May 15, 2024   10:40:26 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
 

U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
วันที่: 15/05/2006 @ 08:39:21
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เศรษฐกิจ
สินเชื่อลีสซิ่งพุ่ง มี.ค.โต2,000% ธปท.ชี้NPLลด


15 พฤษภาคม 2549 กองบรรณาธิการ

เผยสินเชื่อสิ้นเดือน มี.ค.49 ขยายตัว 10% ยอดรวม 5.7 ล้านล้านบาท ประชานิยมยังกัดกินรากหญ้าได้ผล ดันสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ มอเตอร์ไซค์พุ่ง 2,000% ธปท.ยันหนี้เน่าลดลงหลังแบงก์คุมเข้มปล่อยกู้


ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งว่า ยอดเงินให้สินเชื่อของสถาบันการเงินทั้งระบบ ณ สิ้นเดือน มี.ค.49 อยู่ที่ 5,784,783 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 521,230 ล้านบาท หรือ 9.90% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ช่วงดังกล่าวการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนถูกกดดันจากปัจจัยเสี่ยงทั้งราคาน้ำมัน การเร่งตัวดอกเบี้ย และปัญหาการเมือง

โดยสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคอยู่ที่ 1,043,773 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 201,339 ล้านบาท หรือ 23.90% โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์มี 155,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 148,231 ล้านบาท หรือ 2,098.70% สินเชื่อเงินสด บัตรเครดิต 268,077 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,283 ล้าน หรือ 0.48%

อย่างไรก็ตาม สินเชื่อการซื้อที่ดินมี 38,218 ล้านบาท ลดลง 1,468 ล้านบาท หรือ 3.70% การซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการอื่นๆ 2,003 ล้านบาท ลดลง 249 ล้านบาท หรือ 3.70% และสินเชื่อการก่อสร้าง 157,752 ล้านบาท ลดลง 1,926 ล้านบาทหรือ 1.21%

นายทำนอง ดาศรี ผู้อำนวยการฝ่ายปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ธปท. ระบุว่า การเร่งตัวของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากสถาบันการเงินส่วนใหญ่เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น ประกอบกับภาคธุรกิจมีการใช้แหล่งเงินทุนอื่นแทนการกู้ยืมสินเชื่อ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศเพื่อลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

นอกจากนี้ หากบรรษัทบริหารสินเชื่อกรุงเทพพาณิชยการ (แบม) สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการรับซื้อเอ็นพีแอลจากธนาคารพาณิชย์มาบริหาร ยิ่งทำให้เอ็นพีแอลลดลงได้มากขึ้น.

 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#1 วันที่: 15/05/2006 @ 08:40:04 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
แบงก์ชาติเกาะติดหนี้ตีกลับ
หวั่นปัญหาดอกเบี้ยสูง-น้ำมันแพงทำลูกหนี้อ่วม

