยายและพัฒนาไปในทิศทางไหน ต้องมองเลยทะลุกรอบ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ หน้าตา รูปทรง สินค้า แพ็กเกจ


ที่สำคัญต้องพยายามและคิดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเก่า หรือสินค้าใหม่ ทั้งต้องทำในสิ่งที่เก่ง แกร่ง เชี่ยวชาญ สามารถทำ สามารถปรับพัฒนาให้เกิดเป็นที่ยอมรับในตลาดได้ ทุกอย่างต้องเกิดจากประสบการณ์ ความรู้ ความชำนาญ ของทุกคน

 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#1 วันที่: 18/05/2006 @ 08:35:00 : re: ***********ข่าว***********
บอลโลกดันตลาดอาหารแช่แข็งโต
ผู้ประกอบโหมกลยุทธ์ขายกระตุ้นกำลังซื้อ

นายอนุรัตน์ โค้วคาสัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และปฏิบัติการ บริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแช่แข็ง พรานทะเล เปิดเผยว่า ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลกช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมนี้ คาดว่า ตลาดรวมอาหารแช่แข็งสำเร็จรูปจะเติบโต 20% เนื่องจากการแข่งขันในแต่ละนัดอยู่ในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งผู้บริโภคจะซื้อสินค้าไว้สำหรับรับประทานช่วงนั้น โดยบริษัทเตรียมจัดโปรโมชั่นพิเศษเพื่อกระตุ้นยอดขาย นอกจากนี้ยังได้วางตลาดไส้กรอกทะเล ที่ผลิตจากปลาแซลมอน ปลาหมึก กุ้ง และปลาเนื้อขาว เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ 100 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ช่วงบอลโลกคาดว่าจะผลักดันให้ยอดขายตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม เติบโต 100% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา หรือมียอดขายมากกว่า 250 ล้านบาท
ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายตามเป้าหมาย 225 ล้านบาท ทำให้มั่นใจว่าทั้งปีจะมียอดขาย 950 ล้านบาท จากยอดขาย 600 ล้านบาทในปีก่อน โดยวางงบตลาดไว้ 40 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมเปิดร้านสแตนด์อะโลน ภายใต้ชื่อ พรานทะเล จำหน่ายสินค้าเช่นเดียวกับร้านสะดวกซื้อ แต่จะมีเฉพาะสินค้าภายใต้แบรนด์พรานทะเลเท่านั้น เน้นขยายสาขาไปยังตลาดต่างจังหวัด ในรูปแบบกึ่งแฟรนไชส์ คาดว่าปีนี้จะเปิดได้ 1-2 แห่ง
ด้าน นายพริษฐ์ อนุกูลธนาการ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แปซิฟิกแปรรูปสัตว์น้ำ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแช่แข็ง พีเอฟพี กล่าวว่า ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลกถือเป็นโอกาสที่ดีของตลาดอาหารแช่แข็งสำเร็จรูปที่น่าจะเติบโตได้ถึง 20% ในช่วง 1 เดือน ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทคือ กลุ่มแม่บ้าน ที่จะซื้อสินค้ากลับไปให้คนในครอบครัวที่ต้องชมการถ่ายทอดการแข่งขัน โดยบริษัทจะเน้นการขายข้าวกล่องสำเร็จรูปพร้อมรับประทานภายใต้แบรนด์ ทัพพี ซึ่งล่าสุด เปิดตัว 2 เมนูใหม่ ได้แก่ ปลาหิมะญี่ปุ่นราดซอสกระเทียม และปลาซาบะย่างซีอิ๊วญี่ปุ่น พร้อมกับการขยายช่องทางจำหน่ายไปยังร้านค้าปลีกสะดวกซื้อ และรายย่อยทั่วไป เพิ่มจากปัจจุบันที่มีอยู่ 600 จุด เป็น 1,500 จุด โดยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไว้ 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นในประเทศ 40% และส่งออก 60%
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#2 วันที่: 18/05/2006 @ 08:35:40 : re: ***********ข่าว***********
TMBแหยงวิกฤติศก.เบรกปล่อยกู้

นายไกรทิพย์ ไกรฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านปฏิบัติการ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB เปิดเผยถึง สภาวะเศรษฐกิจในตอนนี้ว่า ธนาคารจะทำการทบทวนเป้าสินเชื่ออีกครั้งตอนต้นเดือนมิถุนายนตามอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) และธนาคารจะไม่เร่งที่จะปล่อยสินเชื่อในตอนนี้ ซึ่งการปล่อยสินเชื่อตอนนี้จะมีความเสี่ยงเนื่องจากตอนนี้มีปัจจัยทางด้านการเมือง น้ำมัน และ อัตราดอกเบี้ย แต่สินเชื่อเก่าก็ยังไปได้อยู่ ทั้งนี้ ครึ่งปีหลังรายได้ดอกเบี้ยจะลดลง แบงก์จึงหันไปปรับสัดส่วนเพิ่มค่าธรรมเนียมมากขึ้น
นายวีระ จันทะแจ้ง เจ้าหน้าที่บริการสายงานบริหารสินทรัพย์ ธนาคารทหารไทย จำกัด ( มหาชน ) หรือ TMB เปิดเผยว่า การนำทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์พร้อมขาย ซึ่งผ่านการตัดเลือกคุณภาพแล้ว เช่น บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ที่ดินเปล่าขนาดเล็กขนาดใหญ่ เพื่อนำไปพัฒนาเชิงพาณิชย์ ที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม และ อาคารสำนักงาน ทยอยออกจำหน่ายแก่ประชาชน โดยได้จัดบูธจำหน่ายทรัพย์สินที่สำนักงานใหญ่ บริเวณชั้น 1 เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่บัดนี้ถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2549
ทั้งนี้ ธนาคารได้กำหนดวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสูงสุดถึง 90% ของราคาซื้อขาย ไม่เกิน 100 % ของราคาประเมิน (ในกรณีที่ราคาขายไม่เกิน 10 ล้านบาท) ส่วนกรณีที่ราคาซื้อขายเกิน 10 ล้านบาทขึ้นไปจะให้วงเงินสินเชื่อสูงสุด 70% ของราคาซื้อขาย แต่ไม่เกิน 100% ของราคาประเมิน สำหรับอัตราดอกเบี้ยนั้น แบงก์ได้กำหนดอัตราพิเศษสุด 0% ในปีแรกของการผ่อนชำระ ปีที่ 2-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MLR-2% และปีที่ 4 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ย MLR-1% ต่อปี โดยมีระยะเวลา กู้สูงสุด 30 ปี พร้อมทั้งยกเว้นอัตราค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมในการสำรวจหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมการจัดเงินกู้ และ ค่าธรรมเนียมการไถ่ถอนคืนก่อนกำหนด
อีกทั้งยังมีโครงการให้สินเชื่อเพิ่มเติมกรณีซ่อมแซม ปรับปรุงต่อเติม และ ซื้อเฟอร์นิเจอร์ เพื่อการซ่อมแซม หรือ ตกแต่งบ้าน ซึ่งเป็นส่วนที่ลูกค้าสามารถขอได้เพิ่มเติมนอกเหนือจากวงเงินกู้ก้อนแรกที่ขอเพื่อการผ่อนชำระที่อยู่อาศัย โดยแบงก์ได้กำหนดวงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 20% ของวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติ แต่ไม่เกิน 70% ของมูลค่าซ่อมแซมทั้งหมด โดยคิดอัตราดอกเบี้ย MLR-2% ต่อปี
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#3 วันที่: 18/05/2006 @ 08:36:24 : re: ***********ข่าว***********
วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3793 (2993)

