May 15, 2024   11:35:19 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ช้างแผลงฤทธิ์ดัชนีลบ21จุด ฝรั่งมองหุ้นไทยใกล้วัยทอง
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 17/05/2006 @ 06:45:57
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

น่าใจหายตลาดหุ้นไทยหมดเสน่ห์ แค่ 2 วันต่างชาติไหลเงินออกไป 7 พันกว่าล้านบาทหุ้นลบ 21 จุด รอบนี้มีแนวโน้มไปยาว ส่ายหาที่อื่นผลตอบแทนดีกว่า โดยเฉพาะสิงคโปร์ ขนเงินซื้อหุ้นเบียร์ช้างและแบงก์จีน มองไทยไร้ข่าวดีหนุน ขณะนี้เป็นสุญญากาศ การเมืองอึมครึม รัฐไม่มีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ โต้งชี้ให้ทำใจเงินไหลซื้อไทยเบฟ และ RRC

ภาวะการลงทุนในช่วงนี้นักลงทุนไทยต้องทำใจ เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออก โยกเงินกลับไปลงทุนในตลาดพันธบัตของสหรัฐอเมริกาแทน หลังมีการณ์คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก ขณะที่ประเทศในแถบภูมิภาคเอเซียด้วยกันอย่างสิงคโปร์และจีนก็กำลังเร่งผลักดันหุ้นไอพีโอขนาดใหญ่เข้าจดทะเบียนทั้งบริษัทไทยเบฟเวอร์เรจ และธนาคารขนาดใหญ่ในจีน ยิ่งเป็นปัจจัยผลักดันให้เม็ดเงินต่างชาติไหลออก

ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยยังคงต้องเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น นอกจากนั้นยังภาวะโดยรวมยังขาดข่าวดีเข้ามารองรับ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในไตรมาสแรกที่ประกาศออกมาก็เป็นไปตามที่คาดไว้หรือมีบางบริษัทต่ำกว่าคาดทำให้ไม่เป็นปัจจัยที่จะดันดัชนีขึ้นได้

นอกจากนั้นมุมมองของนักลงทุนต่างชาติต่อเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ถือว่าไม่ค่อยดีนักเนื่องจากการเมืองที่เข้าสู่ภาวะสุญญากาศและยืดเยื้อออกไปเป็นปีทำให้ไม่มีรัฐบาลหรือเจ้าภาพในการผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและยาว หรือโครงการขนาดใหญ่(เมกะโปรเจ็ก)ที่ต้องล่าช้าออกไปเป็นเวลานาน ยิ่งทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยหมดเสน่ห์ลงอย่างรวดเร็ว และในสภาวะที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยยังไม่มีอะไรน่าสนใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ต่างชาติจะขนเงินออกเพื่อไปหาผลตอบแทนที่ดีกว่า

สำหรับดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลง 2 วันติดกันรวม 21 จุดนั้น นอกจากการขายทำกำไรตามรอบแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นผลมาจากการไหลเงินออกของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งไม่เฉพาะกับตลาดหุ้นไทยแต่ยังรวมถึงตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ด้วยที่ต้องเผชิญกับภาวะเงินไหลออกจากภูมิภาคเอเซีย หลังแนวโน้มดอกเบี้ยในอเมริกาและยุโรปมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยในตลาดหุ้นไทย 2 วันที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขนเงินออกไปแล้วรวมกว่า 7.1 พันล้านบาท ขณะที่วานนี้(16 พ.ค.)ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 761.87 จุด ลดลง 4.1 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 19,262.57 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,401.04 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 591.32ล้านบาท และรายย่อยซื้อสุทธิ 2,809.72 ล้านบาท


ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่นักลงทุนกันเงินไว้รอซื้อหุ้นเข้าใหม่ทั้งในและต่างประเทศ เช่น บริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยองจำกัด(มหาชน)หรือ RRC และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) แต่โดยส่วนตัวมองว่าผลกระทบที่จะมีมากกว่าคือการคาดการณ์ของนักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้กันเงินไว้ซื้อหุ้นใหม่แต่คาดการณ์ว่าเมื่อมีนักลงทุนอื่นกันเงินเตรียมไว้ซื้อหุ้นใหม่ ก็อาจทำให้ราคาหุ้นในตลาดลดลงได้ จึงอยากขายหุ้นออกมาบ้าง อย่างไรก็ตามการที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง 1-2% ใน 1วัน ถือเป็นเรื่องปกติ และถือเป็นโอกาสของนักลงทุนระยะยาวที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาปรับลดลงมา

นอกจากนั้นเท่าที่ดูขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยพิเศษอะไรที่จะทำให้ราคาหุ้นลดต่ำลงไปจากที่เป็นอยู่ เนื่องจากอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พีอี)ของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับต่ำอีกทั้งยังไม่เห็นสัญญาณว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนจะลดลง

ด้วยภาวะตอนนี้ ไม่จำเป็นที่เราจะต้องเห็นกำไรของบริษัทจดทะเบียนโตมากๆเหมือนช่วงปี 45-47 แล้ว และเท่าที่ดูการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนก็ยังไม่มีสัญญาณปรับลดลง นอกจากนี้สภาพตลาดหุ้นไทยเป็นที่ยอมรับของนักลงทุนมาโดยตลอด หากเทียบกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ในหลายประเทศ และตามสภาพความเป็นจริงแล้ว ค่าพีอีของตลาดหุ้นไทยน่าจะขึ้นไปอยู่ในระดับประมาณ 10-12 เท่าได้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 7-9 เท่านายกิตติรัตน์ กล่าว

สำหรับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงนั้น เคยให้ความเห็นไปก่อนหน้านี้แล้วว่าไม่เห็นปัจจัยที่จะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อไปได้ ดังนั้นเมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงมาจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจและถือว่าเป็นผลดีต่อผู้ส่งออกด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะมีผลต่อทิศทางความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจากนี้ไปคือเรื่องของเงินเฟ้อ ซึ่งเท่าที่รับฟังมุมมองจากนักวิเคราะห์ ยังไม่มีใครคาดว่าเงินเฟ้อของไทยจะสูงกว่าประเทศอื่นๆ ขณะที่ประเด็นทางการเมืองก็ถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เพราะความล่าช้าทางการเมือง ทำให้เกิดความล่าช้าในการผ่านพ.ร.บ.งบประมาณ ซึ่งส่งผลให้การใช้จ่ายของภาครัฐไม่ต่อเนื่อง

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้การแข็งค่าของสกุลเงินในภูมิภาคเริ่มปรับเข้าหากัน ทำให้ระดับการแข็งค่าขึ้นจากต้นปี 49มาจนถึงขณะนี้ไม่แตกต่างกันมากนัก ซึ่งน่าจะทำให้การส่งออกของไทยไม่เสียเปรียบคู่แข่งมากนัก และหากค่าเงินหยวนปรับตัวเข้าหาเงินสกุลภูมิภาคก็ยิ่งจะทำให้สถานการณ์ส่งออกของไทยไม่น่าเป็นห่วง

ด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน จำกัด(มหาชน) ระบุว่า MSCI ได้ประกาศลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากระดับ 2.75% เป็น 2.73% สำหรับดัชนีมาตรฐานการลงทุนประจำไตรมาส หรือดัชนี MSCI Far East Exclude Japan โดยการเปลี่ยนแปลงจะมีผลใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.49 เป็นต้นไป

ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลมาจาก MSCI ได้มีการนำหุ้นเข้ามาคำนวณในดัชนีเพิ่มขึ้นถึง 35 บริษัท โดย 17 บริษัทมาจากเกาหลีใต้ ทำให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 29.63% จาก 28.85% ส่วนตลาดหุ้นไทยมีการเพิ่มหุ้น 2บริษัทเข้าไปคำนวนณดัชนี ได้แก่ CPN และ GLOW พร้อมทั้งถอดหุ้น 2 บริษัทออกจากการคำนวณได้แก่ ITV และ GRAMMY

ทั้งนี้คาดว่าหุ้นที่ถูกเพิ่มหรือถอดออกจากการคำนวณดัชนีจะมีการเปลี่ยนแปลงต่อราคาหุ้นสูงสุดจากการปรับเพิ่มหรือลดพอร์ตหุ้นที่ลงทุนในปัจจุบัน เพื่อให้สอดคล้องกับน้ำหนักในMSCI ที่เป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับการลงทุนระยะยาว

ด้านนางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้น่าจะอยู่ในช่วงปรับตัวลดลงมากกว่า ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค โดยปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตาในช่วงนี้คือการไหลออกของเงินทุนที่คาดว่าจะยังมีอย่างต่อเนื่อง

ที่มา ข่าวหุ้น[/color:ffb25decd5">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com