นายทำนอง ดาศรี ผู้อำนวยการ ฝ่ายปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลในระบบว่า จากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องก็อาจส่งผลกระทบให้เกิดหนี้เพิ่มขึ้นมาในระบบได้ ซึ่งในขณะนี้ ธปท.ก็จับตาดูในส่วนของหนี้เสียไหลย้อนกลับ และหนี้ที่เกิดใหม่จะมีแนวโน้มไหลย้อนกลับเข้ามาในระบบหรือไม่
แต่ทั้งนี้ ธปท.ก็เชื่อว่าจากการที่มีบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) ที่ทำหน้าที่ในการรับซื้อเอ็นพีแอลและสินทรัพย์รอการขาย หรือ เอ็นพีเอ โดยนำไปบริหารต่อและสามารถที่จะบริหารได้ดี จึงส่งผลให้โครงสร้างของเอ็นพีแอลในระบบลดลงได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนอีกปัจจัยที่จะส่งผลให้เอ็นพีแอลในระบบลดลง จะมาจากธนาคารพาณิชย์ต่างๆ มีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากยิ่งขึ้น ทำให้โอกาสที่จะเกิดหนี้เสียใหม่ๆ ในระบบนั้นก็คงน้อยลง และอีกสาเหตุคือเงินทุนที่ไหลเข้ามา ถือว่าเป็นการช่วยส่งเสริมให้ผู้ลงทุนมีเงินไปลงทุนได้ เพราะว่ามีเม็ดเงินจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทำให้มีเงินหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น ก็ส่งผลให้โอกาสที่จะเกิดหนี้เสียน้อยลงอีกหนึ่งทาง
เอ็นพีแอลในระบบตอนนี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ไม่มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นมาเลย และคาดว่าในแนวโน้มต่อไป เอ็นพีแอลก็จะลดลงได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ นายทำนอง กล่าว
ทางด้านราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องนั้น หากเทียบกับช่วงวิกฤติราคาในปี 1980 ราคาน้ำมันสูงกว่านี้มาก รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อก็ยังไม่สูงมากเช่นกัน จึงคาดว่าผลกระทบจากราคาน้ำมันทุกคนจะปรับตัวได้
ทางด้านอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ในขณะนี้ ธปท.ก็ปรับลดลงอยู่ที่ 4.25 - 4.75% รวมทั้งไอเอ็มเอฟ ก็ปรับลดจีดีพีของไทยลง ส่วนธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี ยังมองในแง่ดีว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตอยู่ที่ 5% ซึ่งหากว่าจีดีพีในปีนี้ลดลงก็จะส่งผลให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อได้ลดลงตามไปด้วย เพราะอัตราการขยายตัวของสินเชื่อจะโตตามจีดีพี
เอ็นพีแอลล่าสุดของสถาบันการเงิน ณ เดือนมีนาคมมีจำนวน 473,000.81 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อเท่ากับ 7.97% จากไตรมาสก่อนที่สัดส่วนเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อเท่ากับ 8.16% โดยลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 4,070.34 ล้านบาท หรือลดลง 0.85 %
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#2 วันที่: 15/05/2006 @ 08:40:51 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
ปัจจัยลบรุมตลาดลดเป้าบจ.
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากปัจจัยที่เข้ามากระทบตลาดหุ้นไทย ทั้งเรื่องของการเมือง ราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ย ทำให้มีบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ เพราะมีหุ้นที่เข้ามาทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯในจำนวนไม่มาก ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯจึงต้องพิจารณาปรับเป้าหมายใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ จาก 100 บริษัทที่ตั้งไว้ส่วนจะเป็นจำนวนเท่าไหร่นั้นยังไม่สามารถบอกได้ในขณะนี้ อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้คาดว่าจะมีหุ้นเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯแบบกระจุกตัวเหมือนทุกปีที่ผ่านมา
สำหรับในกรณีที่จะมีบริษัทบางแห่งเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศนั้น คงจะไม่มีหรือมีอยู่ในจำนวนน้อย เพราะบริษัทที่จะเข้าไปจดทะเบียนยังต่างประเทศส่วนมากเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ต้องการใช้เม็ดเงินลงทุนค่อนข้างสูง แต่บริษัทที่มีลักษณะดังกล่าวในปัจจุบันกลับมีจำนวนที่ไม่มากนัก อย่างไรก็ตามหากมีจริงจะอยู่ในรูปแบบบริษัทข้ามชาติเป็นส่วนใหญ่
นางสาวโสภาวดีกล่าวต่อถึงกรณีที่บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ประเทศสิงคโปร์นั้น เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่สามารถดึงเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศได้มาก ซึ่งเรื่องนี้เป็นผลจากการกีดกันบริษัทไทยเบฟฯ ไม่ให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย
ทุกบริษัทก็ต้องการแข่งขันเพื่อให้สู้กับคู่แข่งได้ โดยต้องการเม็ดเงินที่มากพอเพื่อใช้ในธุรกิจ ดังนั้นการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์จึงถือเป็นทางเลือกหนึ่งของการระดมทุนนางสาวโสภาวดีกล่าว
อย่างไรก็ตามการที่บริษัทไทยเบฟฯสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ฯต้องกลับมาพิจารณาในเรื่องขั้นตอน และกระบวนการ เข้าจดทะเบียนอีกครั้ง เพื่อให้ทัดเทียมกับตลาดหุ้นต่างประเทศได้
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#3 วันที่: 15/05/2006 @ 08:41:47 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
หุ้นเด่น