ทรูมูฟ กำไรชั่วข้ามคืน หลังบังคับใช้ อินเตอร์คอนเน็กชั่น

ขณะที่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนในการประกาศใช้ระเบียบข้อบังคับอินเตอร์คอนเน็กชั่น ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) แล้ว และอยู่ในขั้นตอนการรอประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา

ทางบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำบทวิเคราะห์ถึงผลของระเบียบข้อบังคับอินเตอร์คอนเน็กชั่นว่า ถ้าไม่มีอะไรขัดข้องก็ควรจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาในเดือนพฤษภา คมศกนี้ และเมื่อมีผลบังคับใช้แล้วโอเปอเรเตอร์ทุกรายจะต้องส่งข้อเสนออัตราค่าเชื่อมต่อโครงข่ายให้กับ กทช.ภายใน 15 วัน และโอเปอเรเตอร์ก็จะต้องเจรจากันเพื่อหาข้อสรุปในการกำหนดอัตราค่าเชื่อมต่อ ในกรณีที่เสนออัตราค่าธรรมเนียมการเชื่อมต่อที่แตกต่างกัน เช่น เอไอเอสอาจจะเสนอที่ 1.07 บาท/นาที ขณะที่ทรูเสนอที่ 1.50 บาท/นาที ขึ้นอยู่กับการลงทุนในการสร้างเครือข่ายของผู้ให้บริการแต่ละราย

หากผู้ให้บริการแต่ละรายสามารถตกลงกันได้แล้ว คาดว่าระเบียบข้อบังคับอินเตอร์คอนเน็กชั่นน่าจะสามารถบังคับใช้ได้ภายในเดือน ต.ค-พ.ย. แต่ถ้าผู้ให้บริการแต่ละรายไม่สามารถตกลงกันได้ คณะกรรมการอนุญาโตตุลาการจะเป็นผู้เข้ามาตัดสินตรงจุดนี้ อย่างไรก็ตาม กทช.มีอำนาจที่จะบังคับใช้อัตราที่ทาง กทช.กำหนดขึ้น โดยในความเห็นของ บล.ภัทร เชื่อว่าระเบียบข้อบังคับอินเตอร์คอนเน็กชั่นน่าจะสามารถบังคับใช้ได้อย่างสมบูรณ์ภายในสิ้นปีนี้

นอกจากนี้บทวิเคราะห์ของ บล.ภัทรระบุว่า การบังคับใช้ข้อบังคับอินเตอร์คอนเน็กชั่นจะเป็นประโยชน์ต่อทรูมูฟและดีแทค ขณะที่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้เสียหายมาก ที่สุด

จากที่ดีแทคและทรูมูฟยืนยันว่าอินเตอร์คอนเน็กชั่นชาร์จและแอ็กเซสชาร์จเหมือนกันในทางปฏิบัติดังนั้น ทีโอทีควรจะหยุดการเก็บค่าแอ็กเซสชาร์จจากทรูมูฟและดีแทค ทันทีที่มีการประกาศใช้ข้อบังคับอินเตอร์คอนเน็กชั่น แต่ทางทีโอทีโต้แย้งว่าอินเตอร์คอนเน็กชั่นจะใช้เฉพาะกับผู้ได้รับใบอนุญาต (ทีโอทีกับ กสท โทรคมนาคม) ไม่ใช่ผู้ได้รับสัมปทาน (เอไอเอส ทรูมูฟ และดีแทค) และขู่ว่าจะใช้ ไพ่เด็ด คือการตัดระบบเชื่อมต่อเครือข่ายของทรูกับดีแทค หากทั้งคู่หยุดจ่ายค่าแอ็กเซสชาร์จ

แต่ในระเบียบข้อบังคับฉบับสุดท้ายของ กทช.ที่ได้เพิ่มเติมมาตรา 126 ระบุว่า ผู้ได้รับสัมปทานต้องปฏิบัติตาม หรือเห็นพ้องไปในทางเดียวกับระเบียบข้อบังคับของ กทช. ซึ่งเชื่อว่าข้อกำหนดของมาตรานี้จะครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่าข้อบังคับเรื่องอินเตอร์คอนเน็กชั่นจะใช้กับผู้ได้รับสัมปทานหรือไม่ ไว้อย่างชัดเจนแล้ว นอกจากนี้ในมาตรา 4 ได้กำหนดว่า เป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการโทรศัพท์ที่จะต้องให้บริการเครือข่ายแก่ โอเปอเรเตอร์รายอื่น ซึ่งทำให้ ทีโอที พบกับความยากลำบากในการที่จะตัดสัญญาณเครือข่ายของทรูมูฟและดีแทค

ทั้งนี้จากระเบียบข้อบังคับอินเตอร์คอนเน็ก ชั่น จะส่งผลดีให้กับทรูมูฟและดีแทค โดยมีแนวโน้มว่าทั้ง 2 บริษัทจะหยุดจ่ายค่าแอ็กเซสชาร์จเมื่อมีการประกาศใช้ระเบียบข้อบังคับอินเตอร์คอนเน็กชั่น และก็มีแนวโน้มว่าทีโอทีจะต้องมีการต่อสู้กันในชั้นศาล ซึ่งคงกินเวลาหลายปีกว่าคดีจะถึงที่สุด และจากที่แอ็กเซสชาร์จและอิน เตอร์คอนเน็กชั่นชาร์จเป็นค่าธรรมเนียมที่จ่ายเพื่อการเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบ ทาง บล.ภัทร ระบุว่าดีแทคและทรูมูฟมีภาษีดีกว่าที่จะชนะในคดีนี้

