ประวัติศาสตร์ที่ ตลท.ต้องจารึก ยุคโต้ง เรืองอำนาจถูกฟ้อง 36 คดี
- IEC ยันไม่เลิกฟ้องค่าเสียหาย แม้ ตลท.ยอมถอนห้ามเน็ทฯ-มาร์จิน

พบยุค กิตติรัตน์ เรืองอำนาจ ตลท. ถูกฟ้องต่อศาลปกครองฯ 36 คดี และ กิตติรัตน์เจอคนเดียว 36 คดี
ขณะที่ล่าสุด IEC สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ฟ้องต่อศาลปกครองรายเดียวเรียกค่าเสียหาย 3.1 พันลบ.
พร้อมยืนยันไม่ยุติแม้ศาลสั่งให้ ตลท.เพิกถอนคำสั่งห้ามเน็ทฯ-ห้ามมาร์จินชั่วคราวก่อนศาลพิพากษาแล้ว
วงการชี้ บจ.ที่ถูกบทลงโทษเดียวกันอาจยึดเป็นบรรทัดฐานฟ้อง ตลท.ได้อีก

การที่ศาลปกครองได้มีคำสั่งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
เพิกถอนคำสั่งห้ามซื้อขายในลักษณะ Net Settlement และ Margin Trading
ในหลักทรัพย์ของบมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง หรือ IEC
และให้หลักทรัพย์ IEC ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ โดยวิธีการตามปกติ
นับจากวันที่ศาลมีคำสั่ง(วันที่ 16 พฤษภาคม 2549) จนกว่าศาลปกครองจะมีคำพิพากษา

หลังจากที่ IEC ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองให้ศาลปกครองไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา
กรณีถูกตลาดหลักทรัพย์ ใช้มาตรการห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้นเป็นเวลากว่า 6 เดือนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ต้องบันทึกไว้ เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่คำสั่งของ ตลท.จะถูกยื่นให้ศาลตีความ
และศาลมีคำสั่งเพิกถอนตามคำฟ้อง แม้จะยังไม่มีการพิพากษาออกมาอย่างเป็นทางการก็ตาม
ก็หมายความว่าการออกคำสั่งดังกล่าวของ ตลท.ได้ทำให้ IEC ได้รับความเสียหายตามที่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลมีมูลความจริง

ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา IEC ได้ยื่นต่อศาลปกครองให้ศาลปกครองไต่สวนฉุกเฉิน
หลังจากยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง 2 คำร้อง โดยคำร้องแรก คือฟ้องเรียกค่าเสียหายจากตลาดหลักทรัพย์ เป็นเงิน 3,100 ล้านบาท
เนื่องจากเห็นว่าตลท.กลั่นแกล้งและเลือกปฏิบัติ ทำให้ IEC ได้รับความเสียหาย
และคำร้องที่สอง ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ตลาดหลักทรัพย์ระงับคำสั่งห้ามซื้อขายแบบ Net Settlement และบัญชีมาร์จิ้น หุ้น IEC
เนื่องจากกระทบต่อแผนการเพิ่มทุน ซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้ ตลท.เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวในวันนี้ (16 พ.ค.) จนกว่าศาลจะจะมีคำพิพากษา

- ศาลฯระบุตลท.ไม่ควรจัดการ IEC เกิน 30 วันทำการ

ทั้งนี้ ศาลปกครองกลางระบุในคำสั่งการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา
โดยให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยกเลิกคำสั่งห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้น หุ้น IEC ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า
ในระบบการค้าเสรีที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงและมีการระดมทุนกันอย่างกว้างขวาง
หน่วยงานของรัฐ (ตลาดหลักทรัพย์) ซึ่งมีหน้าที่ดูแลจะต้องใช้ความระมัดระวังมิให้เกิดความเอาเปรียบ
และต้องไม่เข้าไปแทรกแซงการซื้อขายหลักทรัพย์ จนกระทั่งเสียความเป็นธรรม
แม้ว่าการแทรกแซงของรัฐจะมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ก็ตาม
แต่การแทรกแซงดังกล่าวหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงต้องใช้อำนาจอย่างระมัดระวังและเป็นกรณีที่จำเป็นเท่านั้น
ซึ่งไม่ควรมีระยะเวลาติดต่อหรือต่อเนื่องกัน 30 วันทำการ
เนื่องจากจะก่อให้เกิดผลเสียต่อการบริหารกิจการของบริษัทจนไม่อาจแก้ไขเยียวยาได้