ซื้อลงทุนระยะยาว
บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคจีไอ แนะนำหุ้นบริษัทไดนาสตี้เซรามิค หรือ DCC ผลประกอบการของ DCC ออกมาผิดหวังต่อทั้งเราและตลาดมา 2 ไตรมาสติดกัน โดย เฉพาะอย่างยิ่งไตรมาส 1 ยอดขายปรับลดลง 3% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ซึ่งเป็นการลดลง เป็นครั้งแรกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 118 บาทต่อตร.ม. ใน ไตรมาส 1 ปีที่แล้วมาเป็น 131 บาทต่อตร.ม. ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการรับรู้ที่ราคาขายปลีก แต่ ทั้งนี้ปริมาณการขายกลับปรับตัวลดลง 10.5% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนโดยผู้บริหารเชื่อว่า เกิดจากภาวะความตึงเครียดทางด้านการเมืองในช่วงต้นปี
ทั้งนี้โดยรวมแล้วปีนี้ ผู้บริหารยังเชื่อว่าความต้องการยังเติบโต 5% ซึ่งลดลงจากประมาณ การจากการประชุมครั้งก่อนที่ 10% แต่เรายังค่อนข้างกังวลในความเป็นไปได้จากที่ไตรมาส 1 ซึ่งปกติเป็นช่วงที่มีความต้องการที่สูงที่สุดของปี แต่กลับเริ่มแสดงถึงการหดตัวลงของความต้อง การ นอกจากนี้แม้ว่าราคาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ด้วยภาวะราคา น้ำมันที่แพงกว่าที่เราคาดไว้เดิมจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นและจะกระทบกับความเชื่อ มั่นในที่สุด ซึ่งโดยรวมจะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจที่จะทำให้การเติบโตชะลอตัวลง ดังนั้น แล้ว จึงเป็นไปได้ว่าความต้องการโดยรวมอาจจะเพียงใกล้เคียงกับปีก่อน แม้ว่าประมาณการปริมาณการขายเดิมของเราเป็นไปอย่างระมัดระวังแล้ว แต่เราระมัด ระวังในปริมาณการขายของ DCC มากขึ้นอีกเล็กน้อย โดยปรับลดยอดขายลง 4% ปีนี้ และ 5% ในปีหน้า ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารและดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้เดิม เราจึงมีการปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นลงด้วย โดยรวมแล้วส่งผลให้กำไรสุทธิปรับลดลง 15% ในปีนี้ และ 14% ในปีหน้า หลังจากปรับประมาณการแล้ว ทำให้เราได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 20.5 บาท (จาก 24 บ.) ทำ ให้ตอนนี้ราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาเป้าหมายเพียง 4% เราจึงปรับลดคำแนะนำจาก ซื้อ เป็น ซื้อลงทุนระยะยาว จากที่หุ้นยังให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงถึง 7.2%


ที่มา..เคจีไอ
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#4 วันที่: 15/05/2006 @ 08:42:35 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
กทช.โยนบาปพาณิชย์-ตลาดหุ้น
ยื้อข้อมูล ?เทมาเซค?ฮุบชินฯ

หน่วยงานรัฐปัดกันวุ่น กรณีตรวจสอบกองทุน?เทมาเซค?ฮุบหุ้นในชินคอร์ปว่าเกินกฏหมายไทยกำหนดหรือไม่ กทช. โยน ?คลัง-พาณิชย์-ตลาดหุ้น?ยื้อส่งข้อมูลมา ด้าน ? พาณิชย์?แจงขอข้อมูลไปยังแบงก์พาณิชย์แล้ว แต่ยังไม่ชัดเจน ยันจะ เรียก ?ซีด้า-กุหลาบแก้ว?2 ผู้ถือหุ้นใหญ่ เข้าชี้แจงสัปดาห์นี้
มีรายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. แจ้งว่า การตรวจสอบการเข้ามาถือครองหุ้นของ เทมาเซค กองทุนจากสิงคโปร์ในเครือชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ว่ากรณีดังกล่าวเข้าข่ายผิดกฎหมาย เนื่องจากถือครองหุ้นเกิดสัดส่วน 49% หรือไม่นั้น ล่าสุดยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
ส่วนการตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท ซีด้า โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด ซึ่งเป็นถือหุ้นรายใหม่ในชินคอร์ปว่ามีพฤติกรรมเข้าข่ายมีพฤติกรรมถือหุ้นแทนต่างชาติ(นอมินี)หรือไม่ มีรายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ในสัปดาห์นี้จะมีการส่งหนังสือเชิญผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทั้ง 2 บริษัท เข้ามาให้ข้อมูลอีกครั้ง
ทั้งนี้ การตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขายหุ้นในบริษัทเครือชินคอร์ปให้เทมาเซคดำเนินการมาตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
พล.อ. ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ ประธาน กทช. กล่าวว่า ในการตรวจสอบการเข้ามาถือครองหุ้นของกองทุนเทมาเซค ในเครือชินคอร์ปนั้นตนมอบอำนาจให้ นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการ กทช. เป็นคนดำเนินการให้ส่งหนังสือไปขอเอกสารเกี่ยวกับสัดส่วนการถือครองหุ้นทั้งหมด ทั้งจาก บริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน)ผู้ให้สัมปทานกับ บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส (บริษัทในเครือชินคอร์ป)แล้ว นอกจากนี้ยังขอข้อมูลจาก กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เอกสารทั้งหมดยังมาไม่ครบ เนื่องจากมีข้อมูลจำนวนมาก โดยขณะนี้ทาง กทช.เองก็ได้เปิดประชาพิจารณ์เรื่องการถือครองการถือหุ้นของต่างชาติควบคู่กันไปด้วยก่อนออกร่างประกาศ ฯกทช.เกี่ยวกับการครอบงำกิจการโทรคมนาคมของคนต่างด้าว ซึ่งอยู่ในขั้นตอนแก้ไขให้สมบูรณ์เพื่อเตรียมออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
?การตรวจสอบเรื่องนี้ กทช.เองก็เร่งทำงานอยู่ แต่คาดว่าหากเอกสารทั้งหมดมาครบก็จะสรุปได้ แต่ก็ยังพูดไม่ได้ว่าการถือหุ้นของเทมาเซคนั้นผิดไหม เนื่องจากมันเกี่ยวกับกฎหมายหลายตัว ซึ่งกทช.เองก็ต้องดูอย่างรอบคอบ แต่ผมก็คาดว่าไม่นานแน่จะรู้ผลเพราะทางกทช.ก็เร่งทำงานอยู่ อีกทั้งเข้าใจว่าเรื่องดังกล่าวประชาชนสนใจ? ประธาน กทช.กล่าว
ด้านนายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการ กทช. กล่าวว่า ขณะนี้ตนอยู่ในช่วงพักร้อน แต่อย่างไรก็เร่งตามเอกสารนี้อยู่ ซึ่งล่าสุดเอกสารจากกระทรวงพาณิชย์ยังมาไม่ครบ ซึ่งเป็นประด็นเกี่ยวกับกฎหมายการถือหุ้นของคนต่างด้าวด้วย
แหล่งข่าวจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการ ตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท ซีด้า โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด ว่าเป็นบริษัทของคนไทย และมีพฤติกรรมเข้าข่ายมีพฤติกรรมถือหุ้นแทนต่างชาติ(นอมินี)หรือไม่ ก่อนหน้านี้กรมเคยขอความร่วมมือไปยังธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อให้ส่งเอกสารทางธุรกรรมการเงินของทั้ง 2 บริษัท แต่ภายหลังจากตรวจสอบเอกสารที่ทางธนาคารจัดส่งมาให้กรมนั้น ยังไม่ครอบคลุม และไม่สามารถตอบข้อสงสัยบางประเด็นได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเชิญผู้ถือหุ้นเข้ามาให้ข้อมูลกับเจ้า หน้าที่ของกรมโดยตรงในสัปดาห์นี้ หากมีผลสรุปออกมาว่าเป็นนอมินีจริงก็ให้ศาลตัดสินเลิกการถือหุ้น
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#5 วันที่: 15/05/2006 @ 08:43:25 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3792 (2992)