นอกจากนี้จากชัยชนะของทรูต่อทีโอทีในคดีการแบ่งค่าแอ็กเซสชาร์จ (มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท) ก่อนหน้านี้ ทำให้มีแนวโน้มที่จะทำให้ทีโอทียอมตกลงกับทรูนอกศาล

และจากที่ปัจจุบัน ทรูมูฟ จ่ายค่าแอ็กเซสชาร์จ 200 บาทต่อเลขหมายต่อเดือน ในระบบโพสต์เพดให้ทีโอที และจ่ายส่วนแบ่งรายได้ 18% ของลูกค้าพรีเพด คิดเป็นปริมาณแอ็กเซสชาร์จโดยรวมที่ทรูมูฟต้องจ่ายคร่าวๆ แต่ละปีประมาณ 3,000-3,500 ล้านบาท หรือประมาณ 15% ของรายได้ทั้งหมด

ภายใต้ระเบียบข้อบังคับอินเตอร์คอนเน็กชั่น การจ่ายค่าธรรมเนียมจะเป็นไปตามปริมาณการใช้โทรศัพท์แทนอัตราที่แน่นอนตายตัว ซึ่งปริมาณของผู้ที่โทร.ออกจากเครือข่ายมากเท่าไหร่ก็ต้องจ่ายค่าอินเตอร์คอนเน็กชั่นมากเท่านั้น ซึ่งทรูมูฟได้ระบุว่าปริมาณผู้ที่โทร.เข้า-ออกจากเครือข่ายมีความแตกต่างกันไม่เกิน 5%

เมื่อคำนวนจากปริมาณการใช้โทรศัพท์ ทาง บล.ภัทรประเมินว่า ทรูมูฟต้องจ่ายค่าธรรมเนียมอินเตอร์คอนเน็กชั่นประมาณ 1.2-1.5 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งคิดเป็นเพียงครึ่งเดียวของแอ็กเซสชาร์จที่ต้องจ่ายในปัจจุบัน ซึ่งจากกรณีดังกล่าวนี้จะทำให้ EBITDA ของทรูเพิ่มขึ้นอีก 12-13% และจะทำให้ทรูมีกำไรมากขึ้นในชั่วข้ามคืน

อย่างไรก็ตาม จากที่ประเมินว่าค่าแอ็กเซสชาร์จ ที่ทรูมูฟและดีแทคจ่ายคิดเป็น 11% ของรายได้ของทีโอทีในปี 2548 ซึ่งการยกเลิกค่าแอ็กเซสชาร์จจะส่งผลให้ทีโอทีสูญเสียรายได้มหาศาล ซึ่งอาจก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประชาชน เพราะทีโอทีนั้นถือว่าหน่วยงานของรัฐที่กระทรวงการคลังถือหุ้น 100% ซึ่งอาจก่อให้เกิดการเรียกร้องให้ กทช.ชะลอการประกาศใช้ระเบียบข้อบังคับอินเตอร์คอนเน็กชั่นออกไปอีก

ทั้งนี้การคาดการณ์ในแง่ผลดีต่อทรูมูฟของ บล.ภัทรอยู่บนสมมติฐานที่ว่าอัตราค่าธรรมเนียมอินเตอร์คอนเน็กชั่นอยู่ที่ 1.07 บาท/นาที ซึ่งเป็นอัตราที่โอเปอเรเตอร์ต่างๆ ได้มีการตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งอัตราที่ออกมาจริงๆ อาจจะสูงกว่านี้ก็ได้ ซึ่งนั่นจะเป็นผลเสียต่อทรูจากการที่ต้องเป็นผู้ที่จ่ายอินเตอร์คอนเน็กชั่นชาร์จโดยตรง โดยหากค่า อินเตอร์คอนเน็กชั่นชาร์จอยู่ที่ 2.6 บาท/นาที ทรูจะต้องจ่ายค่าอินเตอร์คอนเน็กชั่นเท่ากับที่จ่ายค่าแอ็กเซสชาร์จอยู่ในขณะนี้ ซึ่งหมายความว่าทรูมูฟจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการนี้เลย

นอกจากนี้การคำนวณยังอยู่บนสมมติฐานที่ว่าปริมาณการโทร.ออกมากกว่าปริมาณการโทร.เข้า 5% (จากคำบอกใบ้ของทรูมูฟ) แต่หากปริมาณการโทร.ออกเพิ่มขึ้นในอนาคตและมากกว่าปริมาณการโทร.เข้า 20% ทุกอย่างก็จะเหมือนเดิม คือทรูมูฟจะต้องจ่ายค่าอินเตอร์คอนเน็กชั่นเท่ากับที่จ่ายค่าแอ็กเซสชาร์จอยู่ในขณะนี้
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#4 วันที่: 18/05/2006 @ 08:37:11 : re: ***********ข่าว***********
วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3793 (2993)

ฝรั่งทิ้งหุ้นฟันกำไรฉุดดัชนีดิ่ง ลือขนบาทแลกดอลล์ซื้อช่าง

หยวนแข็งขึ้นแต่ไม่ช่วยเงินในภูมิภาค หลังเจอแรงเทขายทำกำไรและคำสั่งขายหุ้นเอเชียของนักลงทุนต่างชาติทำเอาตลาดหุ้นทั่วเอเชียตกกราวรูด ตลาดหุ้นไทยไม่น้อยหน้าปิดลบไป 16 จุด บาทอ่อนลงเกือบ 1% ส่วนรูเปียห์ตกสุดอ่อนลงกว่า 3% แถมมีข่าวมีการเทขายบาทเพื่อไปแลกดอลลาร์สิงคโปร์ เตรียมขนไปซื้อหุ้นไอพีโอเบียร์ที่จ่อเข้าตลาดหุ้นสิงคโปร์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ว่าล่าสุดธนาคารกลางจีนจะกำหนดค่ากลางของหยวนไว้ที่ระดับต่ำกว่า 8.00 หยวนต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่จีนปรับค่าเงินหยวนในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ซึ่งทำให้เมื่อเปิดตลาดในวันที่ 15 พฤษภาคม เงินหยวนแข็งค่าขึ้นมาที่ระดับ 7.9972 หยวนต่อดอลลาร์ ก่อนที่จะกลับอ่อนลงมาที่ 7.9985 หยวน แต่ค่าเงินสกุลอื่นในเอเชียต่างอ่อนค่าลงทั้งสิ้น จากการที่ตลาดหุ้นที่ร่วงลงในหลายๆ ประเทศ เนื่องมาจากการเทขายทำกำไรประกอบกับคำสั่งขายหุ้นเอเชียของนักลงทุนต่างชาติ

