คาดการณ์แนวโน้มตลาดในระยะสั้น

เราคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวในช่วง 755-765 จุด
เป็นการดีดตัวขึ้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศ ต่อเนื่องจากภาคบ่ายเมื่อวานนี้
ซึ่งเป็นการดีดตัวขึ้นไปทั่วโลก หลังจากที่ตลาดหุ้นตกแรงใน 2-3 วันที่ผ่านมา

การดีดตัวขึ้นนี้อาจเป็นการดีดขึ้นระยะสั้น ซึ่งจะสอดคล้องกับค่าเงินบาทที่เริ่มแข็งค่าขึ้น หลังจากดอลลาร์แข็งค่ามาก่อนหน้านี้
โดยแรงขายดอลลาร์ หรือแรงซื้อเงินบาท อาจเกิดขึ้นใน 1-2 วันนี้

อย่างไรก็ตาม แรงขายอย่างมีนัยสำคัญที่ได้เกิดขึ้นในตลาดหุ้นทั่วโลก (จากที่วิตกว่าดอกเบี้ยจะขึ้นต่อ)
ได้กลายมาเป็นการปรับฐานของตลาดหุ้นที่จะกินเวลาหลายสัปดาห์ (ซึ่งอย่างน้อยก็ 1-2 สัปดาห์)
จะทำให้หุ้นดีดตัวขึ้นไม่ไกล แต่โอกาสหย่อนตัวลงยังมีอยู่
ซึ่งการขายทำกำไรระยะกลางนี้ เริ่มเห็นได้จากการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ 3 พันกว่าล้านบาท ติดต่อกัน 2 วันที่ผ่านมา
ในช่วงที่ปัจจัยการเมืองไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
และกำลังรอคำตอบจาก กกต. ที่เหลืออีก 3 คน (หลังจากที่ลาออกไปแล้ว 1 คน)
ตลาดหุ้นอาจมุ่งไปให้ความสนใจในทิศทางแนวโน้มของตลาดหุ้นต่างประเทศ และราคาน้ำมันดิบโลก
ซึ่งในระยะสั้นจะดีดตัวขึ้นได้ แต่เราเชื่อว่าไม่ไกลนัก

กลยุทธ์โดยภาพรวมในช่วงนี้ เราเห็นว่ายังควร ?ทยอยขายเมื่อตลาดดีดตัวขึ้น? สำหรับหุ้นกลุ่มหลัก หรือหุ้นขนาดใหญ่
และรอซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร หลักทรัพย์ รวมถึงที่ดิน และสื่อสาร
สำหรับในช่วงระยะสั้นนี้ อาจให้เป็นซื้อเก็งกำไรรายตัวในหุ้นขนาดเล็กแทน ได้แก่ FNS, BLISS, CSL

ประเด็นที่น่าสนใจ
1) คาดสหรัฐเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้น 0.5% MoM
วันนี้ (17 พ.ค. 49) ติดตาม กระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยอัตราเงินเฟ้อประจำเดือน เม.ย. 49
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ที่สำรวจโดยรอยเตอร์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน เม.ย. 49 จะเพิ่มขึ้น 0.5%
เทียบกับเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือน มี.ค. 49
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเพิ่มขึ้น 0.2% เทียบกับเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือน มี.ค. 49


2) ตลาดเงินทั่วโลกผันผวน ขายทำกำไรเงินบาท
ตลาดการเงินระหว่างประเทศกำลังอยู่ในภาวะผันผวน ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์เศรษฐกิจโลก
หลังจากมีแนวโน้มว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อีกครั้ง เนื่องจากมีสัญญาณเงินเฟ้อในประเทศ
ส่งผลให้เกิดความกังวลภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
เริ่มไถ่ถอนเงินลงทุนจากสินทรัพย์ของตลาดเกิดใหม่ที่มีความเสี่ยงสูง
รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า เช่น ทองคำ และน้ำมัน
ด้าน ธปท. ระบุถึงการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงนี้ว่าเป็นไปตามทิศทางเดียวกับสกุลเงินในเอเชียที่ต่างก็ปรับตัวอ่อนค่าลง
แต่มีระดับการอ่อนค่าลงที่ต่างกัน ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี 49 เงินบาทแข็งค่าขึ้นมา 7.4%
ขณะที่สกุลเงินในเอเชียแข็งค่าขึ้นมา 5-7% อย่างไรก็ตาม สกุลเงินต่างๆ ขณะนี้เริ่มปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพ
ซึ่งจะมีผลให้อำนาจในการแข่งขันของประเทศต่างๆ ไม่แตกต่างกันมาก
มีผลให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยกลับมาเหมือนเดิม


3) สถานการณ์ทางการเมืองวานนี้ (16 พ.ค. 49)
- ที่ประชุม ครม. ยังไม่สามารถพิจารณาการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้ง
เนื่องจาก กกต. ยังไม่ได้ส่งรายงานมายัง ครม. อย่างเป็นทางการ เนื่องจากต้องรอเข้าสู่วาระก่อน
- ที่ประชุมประธาน 3 ศาล มีมติจะเข้าร่วมจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่
ก็ต่อเมื่อมีการสรรหา กกต. ชุดใหม่ จากบุคลที่เป็นกลางทางการเมือง
พร้อมระบุการหารือของ กกต. และพรรคการเมือง ซึ่งกำหนดเลือกตั้งวันที่ 22 ต.ค. 49 นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
- ศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 49
และให้เพิกถอนการกระทำใดๆ ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย. 49
เนื่องจากการเลือกตั้งดังกล่าวกระทำโดยมิชอบ หรือขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 104 ปฏิญญาสากลสหประชาชาติ
เป็นการลงคะแนนไม่เป็นความลับ
- ภายหลังการลาออกของ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ กรรมการการเลือกตั้ง ทำให้เหลือ กกต. เพียง 3 คน
ทางประธานวุฒิสภาเตรียมส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ กรณีสรรหา กกต. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 138 (3)

4) สปน. เรียกประชุมคณะกรรมการฯ เตรียมความพร้อมแก้อุทธรณ์ กรณี ITV จะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลปกครอง
วันนี้ สำนักงานปลัดประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) จะเรียกประชุมคณะกรรมการประสานงานตาม พ.รบ. ร่วมทุน
เพื่อหารือการเตรียมความพร้อมการกล่าวแก้อุทธรณ์ กรณีที่ ITV จะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลปกครองใน 3 ประเด็น ได้แก่

4.1.. ค่าความเสียหายที่กรมประชาสัมพันธ์อนุญาตให้ช่อง 11 มีการโฆษณา
4.2.. ค่าสัมปทานให้กับ สปน.ในฐานะคู่สัญญา ซึ่ง ITV ต้องกลับไปจ่ายค่าสัมปทานเท่าเดิม 1 พันลบ./ปี จาก 230 ลบ./ปี
4.3.. การให้เพิกถอนการปรับผังรายการกลับมาเป็นรายการข่าวและสาระ 70% และรายการบันเทิง 30%
จากปัจจุบันที่เป็นรายการข่าวและสาระ 50% และรายการบันเทิง 50%


5) TPI คาดจะ Refinance หนี้ 900 ล้านดอลลาร์ ให้เสร็จใน 3 เดือน
คุณปิติ ยิ้มประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ TPI คาดจะ Refinance หนี้ที่มีอยู่ทั้งหมด 900 ล้านดอลลาร์
แบ่งเป็นหนี้ต่างประเทศ 500 ล้านดอลลาร์ และหนี้ในประเทศ 400 ล้านดอลลาร์
ซึ่งมีเจ้าหนี้กว่า 70 ราย ให้เสร็จใน 3 เดือน โดยกู้เงินจากสถาบันการเงิน เพื่อ Refinance หนี้ อายุเงินกู้ไม่เกิน 5-7 ปี
และหลังจากแก้ปัญหาต่างๆ ของ TPI แล้วอาจออกหุ้นกู้เพื่อมา Refinance หนี้ภายหลัง
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนลงทุนมูลค่า 1.3-1.4 พันล้านดอลลาร์
ในโครงการต่างๆ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ
ทั้งนี้ TPI จะประชุมคณะกรรมการในวันที่ 22 พ.ค. 49
โดยหารือกรณีให้คุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ พ้นจากตำแหน่งกรรมการบริษัท เพื่อให้เป็นไปตามที่ ตลท. กำหนด
ไม่เช่นนั้น TPI จะไม่สามารถย้ายจากหมวด Rehabco ได้ ขณะที่การประชุมผู้ถือหุ้นคาดจะเรียกประชุมได้ในเดือน มิ.ย. 49