- วงการชี้คำสั่งครั้งนี้อาจเป็นบรรทัดฐานให้ บจ.อื่นฟ้องได้
ในขณะที่วงการกฎหมายให้ความเห็นว่ากรณีคำสั่งศาลดังกล่าว
อาจต้องใช้เป็นมาตรฐานของการดำเนินมาตรการของตลาดหลักทรัพย์
เนื่องจากที่ผ่านมามีบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่ได้รับความเสียหาย
จากการที่ตลาดหลักทรัพย์ใช้มาตรการห้ามห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้น เกินกว่า 30 วัน
ซึ่งต่อไปบริษัทเหล่านี้สามารถที่จะดำเนินการฟ้องร้องต่อตลาดหลักทรัพย์ได้ หากได้รับผลกระทบต่อแผนการดำเนินงาน

- IEC แฉ ตลท.เลือกปฎิบัติ ระบุหุ้น UV พุ่ง 74% - SC พุ่ง 266% ในเวลา 4 สัปดาห์ ไม่ถูกลงแส้

ทั้งนี้ IEC ได้ระบุในคำร้องต่อศาลปกครองกลางเพื่อขอคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา
กรณีถูกตลาดหลักทรัพย์ ใช้มาตรการห้าม เน็ทเซ็ทเทิลเม้นท์และมาร์จิ้นเป็นเวลากว่า 6 เดือนว่า
จากกรณีที่ตลท.อ้างเหตุการณ์ความผันผวนของหุ้น IEC ว่าไม่ตรงต่อสภาพปกติของตลาดฯ
และมีคำสั่งห้ามเน็ทฯและมาร์จิ้นหุ้น IEC ถือเป็นการแสดงถึงความไม่สุจริต มีเจตนากลั่นแกล้งบริษัทฯ อย่างชัดเจน

รวมทั้งการกระทำของ ตลท. ยังมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อบริษัทฯ อย่างชัดแจ้ง
เพราะในขณะที่หุ้น IEC ถูกห้ามเน็ทฯ และมาร์จิ้นอยู่นั้น ได้มีหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่ปรับตัว
ทั้งปริมาณและราคาในลักษณะใกล้เคียงกับ IEC อีกหลายบริษัท แต่ตลท.กลับไม่ได้ดำเนินการใดๆ กับหุ้นดังกล่าว เช่น

1. หลักทรัพย์ UV ใช้เวลา 4 สัปดาห์ ราคาหุ้นปรับตัวจากหุ้นละ 1.74 บาท ขึ้นสูงถึง 3 บาท เพิ่มขึ้น 74%
2. หลักทรัพย์ PHATRA ใช้เวลา 5 สัปดาห์ ราคาหุ้นปรับตัวจาก 27 บาท ขึ้นสูงถึง 47.50 บาท เพิ่มขึ้น 75%
3. หลักทรัพย์ MAJOR-W1 ใช้เวลา 2 สัปดาห์ ราคาปรับตัวจากหุ้นละ 1.35 บาท ขึ้นสูงถึง 2.98 บาท เพิ่มขึ้น 120%
4. หลักทรัพย์ SC ใช้เวลา 4 สัปดาห์ ราคาหุ้นปรับตัว 9.90 บาท ขึ้นสูงถึง 24 บาท เพิ่มขึ้น 266%
5. หลักทรัพย์ TGCI ใช้เวลา 2 สัปดาห์ ราคาหุ้นปรับตัวจาก 1.70 บาท ขึ้นสูงถึง 3.52 บาท เพิ่มขึ้น 207% และ
6. หลักทรัพย์ KTP ใช้เวลา 2 สัปดาห์ ราคาหุ้นปรับตัวจาก 2.44 บาท ขึ้นสูงถึง 6.40 บาท หรือเพิ่มขึ้น 262%