โดยแม้ว่าเงินเยนจะปรับตัวแข็งค่าขึ้นมาที่ระดับ 109.35 เยนต่อดอลลาร์ แต่เงินสกุลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรูเปียห์ที่ร่วงหนักที่สุดกว่า 3% มาอยู่ที่ประมาณ 9,000 รูเปียห์ต่อดอลลาร์ วอนรูดลงกว่า 1% มาอยู่ที่ราว 944 ต่อดอลลาร์ ดอลลาร์สิงคโปร์อ่อนค่าลงกว่า 0.5% เปโซปรับตัวอ่อนค่าต่อเนื่องสู่ 52.15 ต่อดอลลาร์ รวมถึงเงินบาทไทยที่อ่อนค่าลงเกือบ 1% มาแตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือนที่ 38 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนที่จะมาปิดตลาดที่ระดับ 38.02 บาทต่อดอลลาร์ และอˆอนตัวตˆอเนื่องมาป?ดที่ระดับ 38.17/20 บาทตˆอดอลลารŒในวันที่ 16 พ.ค.

แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์รายหนึ่งระบุว่า การที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวเช่นเดียวกับค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค อีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะในตลาดเงินมีการเทขายเงินบาทเป็นจำนวนมากเพื่อนำไปแลกซื้อเงินดอลลาร์สิงคโปร์ ์เพื่อเตรียมนำไปซื้อหุ้นเบียร์ช้างที่กำลังจะเข้าเทรดในตลาดหุ้นสิงคโปร์

ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหุ้น 2 วันทำการที่ผ่านมา (15-16 พ.ค.) ดัชนีปรับตัวลดลงจากปัจจัยนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารเป็นหลัก ซึ่งดัชนีปรับตัวลงที่จุดต่ำสุดที่ 752.21 จุด สูงสุด 775.40 จุด โดยดัชนีมาปิดการซื้อขายต่ำสุด 16.53 จุด (15 พ.ค.) และวานนี้ดัชนียังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมแล้วดัชนีลดลง 20.63 จุด เปลี่ยนแปลง 2.63% ซึ่งนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 7,143.7 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 1,013.62 ล้านบาท รายย่อยซื้อสุทธิ 6,136.32 ล้านบาท

โดยมีหุ้น ปตท.ราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 6 บาท จากราคาปิดสัปดาห์ก่อนที่ 260 บาท มาปิดที่ 254 บาท (16 พ.ค.) ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ลดลง 5 บาท จากราคา 125 บาท มาปิดที่ 120 บาท ธนาคารกรุงเทพ ลดลง 5 บาท จากราคาปิด 117 บาท มาปิดที่ 112 บาท

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวยอมรับว่า ในช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลง เพราะมีการขายหุ้นเพื่อนำเงินบางส่วนไปจองซื้อหุ้นไอพีโอของ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ หรือเบียร์ช้าง และ บมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยอง (RRC) สำหรับผลกระทบการคาดการณ์ทางการเงินก็ไม่มีปัจจัยอะไรที่จะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง

เชื่อว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวลงระยะสั้นเท่านั้น โดยมองว่าดัชนีตลาดไม่น่าจะปรับตัวลดลงอีก เนื่องจากไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบบรรยากาศการลงทุนและไม่มีสัญญาณว่าอัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะปรับตัวลดลง เพียงแต่อาจจะไม่เติบโตเหมือนเช่นปี 2545 หรือ 2546 ขณะที่ค่าพี/อี ของตลาดก็อยู่ในระดับที่ไม่สูง และสามารถขึ้นไปที่ระดับ 12 เท่าได้ นายกิตติรัตน์ระบุ
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#5 วันที่: 18/05/2006 @ 08:38:19 : re: ***********ข่าว***********
วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3793 (2993)

ถิรไทยขยายผลิตหม้อแปลงไฟ ทุ่ม50ล้านรองรับตลาดส่งออก

ถิรไทย ทุ่มทุน 50 ล้านบาทปรับปรุงเครื่องจักรผลิตหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังสูง 5-300 MVA คุยเป็นบริษัทไทยแรกที่ผลิตได้ ลดการนำเข้าให้ประเทศ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1,400 ล้านบาท ออร์เดอร์ในมือ 1,285 ล้านบาทจากลูกค้าหลัก กฟผ./กฟภ./ปตท. หวังประมูลงานจากต่างประเทศเวียดนาม/อินเดีย/ลาวเพิ่มอีก 700 ล้านบาท



ผู้สื่อข่าว ประชาชาติธุรกิจ รายงานการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (MAI) ของบริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนายสัมพันธ์ วงษ์ปาน กรรมการผู้จัดการบริษัทกล่าวว่า TRT เป็นผู้ผลิตและส่งออกหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังจะมีแผนขยายการลงทุนเพิ่มอีก 50 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรให้สามารถผลิตหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังสูงขึ้นจาก 5-200 MVA มาเป็น 5-300 MVA โดยการผลิตดังกล่าวจะมีผลให้สัดส่วนการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังต่ำ 5-20 MVA กับหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังสูง เปลี่ยน แปลงไปจาก 50 : 50 เป็น 30 : 70

ปัจจุบันหม้อแปลงกำลังสูง 5-300 MVA ประเทศไทยมีเพียงผู้ผลิตข้ามชาติเพียงแค่ 2 ราย คือ บริษัทเอบีบี ซึ่งเป็นบริษัทจากสหภาพยุโรป กับบริษัทไดเฮ้น จากญี่ปุ่น ปรากฏการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ ต้องมีการนำเข้าเพิ่ม ดังนั้นการลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรให้สามารถผลิตหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังสูงครั้งนี้ นอกจากเราจะเป็นบริษัทไทยรายแรกที่สามารถผลิตได้แล้ว ยังจะช่วยลดการนำเข้าหม้อแปลงกำลังสูงอีกด้วย นายสัมพันธ์กล่าว

นายสัมพันธ์กล่าวต่อไปว่า ในปี 2548 บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้า 1,100 ล้านบาท กำไรสุทธิ 77 ล้านบาท จัดเป็นรายได้จากการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศ 90% และส่งออก 10% ซึ่งปีนี้ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นไว้ที่ 1,350-1,400 ล้านบาท จากปัจจุบันมีออร์เดอร์จากลูกค้าแล้วประมาณ 1,285 ล้านบาท อาทิ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.), บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และในอีก 2-3 เดือนนี้บริษัทจะเข้าไปร่วมประมูลงานจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) รวมถึงการประมูลในต่างประเทศ อาทิ กิจการไฟฟ้าในประเทศเวียดนาม-อินเดีย-ลาว คิดเป็นมูลค่าประมาณ 600-700 ล้านบาท