ด้านคุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการ TPI ระบุอาจยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง
หากกระทรวงพาณิชย์ยืนยันการรับจดทะเบียนกรรมการชุดใหม่ของ TPI
โดยในช่วงที่ผ่านมา คุณประชัย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง
ขอให้พิจารณาเรื่องที่ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการไม่ส่งมอบทรัพย์สินของบริษัทคืนให้แก่ผู้บริหารเดิมของลูกหนี้
หลังศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ TPI โดยศาลล้มละลายกลางนัดฟังคำสั่งในวันนี้ (17 พ.ค. 49)

นอกจากนี้ คุณประชัย ได้ระบุถึงกรณีผู้บริหาร TPI จะก่อหนี้เพื่อลงทุนในโครงการต่างๆ มูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์
ซึ่งจะทำให้ภาระการค้ำประกันหนี้ของคุณประชัยที่มีต่อ TPI เพิ่มขึ้น
เนื่องจาก TPI ยังไม่ปลดภาระการค้ำประกันหนี้ให้กับคุณประชัย
ดังนั้น หากผู้บริหาร TPI มีการก่อหนี้ให้บริษัทเพิ่ม และเป็นการเพิ่มภาระให้คุณประชัยมากขึ้น
คุณประชัยจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

* CENTEL จะแตกพาร์ จากหุ้นละ 5 บาท เป็น 1 บาท และเพิ่มทุน 680.8 ล้านหุ้น พาร์ละ 1 บาท
และจะเพิ่มทุนโดยออกหุ้นใหม่ จำนวน 680.8 ล้านหุ้น พาร์ละ 1 บาท
โดยที่ประชุมบริษัทได้อนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 900 ล้านบาท เป็น 1.58 พันล้านบาท
โดยจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 450 ล้านหุ้น เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 2 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคา 1.60 บาท/หุ้น
และจัดสรรหุ้นไม่เกิน 170 ล้านหุ้น เสนอขายประชาชนทั่วไปภายหลังการเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมเสร็จสิ้น
นอกจากนี้ ยังจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 60.8 ล้านหุ้น รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะออกให้ฟรีกับผู้ถือหุ้นบริษัท
คาดว่าจะออกภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน


* AH ซื้อหุ้นคืน 28.24 ล้านหุ้น หรือ 10% ของหุ้นทั้งหมด ในวงเงิน 847 ล้านบาท
ที่ประชุม AH อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน จำนวน 28.24 ล้านหุ้น พาร์ละ 1 บาท หรือคิดเป็น 10% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
โดยใช้วงเงินสูงสุด 847 ล้านบาท เริ่มซื้อหุ้นคืนตั้งแต่ 30 พ.ค. ? 29 พ.ย. 49
ทั้งนี้ บริษัทระบุว่า ราคาหุ้น AH เฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน ก่อนวันเปิดเผยข้อมูล มีราคาหุ้นละ 26.23 บาท
และราคาซื้อคืนใน ตลท. ทุกครั้งจะไม่เกิน 115% ของราคาปิดเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายล่าสุด


* TUF ขยายธุรกิจโดยเข้าไปถือหุ้นใหญ่ 76.5% ในบริษัทพีที จุยฟา อินเตอร์เนชั่นแนล ฟู้ดส์
ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าชั้นนำของอินโดนีเซีย
เพื่อกระจายความเสี่ยงจากฐานการผลิตปลาทูน่าแช่แข็ง เนื่องจากนโดนีเซียเป็นแหล่งวัตถุที่ใหญ่และสำคัญ
คาดว่าการลงทุนครั้งนี้จะให้ผลตอบแทนกลับมาต่อผลการดำเนินงานในอัตราที่น่าพอใจ


* กทพ. เปิดประมูลทางพิเศษรามอินทรา-วงแหวนรอบนอก 1.3 หมื่นล้านบาท ITD, CK, STEC และ NWR ร่วมประมูล
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดประมูลงานก่อสร้าง
โครงการทางพิเศษสายรามอินทรา-วงแหวนรอบนอก 9.5 กม. มูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาท แบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Auction)
แบ่งเป็น 4 สัญญา และได้เปิดขายเอกสารประกวดราคาในส่วนของสัญญาที่ 1 และ 4
โดยมีผู้รับเหมาหลายรายเข้ามาซื้อ ทั้ง ITD, CK, STEC และ NWR

ทั้งนี้ สัญญาที่ 1 กำหนดให้ยื่นเอกสารในวันที่ 29 พ.ค. 49 และจะมีการประกวดราคาในวันที่ 30 มิ.ย. 49
ส่วนสัญญาที่ 4 กำหนดให้ยื่นเอกสารวันที่ 26 พ.ค. 49 และประกวดราคาในวันที่ 3 ส.ค. 49