อิตัลไทยฉีกไลน์รับเหมา รุกต่อยอดปูน-โพแทช-พลังงาน

ตลาดรับเหมาเริ่มอิ่มตัว เสร็จงานสุวรรณภูมิ-ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ บิ๊กอิตาเลียนไทย เปรมชัย กรรณสูต ขยับสร้างฐานธุรกิจใหม่ ออกดอลลาร์บอนด์ 200 ล้านเหรียญ รุกธุรกิจพลังงาน-โรงปูน-เหมืองโพแทช รวมมูลค่าหลายหมื่นล้าน ชี้เป็นธุรกิจมีอนาคต หวังโตก้าวกระโดด 20 ปี ประกาศเพิ่มทุน-ซื้อหุ้นรถไฟฟ้าบีทีเอส เตรียมผนึกพันธมิตรกรุยทางโกอินเตอร์

นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD เปิดเผย ประชาชาติธุรกิจ ว่า ทิศทางของ ไอทีดีจะเปลี่ยนแปลงไปมากนับจากปี 2549 เพื่อเตรียมความพร้อมในการสร้างฐานธุรกิจใหม่ๆ จากที่ไม่เคยทำมาก่อน คือ ธุรกิจพลังงาน เหมืองแร่โพแทช และโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ รวมมูลค่าลงทุนแล้วหลายหมื่นล้าน

ผมมองว่าต่อไปอุตสาหกรรมเหล่านี้จะเป็นธุรกิจที่มีอนาคตและสามารถสร้างมาร์จิ้นได้ดีกว่าธุรกิจรับเหมาในปัจจุบันที่แทบจะไม่ได้อะไรแล้ว นายเปรมชัยบอกถึงเหตุผลหลัก

แม้ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ธุรกิจใหม่ก็ยังสามารถรองรับพนักงานบริษัทในเครือกว่า 30,000 คนให้อยู่รอดได้ โดยเฉพาะวิศวกรทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก และบริษัทต้องอาศัยความรู้ความชำนาญจากบุคลากรเหล่านี้มาช่วยต่อยอดกับธุรกิจในอนาคต

เพิ่มทุน-ซื้อหุ้นบีทีเอส

ที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมาบริษัทยังได้ยื่นข้อเสนอไปยังบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี ผู้รับสัมปทานเดินรถไฟฟ้า บีทีเอสว่า ไอทีดีจะเพิ่มทุนให้กับรถไฟฟ้าเอง จากเดิมที่เคยถือหุ้นอยู่กว่า 10% จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเพื่อให้บีทีเอสซีได้รับการฟื้นฟูเร็วขึ้น รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ที่ยืดเยื้อมานานหลายปี

เราลงทุนลงแรงไปเยอะ แต่ปรับโครงสร้างหนี้ไม่ได้สักที บีทีเอสกำลังต้องการเงินสด ผมเลยเสนอไปว่า ผมจะเพิ่มทุนเอง ผมยินดีจะเอาเงินมาลง เพราะเรามีแหล่งเงินอยู่แล้ว เป็นความตั้งใจของผม ซึ่งเริ่มคุยกับบีทีเอสบ้างแล้ว