สำหรับนโยบายการตลาด บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนตลาดส่งออกสินค้าไปต่างประเทศมากขึ้นเป็น 30% ของยอดขาย เบื้องต้นจะเน้นส่งออกไปในประเทศแถบอาเซียนก่อน อาทิ เวียดนาม-ลาว-บูรไน และจะขยายผลไปยังประเทศแถบตะวันออกกลาง สาเหตุที่บริษัทเน้นทำตลาดส่งออกมากขึ้นก็เพราะปัจจุบันมีคู่แข่งที่ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าภายในประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังต่ำมีถึง 20 ราย และบริษัทก็ไม่อยากสร้างสถานการณ์แข่งขันในประเทศโดยไม่จำเป็น ในขณะที่สถานการณ์ภาพรวมตลาดต่างประเทศมีคู่แข่งน้อยกว่าการจำหน่ายภายในประเทศ โอกาสในการจำหน่ายสินค้าดีเราจึงมีการเพิ่มการลงทุน เพิ่มศักยภาพการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าให้สามารถส่งออกได้มากขึ้น

การที่บริษัทมีนโยบายเน้นตลาดส่งออกมากขึ้น นอกจากจะเป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้แล้ว ยังช่วยบริหารความเสี่ยงจากผลกระทบราคาวัตถุดิบที่นำเข้ามาได้มีการปรับเพิ่มขึ้น เช่น ทอง แดง, เหล็กซิลิคอน รวมถึงการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เพราะหากเกิดปัญหารายรับ/รายจ่ายที่เป็นเงินตราต่างประเทศจะพอๆ กัน บริษัทก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว นายสัมพันธ์กล่าว

นอกจากนั้น นายสัมพันธ์ได้กล่าวถึงแผนการลงทุนอื่นๆ ว่า ตนมีแผนจะไปลงทุนในประเทศเวียดนาม โดยจะลงทุนสร้างศูนย์บริการลูกค้าในประเทศเวียดนาม เพราะปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าอยู่ในเวียดนามอยู่แล้ว แต่ในส่วนของการลงทุนตั้งโรงงานคงอาจจะยังไม่ลงทุน เพราะยังไม่มีความพร้อมด้านการเงิน

ทั้งนี้ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2530 ด้วยทุนจดทะเบียน 142 ล้านบาท โดยขณะนี้บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (MAI) เพื่อระดมทุน 172.5 ล้านบาท แบ่งการใช้เงิน 50 ล้านบาทนำไปลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรผลิตหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังสูงข้างต้นจำนวน 70-80 ล้านบาท นำไปปรับโครงสร้างหนี้ให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนลดน้อยลง และที่เหลืออีกประมาณ 50 ล้านบาทนำไปใช้เป็นเงินหมุนเวียนในบริษัท โดยการเข้าตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอนี้จะได้สิทธิประโยชน์การลดภาษีเงินได้จากที่ต้องเสีย 30% เหลือ 20%
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#6 วันที่: 18/05/2006 @ 08:39:03 : re: ***********ข่าว***********
โทรีเซน รุกธุรกิจบริการขุดเจาะน้ำมัน ฝ่ากระแสค่าระวางเรือขาลง

สัมภาษณ์

ในภาวะที่ค่าระวางเรือขนส่งทั่วโลกปรับลดลง ส่งผลกระทบกับบริษัทเดินเรือหลายแห่ง แต่บริษัท โทรีเซน ไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA กลับไม่ได้รับผลกระทบนั้น เหตุผลสำคัญมาจากผู้บริหารคนใหม่ ม.ล.จันทรจุฑา จันทรทัต อดีตนักบริหารการเงินจากสถาบันการเงินชื่อดังระดับโลก เข้ามาดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ และได้เริ่มปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทหันมาเน้นลงทุนในธุรกิจเรือขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น

- ทิศทางการดำเนินธุรกิจของ TTA

ภายใต้บริษัท โทรีเซน ไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA มี 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ 1)ธุรกิจเดินเรือสินค้าเทกอง ถือเป็นธุรกิจหลัก มีเรือ 46 ลำ 2)ธุรกิจนอกชายฝั่ง 3)ธุรกิจลอจิสติก สำหรับผลประกอบการในปี 2548 TTA มีผลการดำเนินงานจากธุรกิจเรือเดินทะเลดีมาก จากรอบบัญชี 30 กันยายน 2548 มีปริมาณสินค้าขนส่งทางเรือ 13.11 ล้านตัน เพิ่มจากปี 2547 ร้อยละ 69 มีรายได้จากค่าระวางรวม 14,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 43 มีกระแสเงินสดจากกิจการดำเนินงาน 7,022 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 กำไรสุทธิจากธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือ 166 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 และกำไรสุทธิของกลุ่มบริษัท จำนวน 5,948 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.51

สิ่งที่ชัดเจนที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาคือ TTA เข้าไปลงทุนผ่านบริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด (MML) มากขึ้นอย่างรวดเร็ว ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (4,000 ล้านบาท) แบ่งเป็นลงทุนจำนวน 1,174 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด (MML) เป็นร้อยละ 63.14 และได้กู้เงินเพิ่มจากสถาบันการเงินในประเทศอีกจำนวน 2,214 ล้าน เพื่อนำเงินมาซื้อเรือยนต์เพื่อการปฏิบัติงานเทคนิคใต้น้ำ 3 ลำ และเรือขุดเจาะปิโตรเลียม (tender rig) กลางทะเลอีก 2 ลำ ให้สามารถขยายงานการให้บริการแก่กิจการอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งแถบเชียได้ครบวงจรยิ่งขึ้น

- โอกาสของธุรกิจเรือชายฝั่ง

ธุรกิจเรือชายฝั่งอยู่ในช่วงบูม เนื่องจากราคาน้ำมันถูกมานาน ทำให้ไม่มีการลงทุน ทุกธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันมีการลงทุนน้อยมาก แต่เมื่อความต้องการใช้น้ำมัน และเศรษฐกิจโลกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้น้ำมันมีน้อยกว่าความต้องการใช้ปัจจุบันมีการสำรว- น้ำมันน้อยมาก ในหลายปีที่ผ่านมาบริษัทน้ำมันทั่วโลกกำลังลงทุนสำรวจอย่างมากทั่วโลก ในการสำรวจต้องมีสินทรัพย์และเครื่องมือ