ทั้งนี้หากพิจารณารายละเอียดของหลักทรัพย์ UV หรือ บมจ.ยูนิเวนเจอร์ แล้วจะเห็นว่า
มี นางอรฤดี ณ ระนอง ซึ่งมีนามสกุลเดียวกันกับผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เป็นประธานผู้อำนวยการและถือหุ้นรายใหญ่ ในสัดส่วน 0.87%
และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทดังกล่าวจำนวน 5.69%
ส่วนหลักทรัพย์ SC หรือ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จะเห็นว่ามีบุคคลที่มีนามสกุลเดียวกันกับผู้มีอำนาจในขณะนั้น
เป็นประธานกรรมการบริหาร และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่จำนวนมาก

ดังนั้นการที่ตลท. ไม่ดำเนินการใดๆ กับบริษัทเหล่านั้น จึงเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมกับ IEC
ซึ่งการกระทำของตลท.ทำให้ IEC ได้รับความเสียหายแก่ภาพลักษณ์ ชื่อเสียง
และยังทำให้การระดมเงินทุนของบริษัทฯ ต้องหยุดชะงัก จนไม่สามารถประกอบธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ได้

- บิ๊ก IEC ยันจะเดินหน้าฟ้องเรียกค่าเสียหาย 3.1 พันลบ.ต่อไป
นายสุมิท แช่มประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร IEC กล่าวว่า
ถึงแม้ศาลปกครองจะมีการยกเลิกมาตรการห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้นหุ้น IEC ของตลาดหลักทรัพย์
แต่บริษัทฯ ก็ยังยืนยันที่จะดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายประมาณ 3,100 ล้านบาทต่อไป
เนื่องจากที่ผ่านมาเกิดความเสียหายทั้งกับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ และความเสียหายต่อนักลงทุนรายย่อย
ทั้งนี้ ในส่วนของการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ศาลปกครองจะมีการนัดไต่สวนต่อไป ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาพอสมควร


- พบยุคโต้งนั่ง MD ตลท.มีเรื่องฟ้องร้องถึง 36 คดี
การฟ้องต่อศาลปกครองกลางของ IEC ในครั้งนี้ ไม่ใช่คดีแรกหรือคดีเดียว
ที่มีการฟ้องต่อ ตลท.และนายกิตติรัตน์ ในฐานะผู้บริหารระดับสูงของ ตลท.
โดยรายงานข่าวจากศาลปกครองกลางแจ้งว่าตั้งแต่ปี 2544
ซึ่งเป็นปีแรกที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แหงประเทศไทย (ตลท.)
มีผู้ฟ้องร้องตลาดหลักทรัพย์ต่อศาลปกครองกลางจำนวน 36 คดี
ส่วนใหญ่เป็นการฟ้องร้องกรณีหน่วยงานรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและกระทำละเมิด
โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นคดีที่ยุติแล้ว (คดีแดง) จำนวน 10 คดี
ที่เหลือยังคงอยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลฯ

ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ถูกฟ้องร้องจำนวน 36 คดีเช่นกัน โดยเรื่องยังอยู่ที่ศาลปกครองกลางจำนวน 34 คดี
และมีการอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดจำนวน 2 คดี เป็นคดีที่ยุติแล้ว (คดีแดง) 1 คดี
ทั้งนี้ยังไม่รวมคดีที่มีผู้ฟ้องร้องต่อศาลแพ่งและอาญา

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ได้เปิดดำเนินการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2518
ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517
มีกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯมาแล้ว 9 คน ในรอบ 31 ปี
โดย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้ดำรงตำแหน่งเป็นคนล่าสุด เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2544-ปัจจุบัน