หากบีทีเอสซีรับข้อเสนอและมีการปรับโครง สร้างหนี้รถไฟฟ้าแล้วเสร็จ จะได้นำบริษัทบีทีเอสซีเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งผลประกอบการจะดีขึ้น มีกำไรเพิ่มขึ้น เงินที่ลงทุนไปผู้ถือหุ้นจะได้กลับคืนมาบ้าง เพราะปัจจุบันผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทุกวัน ขณะนี้อยู่ที่ 4 แสนกว่าคนต่อวันแล้ว ไม่ใช่น้อยๆ

นายเปรมชัยกล่าวว่า โครงการรถไฟฟ้ายังมีโอกาสในการสร้างงานได้ดี เพราะกรุงเทพมหานคร (กทม.) จะต้องก่อสร้างส่วนต่อขยายออกไปอีก 3 เส้นทาง คือ สายสุขุมวิท (อ่อนนุช-ซอยแบริ่ง) สายสีลม (แยกตากสิน-บางหว้า) และสายหมอชิต-สะพานใหม่

ก่อนหน้านี้บริษัทได้งานก่อสร้างมาแล้วสายหนึ่ง ช่วงอ่อนนุช-สำโรง มูลค่างาน 7,000 กว่าล้านบาท ล่าสุด กทม.ต้องการให้บริษัทยืนราคาเดิม บริษัทก็ยอม แม้ต้นทุนค่าก่อสร้างจะแพงขึ้นหลายเท่าตัวก็ตาม

ผมเห็นอนาคตตรงนี้ ผมจึงตัดสินใจเข้ามาเพิ่มทุนให้ เพราะจะดีทั้งบีทีเอสกับอิตาเลียนไทย นายเปรมชัยกล่าว

ลุยธุรกิจโรงปูน 7 พันล้าน

ขณะเดียวกัน อิตาเลียนไทยเริ่มปูทางปักหลักในธุรกิจอื่นเพิ่มขึ้นอย่างเงียบๆ เพื่อเป้าหมายสร้างความยั่งยืนและสร้างรายได้ในระยะยาวในอีก 20 ปีข้างหน้า เนื่องจากแรงกดดันของตลาดแข่งขันในธุรกิจรับเหมารุนแรงขึ้น ทุก 2-3 ปี จะต้องหาลูกค้าใหม่ตลอด ปัญหาการเมืองก็ไม่แน่นอน และภาวะราคาน้ำมันแพงกลายเป็นต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 6-7% ความเสี่ยงจึงสูง

ธุรกิจรับเหมา งานหาไม่ยาก แต่หาราคาดียาก ผมไปทำอย่างอื่นดีกว่าเพื่อมาเสริมรายได้ แต่อยู่ในไลน์ใกล้กัน ให้มีกำไรต่อเนื่อง และช่วยให้รายได้บริษัทไม่แกว่ง นายเปรมชัยกล่าว และว่า

ปัจจุบันอิตาเลียนไทยมีงานอยู่ในมือคิดเป็นมูลค่า 1.2 แสนล้านบาท สัดส่วนต่อปี 40,000-50,000 ล้านบาท ทุกชิ้นใช้เวลาก่อสร้างเฉลี่ย 2 ปี กว่า สำหรับรายได้ปีนี้คาดว่ามีประมาณ 50,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ได้ 47,000 ล้านบาท

ซึ่งธุรกิจแรกที่มีผลงานเป็นรูปธรรมแล้วคือ การลงทุนสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ที่เพิ่งเปิดตัวเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2549 บริหารโดยบริษัท ภูมิใจไทยซีเมนต์ จำกัด ผลิตยี่ห้อ ราชสีห์ ใช้เงินลงทุนเฟสแรก 3,000 ล้านบาท เป็นเงินสด 1,200 ล้านบาท กู้ 1,700 ล้านบาท มีกำลังการผลิต 1 ล้านตันต่อปี และจะขยายเฟส 2 มีกำลังการผลิต 2 ล้านตันต่อปี รวมทั้งหมด 3 ล้านตันต่อปี ลงทุนทั้งหมด 7,000 ล้านบาท

เฟสสองจะใช้เงินประมาณ 4,000 ล้านบาท คาดว่าจะมาจากการเพิ่มทุน 1,500 ล้านบาท และกู้เพิ่ม 2,500 ล้านบาทจากธนาคารพาณิชย์ 2 แห่ง ปีหน้าเราจะเพิ่มกำลังการผลิต โดยใช้เวลาก่อสร้าง 14 เดือน