การที่มีบริษัทน้ำมันเข้ามาสำรวจมากขึ้น แต่มีสินทรัพย์จำกัด ทำให้ค่าเช่าปรับขึ้นเร็วมาก บริษัทสำรวจน้ำมันจึงยอมเซ็นสัญญาระยะกลางเพื่อเช่าเรือขุดเจาะ โดยของโทรีเซน ได้รับสัญญายาวถึงไตรมาส 4 ของปี 2552 ซึ่งค่าระวางเรือที่เราได้จนถึงปี 2552 สูงกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ตอนลงทุนถึง ร้อยละ 50 ในปี 2549 นี้อัตราการให้บริการเรือขุดเจาะปิโตรเลียมของบริษัทเมอร์เมด อยู่ระหว่าง 40,000-44,000 เหรียญสหรัฐต่อวัน และเพิ่มเป็นระหว่าง 50,000 - 55,000 เหรียญสหรัฐต่อวันภายในปี 2552

สำหรับการขยายการลงทุนเพิ่มในธุรกิจนี้นั้น กำลังพิจารณาอยู่ เพราะขณะนี้เรือขุดเจาะราคาปรับขึ้นไปสูงขึ้นมากกว่าเท่าตัว ส่วนเรือขุดเจาะทั้ง 2 ลำ มีอายุการใช้งานประมาณ 13-14 ปี ขณะนี้เราอยู่ระหว่างต่อเรืออเนกประสงค์ ลำที่ 5

นอกจากบริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด จะให้บริการด้านขุดเจาะน้ำมันแล้ว ยังให้บริการด้านความปลอดภัย การบำรุงรักษาแพชูชีพและอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อความปลอดภัยในทะเล (SOLAS) ซึ่งมีบริษัท เมอร์เมด เซฟตี้ จำกัด บริษัทย่อยที่รับผิดชอบ การตรวจสอบสภาพเรือให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ 100% ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในธุรกิจขนส่งทางทะเล งานตรวจสอบสภาพเรือใต้ผิวน้ำ รวมถึงงานบริการเทคนิคใต้น้ำ นักประดาน้ำ เครื่องตรวจสอบที่ควบคุมโดยระบบรีโมตคอลโทรลที่ทันสมัย

- ธุรกิจเรือสินค้าเทกองอยู่ในช่วงขาลง

ธุรกิจเรือสินค้าเทกองยังเป็นธุรกิจหลักของโทรีเซน ในช่วงตั้งแต่ปี 2543-2547 ค่าระวางเรือสินค้าปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เริ่มมีการต่อเรือขนส่งมากขึ้น และเรือใหม่เริ่มเข้าสู่เส้นทางตั้งแต่ปี 2548 ทำให้ค่าระวางเรือเริ่มลดลง ในปี 2548 กองเรือทั่วโลกขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 ในปี 2549 กองเรือทั่วโลกขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 แต่คาดว่าในปี 2550 เรือสินค้าเทกองจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4

อย่างไรก็ตามโทรีเซนไม่ได้รับผลกระทบ จากจำนวนเรือที่เพิ่มขึ้นมากนัก เพราะปริมาณสินค้าของโทรีเซนยังอยู่ในระดับสูง สำหรับเส้นทางเรือที่มีปริมาณสินค้ามากที่สุดคือ จีน-ตะวันออกกลาง รองลงมาคือ อินโดนีเซีย-ตะวันออกกลาง และมาเลเซีย-ตะวันออกกลาง

- แนวโน้มการทำธุรกิจลอจิสติก

หลักการทั่วไปของบริษัทลอจิสติกคือ ลงทุนในทรัพย์สินน้อย ไม่ลงทุนเรื่องโกดังสินค้า ส่วนใหญ่จะเป็นนายหน้า แต่หลักการธุรกิจของโทรีเซนคือ ลงทุนทรัพย์สินมาก ดังนั้นเราจะเน้นทำธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของบริษัทลอจิสติก เรากำลังจะลงทุนโกดังเพิ่ม จากปัจจุบันมีโกดังอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จำนวน 5 หลัง บนพื้นที่ 12-13 ไร่ และปล่อยให้เช่าจนเต็มทั้ง 5 หลังแล้ว และมีพื้นที่เหลืออยู่ประมาณ 9-10 ไร่วางแผนจะสร้างโกดังเพื่อให้เช่าเพิ่ม
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#7 วันที่: 18/05/2006 @ 08:40:32 : re: ***********ข่าว***********
วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3793 (2993)

บิ๊กซีชะลอร้านลีดเดอร์ไพรซ์ มุ่งปั้นแบรนด์ก่อนขยายสาขา

บิ๊กซี ชะลอแผนขยายสาขาลีดเดอร์ไพรซ์ เบนเข็มหันมาเร่งสร้าง แบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างก่อนลุย ต่อ เผยยอดขาย 5 สาขานำร่องเวิร์ก หลังปรับคอนเซ็ปต์ใหม่

นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ ประชาชาติธุรกิจ ว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและวิจัยตลาดถึงแนวทางการขยายสาขาร้านลีดเดอร์ไพรซ์ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 5 สาขา คือ นวนคร วงเวียนใหญ่ สุขุมวิท ประชาสงเคราะห์ และเสนานิคม และสำหรับปีนี้บริษัทจะยังไม่มีแผนจะขยายสาขาเพิ่ม จากเดิมที่เคยมีนโยบายจะเป?ดสาขาใหมˆเพิ่มเนื่องจากที่ผ่านมาจากการทำรีเสิร์ช พบว่าลูกค้า ส่วนใหญ่จะรู้จักแบรนด์ลีดเดอร์ไพรซ์และรับทราบว่าเป็นแบรนด์สินค้าของบิ๊กซี เมื่อเข้ามาจับจ่ายในบิ๊กซีเท่านั้น แต่ถ้าเป็นข้างนอกลูกค้าส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นเคยกับสินค้าหรือแบรนด์ลีดเดอร์ไพรซ์ ดังนั้น แนวทางเบื้องต้นที่วางไว้ ณ เวลานี้ก็คือ การสร้างแบรนด์ลีดเดอร์ไพรซ์ให้เป็นที่รู้จักก่อนเป็นอันดับแรก

ที่ผ่านมาร้านลีดเดอร์ไพรซ์จะได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นอย่างดี และมีอัตราการเติบโตที่น่าพอใจ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากคอนเซ็ปต์ของร้านใหม่ด้วยการปรับลดพื้นที่ให้มีขนาดที่เล็กลง เน้นสินค้าราคาประหยัด และเดิมที่วางจำหน่ายสินค้าแบรนด์ลีดเดอร์ไพรซ์เกือบทั้ง หมดก็มีการคัดเลือกสินค้าที่เป็นลีดเดอร์แบรนด์ ของซัพพลายเออร์เข้ามาเสริมในสัดส่วน 50 : 50 โดยสินค้าจะเน้นสินค้าอุปโภคบริโภค และมีกลุ่มฟู้ดเพียง 5-10%

นางสาวจริยายังกล่าวอีกว่า จากปัจจัยลบโดยเฉพาะราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้หันมาให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาระบบลอจิสติกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างลอยัลตี้และกระตุ้นการจับจ่าย โดยเฉพาะการทำเซลโปรโมชั่น

ขณะเดียวกันก็พยายามจะนำกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ เข้ามาเสริม เช่น แคมเปญช็อปโทร.ฟรี ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และเชื่อว่าแคมเปญนี้จะทำให้บิ๊กซีสามารถจะต่อ ยอดไปยังแคมเปญอื่นๆ ได้

ล่าสุดได้ทุ่มงบฯ 3 ล้านบาท จัดการแข่งขัน บิ๊กซี คิดส์ ฟุตบอล ครั้งที่ 1 เป็นการเปิดให้โรงเรียนต่างๆ ส่งทีมฟุตบอลเข้าร่วมแข่งขัน ถือว่ามีรูปแบบที่แตกต่างจากที่อื่นๆ โดยเน้นเข้าเจาะทำกิจกรรมกับชุมชน ซึ่งถือว่าเป็นสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งครั้งแรกของปีนี้ หลังจากเมื่อปี 2547 ที่มี ภราดร ศรีชาพันธุ์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ และหากกิจกรรมครั้งนี้ได้รับการตอบรับดีอาจจะจัดต่อเนื่องและระบุเป็นกิจกรรมประจำของบิ๊กซีในปีต่อๆ ไป นางสาวจริยากล่าว
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#8 วันที่: 18/05/2006 @ 08:41:23 : re: ***********ข่าว***********
หุ้นเด่น




แนะนำถือหุ้น เคทีซี

บล.โกลเบล็ก วิเคราะห์หุ้น เคทีซี หรือ บริษัทบัตรกรุงไทย โดยระบุว่า ประเด็นสำคัญในการลงทุนหุ้น เคทีซี คือ ธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคผ่านจุดสูงสุดแล้ว เรายังคงยืนยันว่าธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคได้ผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว อัตราการเติบโตของสินเชื่อจากนี้จะไปตามเงินเฟ้อแต่อัตราการเติบโตของกำไรของธุรกิจจะถูกจำกัดจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น, ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น
ตามอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น(ช้าหรือเร็วขึ้นกับโครงสร้างทางการเงิน) และการจำกัดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อบัตรเครดิต(เพดานที่18%)และสินเชื่อบุคคล(เพดานที่ 28%) รวมถึงอัตรา ค้างชำระที่สูงขึ้นเป็นสัญญาณของความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่ด้อยลงเป็นสิ่งที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของลูกหนี้ในอนาคต ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี2549ลงและคาดกำไรสุทธิปีนี้ลดลง8.65%yoy เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี2549ลง20% มาอยู่ที่ 596 ลบ.ซึ่งลดลง 8.65%yoy โดยคาดสินเชื่อสุทธิจะขยายตัวราว 20%yoy ตามค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคและราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ทำให้รายได้ดอกเบี้ยรับและค่าธรรมเนียมคาดโต16%yoy และผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ยที่ราว 12.75% แต่ปัจจัยกดดันคือต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่กระทบต่อกำไรสุทธิของบริษัทมากกว่าที่คาดไว้ โดยปีนี้มีหุ้นกู้มูลค่า5พัน ลบ. ที่มีอัตราดอกเบี้ยเดิมที่ 2.75%หมดอายุ จะแทนด้วยหุ้นกู้ใหม่ในอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นมาที่ 6.3% ทำให้ต้นทุนอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยปรับเพิ่มราว1%และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยปรับลงราว 2%จากปีก่อน ซึ่งทำให้รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิเพิ่มขึ้นเพียง 9% yoy ในขณะที่คาดค่าเผื่อสำรองหนี้สูญจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหลังการผิดนัดชำระหนี้ที่เริ่มเห็นมากขึ้น เราคาดสำรองปีนี้ 1 พันลบ.
ปรับลดราคาเหมาะสมปี2549เป็น 23 บาท แนะนำ ถือ ปรับลดราคาเหมาะสมปี2549มาอยู่ที่ 23 บาท ซึ่งเท่ากับมูลค่าทางบัญชีปีนี้ โดยอิงจากสถิติราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวอยู่ใกล้กับBVSและสูงสุดในปี2546ที่ 1.8เท่า เพราะเป็นปีมีการเติบโตของกำไร150% แต่เราไม่คาดหวังการเติบโตของกำไรขนาดนั้นใน2-3ปีนี้ คาดเงินปันผลจ่ายสำหรับกำไรปี2549ที่ 1.50 บาทต่อหุ้นคิดเป็น yield 6.6% แนะนำ ถือ


บล.โกลเบล็ก
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#9 วันที่: 18/05/2006 @ 08:45:16 : re: ***********ข่าว***********
วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3793 (2993)

สถาบันยานยนต์ลุ้นรัฐไฟเขียวขึ้นองค์กรมหาชน

สถาบันยานยนต์ ลุ้นแผนปรับเป็นองค์กรมหาชน เผยต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาล ชี้ต้องเร่งทำโดยด่วน เหตุเพราะทำงานลำบาก เตรียมมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ฟันธงตลาดรถยนต์ในประเทศปีนี้แค่ 7.2 แสนเท่านั้น หลังโดนวิกฤตการเมืองพ่นพิษ

นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผย ประชาชาติธุรกิจ ถึงแผนการปรับสถานภาพขององค์กรใหม่ ทั้งบทบาทและหน้าที่ที่ชัดเจน เพื่อเป็นองค์กรหลักในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งจะเปลี่ยนสถานภาพจากสถาบันมาเป็นองค์กรมหาชน โดยมีพระราชบัญญัติ และพระราชกฤษฎีการองรับ เนื่องจากปัจจุบันสถาบันยานยนต์เป็นองค์กรเอกชน ซึ่งเชื่อว่าเมื่อปรับเปลี่ยนสถานภาพขององค์ขึ้นเป็น องค์กรมหาชน จะได้รับการยอมรับเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้เมื่อเป็นองค์กรมหาชนแล้ว สถาบันยานยนต์จะอยู่ภายใต้การกำกับการของกระทรวงอุตสาหกรรม คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนไม่นาน ซึ่งความคืบหน้าของการดำเนินการปรับเปลี่ยนองค์กรครั้งนี้ ยังคงต้องรอดูความชัดเจนของรัฐบาลชุดใหม่อีกครั้ง เนื่องจากจะต้องเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณา และดำเนินการเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป

เมื่อมีการปรับแล้วจะทำให้สถานภาพของเราดีขึ้น เพราะวันนี้สถานภาพของเราไม่ชัดเจน เพราะปัจจุบันเราเป็นเอกชน แต่การทำงานเราทำให้กับราชการ การของบประมาณและการตรวจสอบต่างๆ ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาล แต่โดยรวมขององค์กรแล้วไม่ใช่ คิดว่าในปีนี้จะได้เห็นการปรับเปลี่ยนอย่างแน่นอน

ส่วนกรณีที่มีกระแสออกมาว่า งบประมาณสนับสนุนจากทางภาครัฐได้หมดไปแล้วนั้น ถือว่าไม่มีผลกระทบแต่อย่างใดกับทางสถาบัน เนื่องจากงบประมาณดังกล่าวจะเป็นงบฯที่ได้มีการกำหนดไว้ตามโครงการของปีงบประมาณอยู่แล้ว เฉลี่ยปีละประมาณ 50-60 ล้านบาท ส่วนเงินสนับสนุนตามปีงบประมาณปี พ.ศ.2550 นั้น อาจจะต้องล่าช้าออกไปบ้าง ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากความไม่มั่นคงทางการเมืองเป็นหลัก

โดยสถาบันได้นำเงินทุนสนับสนุนที่ได้มาพัฒนาโครงการต่างๆ ของทางสถาบัน ทั้งด้านการพัฒนาบุคลากร, การพัฒนามาตรฐานต่างๆ และการวิเคราะห์วิจัย ส่วนโครงการใหญ่ๆ อย่างโครงการพัฒนาและจัดตั้งศูนย์ทดสอบ และสถานทดสอบคุณภาพยานยนต์ และการพัฒนาบุคลากรทั้งระบบ ซึ่งจะต้องเป็นโครงการที่ต้องของบประ มาณเป็นพิเศษ นอกเหนือจากงบประมาณประจำปีจากกระทรวงอุตสาหกรรม

ทั้งนี้รายได้ของสถาบันมาจาก 2 ส่วนหลัก คือ 1.โครงการจากภาครัฐ ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยปีละ 50-60 ล้านบาท 2.การให้บริการจากเอกชนในภาคอุตสาห กรรมที่ได้มาจากการทดสอบและการอบรมต่างๆ มีรายได้ประมาณปีละ 30-40 ล้านบาท สำหรับสาเหตุที่รายได้จากภาคอุตสาหกรรมเอกชนมีรายได้น้อยกว่าภาครัฐนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่สถาบันยังมีเครื่องมือและอุปกรณ์ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งอนาคตมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาประสิทธิภาพของอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้ต้นทุนในการผลิตถูกลง เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยมีฐานะเป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตเท่านั้น

นอกจากนี้ สถาบันยานยนต์ยังอยู่ระหว่างการจัดทำแผนแม่บท เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการสานต่อและพัฒนาต่อจากแผนแม่บทเดิม เพื่อช่วยเติมเต็มในส่วนที่ยังขาดอยู่ และมุ่งไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยั่งยืนต่อไป

ตอนนี้เรายังติดปัญหาในเรื่องของเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่ยังไม่ทันสมัย ทำให้เรามีข้อจำกัดในการทำงาน อนาคตหากเราต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ให้ยั่งยืน รัฐบาลก็ควรที่จะส่งเสริมตรงนี้ด้วย

สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีนี้ สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ภายในประเทศที่ชะลอตัวลง ทำให้ประชาชนเกิดความไม่มั่นใจในสภาพเศรษฐกิจ คาดว่ายอดการจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศของปีนี้จะไม่ถึง 7.5 แสนคันตามที่ตั้งไว้ แต่คิดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 7.2-7.3 แสนคันเท่านั้น

ส่วนตลาดส่งออกถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดี และคาดว่าจะมียอดการส่งออกสูงเกินกว่า 5.5 แสนคัน โตขึ้น 30% อย่างแน่นอน ทั้งนี้ตลาดส่งออกจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เข้ามาช่วยทดแทนตลาดในประเทศ
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#10 วันที่: 18/05/2006 @ 08:53:11 : re: ***********ข่าว***********
...
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#11 วันที่: 18/05/2006 @ 09:15:07 : re: ***********ข่าว***********
...
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#12 วันที่: 18/05/2006 @ 09:44:01 : re: ***********ข่าว***********
. .0008 .
 กลับขึ้นบน
จันทรา
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,898
#13 วันที่: 18/05/2006 @ 19:13:41 : Re: re: ***********ข่าว***********
[quote:40600e6011=U">[b:40600e6011">เคยฟังหรือได้ยินมากันบ้างไม๊ครับ

คือว่าเคยมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ต้องออกไปที่ห้องค้าเล่นหุ้นด้วยกัน ต่างคนต่างก็ปรึกษากัน ทุกครั้งเวลาซื้อแล้วลง ต่างก็โทษกัน ขายแล้วขึ้นก็โทษกันอีก เป็นอย่างนี้ประจำ จนวันหนึ่ง ภรรยา ทนไม่ไหว ต้องแยกตัวออกไปเปิดบัญชีใหม่ ที่โบรกแห่งหนึ่ง แล้วเล่นหุ้นเอง คือ แยกวง มีอยู่วันหนึ่ง พอกลับถึงบ้าน ก็ทำภาระกิจที่บ้านตามปกติ ก่อนเข้านอน ภรรยาคุยกับสามีว่า วันนี้โชคดีจัง ขายหุ้น true ไปได้แล้วที่ 11.50 ส่วนสามีก็บอกกับภรรยาว่า วันนี้สุดแสนจะดีใจเหมือนกัน เพราะมีคนโง่ทิ้งหุ้น true มาให้ที่ 11.50 .000b [/b:40600e6011">[/quote:40600e6011">

.0008 .0008 .0008
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com