สำหรับเม็ดเงินลงทุนจะมาจากไหนนั้น นายเปรมชัยเปิดเผยว่า ส่วนหนึ่งมาจากรายได้งานรับเหมา อีกส่วนมาจากการออกดอลลาร์บอนด์ วงเงิน 200 ล้านเหรียญในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ เพื่อใช้ในการขยายโรงปูน ซึ่งมีรีเทิร์นที่ดีราว 16-17% อายุโรงปูนยาวนานได้ถึง 40-50 ปี อย่างน้อยก็รับประกันความเสี่ยงหากสินค้าขาดตลาดแต่ค่ายไอทีดียังมีวัสดุของตัวเองป้อน

ขยายเฟส 2 เสร็จ เรามีความคิดจะส่งออกต่างประเทศ เพราะบริษัทเริ่มขยายงานก่อสร้างในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะที่อินเดีย โดยมีบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) เป็นพันธมิตร

ตั้งบริษัทใหม่ลุยเหมืองโพแทช

ต่อจากธุรกิจโรงปูน ไอทีดีจะบุกการลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมเหมืองแร่โพแทชที่จังหวัดอุดรธานี ขนาดพื้นที่สัมปทานบัตร 50,000 ไร่ ซึ่ง อนาคตจะมีรายได้ที่ยั่งยืนและมหาศาล เช่นเดียวกับธุรกิจปูน เนื่องจากเป็นรูปแบบประทานบัตร 40-50 ปี ใช้เงินลงทุน 20,000 ล้านบาท บางส่วนกู้จากสถาบันการเงิน ใช้พื้นที่ 1,000 ไร่ ก่อสร้างเสร็จภายใน 1 ปี

เราซื้อธุรกิจต่อมาจากบริษัทของแคนาดา และมาตั้งชื่อใหม่เป็นบริษัท สินแร่ไทย จำกัด เราถือหุ้น 90% รัฐบาลถือ 10% มีทุนจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท ที่เรากล้าทำธุรกิจนี้ เพราะผมมั่นใจ ในฐานะวิศวกรเหมืองแร่โดยตรงเพราะเรียนจบทางด้านนี้ เรื่องสิ่งแวดล้อมผมให้ความสำคัญมาก ซึ่งเป็นรายละเอียดที่ผมกำลังดำเนินการอยู่

ประธานอิตาเลียนไทยกล่าวว่า การทำเหมืองก็เหมือนธุรกิจก่อสร้าง สามารถทดแทนเรื่องคนกันได้ การทำตลาดจะมาขายในประเทศก่อน ซึ่งมีความต้องการหลายแสนตัน ถ้าเหลือก็ส่งออก เพราะมีกำลังการผลิต 2 ล้านตันต่อปี ตลาดนี้ไม่มีคู่แข่ง ในโลกมีอยู่ 3 ราย คือ แคนาดา รัสเซีย และตะวันออกกลาง ในแถบเอเชียมีประเทศไทยประเทศเดียวที่มี

ธุรกิจเสริมทำไปได้เรื่อยๆ ส่วนรับเหมาขึ้นอยู่กับโอกาส ถ้ามีเมกะโปรเจ็กต์มันก็จะมี big jump ถ้าไม่มีก็ไปเรื่อยๆ แต่ธุรกิจเสริมต้องบอกก่อนว่า ไอทีดีเป็นบริษัทมหาชนต้องมองเรื่องมาร์จิ้นเป็นหลัก เรื่องเงินอาจจำกัด แต่คนไม่จำกัด คนไม่ใช่ปัญหา จะทำธุรกิจอะไร ผมต้องหาคนมารองรับก่อน หาคนได้แล้วค่อยหาเงิน นายเปรมชัยกล่าว

อนึ่ง รายได้รวมของอิตาเลียนไทยและบริษัทย่อย ในปี 2548 มีมูลค่า 42,357 ล้านบาท โตขึ้นประมาณ 19.56% รายได้ทั้งหมดมาจากธุรกิจ ที่บริษัทลงทุนเอง 13 บริษัท ,กิจการร่วมค้ากับพันธมิตรต่างชาติอีก 21 บริษัท และบริษัทร่วมทุนในธุรกิจอื่นอีก 9 บริษัท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#6 วันที่: 15/05/2006 @ 08:44:10 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3792 (2992)

พิษไอทีวีย้อนศร ชินวัตรแจ็กพอต ถูกหักเงินหุ้นชิน

ที่ปรึกษาทางการเงินระบุชัด ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งคณะอนุญาโต ตุลาการในเรื่องไอทีวีกระเทือนกระเป๋า ชินวัตร-ดามาพงศ์ โดยตรง ส่วน เทมาเส็ก ลอยตัว เพราะมีประกันความเสี่ยงไว้แล้ว วงการชี้งานนี้ถูกขายทิ้งแน่ ขณะที่คนซื้อตีขิมรอ หวังได้ราคาต่ำที่สุด

แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวกับ ประชาชาติธุรกิจ ถึงกรณีศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งคณะอนุญาโตตุลาการในเรื่องไอทีวีว่า เป็นบทพิสูจน์อย่างหนึ่งว่าในการบริหารงานของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เอื้อประโยชน์ต่อตัวเองหรือไม่ สำหรับผลที่ตามมา แน่นอนว่าต้องกระทบกับราคาหุ้นของไอทีวี ส่วนกรณีที่เทมาเส็กจะขายหุ้นไอทีวีออกไปนั้น เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้คงทำให้นักลงทุนที่สนใจกดราคาได้เต็มที่

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวเชื่อว่าตอนนี้ผู้แสดงความสนใจทุกรายคงอยู่เฉยๆ จะไม่มีใครแสดงความสนใจอะไรออกมาอีก เพื่อให้ราคาของไอทีวีลงไปต่ำที่สุด เพราะค่อนข้างชัดเจนว่าทางเทเมาเส็กไม่ได้ต้องการถือหุ้นไอทีวีไว้

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในวันที่ 23 มกราคม 2549 วันที่ครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ได้ขายหุ้นชินคอร์ปให้กับบริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ราคาหุ้นของไอทีวีอยู่ 11.90 บาท แต่เมื่อทียบกับวันพฤหัสฯที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา ราคาของไอทีวีตกลงเหลือเพียง 5.35 บาทเท่านั้น

ชินวัตร-ดามาพงศ์ แจ็กพอต

แหล่งข่าวเชื่อด้วยว่า ในกรณีของไอทีวีนี้ผู้ที่รับความเสียหายไม่ใช่เทมาเส็กโดยตรง แม้ว่าราคาหุ้นไอทีวีขณะนี้จะลดลงมาต่ำมาก แต่ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นคือครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ ซึ่งเป็นผู้ขายหุ้นทั้งหมด เพราะในสัญญาการขายหุ้นที่มีกับเทมาเส็กตามข้อตกลงจะมีการกันเงินส่วนหนึ่งของ 7.3 หมื่นล้านบาทไว้ในบัญชีเอสโครวแอ็กเคานต์ (escrow account) เพื่อไว้รองรับกรณีเกิดความเสียหายจากคดีความและข้อพิพาทต่างๆ รวมถึงการเสียภาษีของบริษัท ซึ่งถือเป็นขั้นตอนปกติของการทำสัญญาซื้อขายหุ้นของบริษัทข้ามชาติ

เป็นเรื่องปกติในทางธุรกิจที่จะต้องมีสัญญาให้ผู้ถือหุ้นเดิมเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น เรื่องแบบนี้ทั้งเทมาเส็กและที่ปรึกษาการเงินต่างรู้ดีอยู่แล้ว ทำให้ต้องมีการทำสัญญาป้องกันความเสียหายไว้ ในกรณีนี้หมายความว่าครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ในฐานะผู้ขายหุ้นจะต้องเป็นผู้รับไป

แหล่งข่าวกล่าวว่า วงเงินทั้ง 7.3 หมื่นล้านที่ขายให้เทมาเส็กนั้น ตามกระบวนการทางครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์จะยังไม่ได้รับเงินทั้งหมด แต่จะต้องกันเงินส่วนหนึ่งตามข้อตกลงร่วมกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในกรณีที่ชินคอร์ปและบริษัทในเครือมีคดีผูกพันอยู่ในศาลเช่นนี้ อาจจะมีการกันเงินไว้ในบัญชีเอสโครวแอ็กเคานต์ไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท ซึ่งเงินในบัญชีนี้จะไม่สามารถเบิกออกไปได้จนกว่าจะครบกำหนดเวลาตามข้อตกลง ซึ่งโดยปกติจะอยู่ที่ 3-5 ปี

เทมาเส็กขายทิ้งแน่

แหล่งข่าวกล่าวว่า แม้ว่าศาลปกครองจะมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งคณะอนุญาโตตุลาการทำให้ ไอทีวีต้องกลับไปจ่ายส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาเดิมคือปีละ 1,000 ล้านบาท (ตามสัญญาไอทีวีจะเป็นแบบขั้นบันได และต้องจ่ายผลตอบแทนในปี 2547-2569 ปีละ 1,000 ล้านบาท) จากก่อนหน้านี้คณะอนุญาโตฯลดหย่อนให้เหลือ 230 ล้านเท่านั้น จึงทำให้ราคาหุ้นไอทีวีลดต่ำลงไปอย่างมาก และทำให้ผู้ซื้อได้เปรียบยิ่งขึ้น

เชื่อว่าทางครอบครัวชินวัตรคงต้องพยายามหาพันธมิตรเพื่อเข้ามาซื้อหุ้นไอทีวีไปจากเทมาเส็ก เพราะเป็นที่ยืนยันแน่ชัดว่าเทมาเส็กไม่ได้ต้องการที่จะเก็บหุ้นไอทีวีไว้ ซึ่งทางครอบครัวชินวัตรจะต้องพยายามหาพันธมิตรที่จะมาซื้อหุ้น ไอทีวีในราคาที่ดีที่สุดเพื่อให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นน้อยที่สุด

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า แม้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไอทีวีจะได้รัลผกระทบหลายด้าน ทั้งราคาหุ้น และต้องแบกภาระส่วนแบ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้น แต่อาจเป็นจังหวะให้นักลงทุนที่สนใจเข้ามาซื้อหุ้นไอทีวีในเวลานี้ก็ได้ เพราะเท่าที่ทราบยังมีผู้สนใจธุรกิจนี้ แต่อาจจะรอจังหวะเวลาให้ราคาลดลงมาต่ำที่สุด ซึ่งเมื่อคำนวณเรื่องผลตอบแทนการลงทุนแล้วก็น่าจะยังมีความเป็นไปได้ทางธุรกิจ

สูญแล้วสี่พันล้าน

ทั้งนี้หากคิดคำนวณจากราคาหุ้น ณ วันที่เทมาเส็กเข้าซื้อหุ้นชินคอร์ป เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ราคาหุ้นไอทีวีอยู่ที่ 11.90 บาท จากมูลค่าหุ้นที่ชินคอร์ปถืออยู่ในไอทีวี 52.93% หรือ 638.6 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 7,599 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นที่ปิดเมื่อ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 5.35 บาท ทำให้มูลค่าหุ้นไอทีวีที่ชินคอร์ปถืออยู่ลดลงมาอยู่ที่ราว 3,416 ล้านบาท ความเสียหายเบื้องต้นน่าจะอยู่ที่แถวสี่พันล้านบาท

สำหรับผลประกอบการไตรมาสแรกในปี 2549 ของไอทีวี มีรายได้ทั้งสิ้น 497 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 13% เป็นผลจากชะลอการใช้งบฯโฆษณา และผลกระทบทางการเมือง ทำให้มีกำไรสุทธิ 103 ล้านบาท เทียบกับผลประกอบการในปี 2548 ไอทีวีมีรายได้รวมทั้งสิ้น 2,343 ล้านบาท กำไรสุทธิ 679 ล้านบาท

ขาใหญ่ยันยังสนใจ

ผู้บริหารบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ซึ่งที่ผ่านมาเคยแสดงความสนใจในสถานีโทรทัศน์ช่องนี้อย่างเปิดเผย กล่าวกับ ประชาชาติธุรกิจ ว่า ถึงแม้ศาลปกครองกลางจะมีคำพิพากษาออกมา โดย ไอทีวีต้องกลับไปใช้ข้อสัญญาเดิมทั้งหมด แต่บริษัทก็ยังให้ความสนใจต่อไอทีวีเช่นเดิม และมองว่าเรื่องนี้ยังมีทางออก ทั้งยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด

เราคงต้องดูกันต่อไป แต่ยอมรับว่าการต้องเสียส่วนแบ่งรายได้ปีละพันล้านบาทไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจอย่างแน่นอน ไม่ต้องคิดอะไรมาก ดูจากช่อง 3 ซึ่งมีผลประกอบการดีมาก ยังมีกำไรสุทธิแค่พันล้านเศษๆ เท่านั้น แหล่งข่าวกล่าว
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#7 วันที่: 15/05/2006 @ 08:45:09 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3792 (2992)

ตีโจทย์สถานการณ์โลก ดบ.-น้ำมัน-ทองคำ-ดอลลาร์ ประเมินความเสี่ยงเศรษฐกิจไทย
คอลัมน์ Outside-In

นับจาก ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจขยับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ขึ้นอีก 0.25% เป็น 5% เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (10 พ.ค.) เสียงของนายแบงก์ไทย ก็ดังเซ็งแซ่ แสดงความเห็นรับขึ้นฉับพลันว่า ในที่สุดแล้ว แรงกดดันจากเทรนด์ดอกเบี้ยโลก จะบีบให้ธนาคารไทยต้องปรับตามอย่างเลี่ยงได้ยาก

บางรายฟันธงไปแล้วว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ของไทยอาจขยับไปถึง 9% ก็ได้

โดยหลักการ ส่วนต่างของดอกเบี้ยในประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้นแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนเท่าใด ย่อมหมายถึงภาระดอกเบี้ยที่ผู้บริโภคต้องแบกรับเพิ่มเติม จากการก่อหนี้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน รถยนต์ บัตรเครดิต หรือ สินเชื่อส่วนบุคคล

นี่คือ ความเสี่ยงที่พึงระวังในยุคน้ำมันแพงและการเมืองไม่นิ่ง

อย่างไรก็ตาม มุมมองเหล่านี้เป็นเพียงการคาดการณ์ถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งมาจากการประเมินความเป็นไปได้จากปัจจัยลบต่างๆ ที่มีอยู่ในประเทศ และแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกประเทศ (external factors) ซึ่งปัจจุบัน ตัวหลักมีอยู่ 3-4 ปัจจัย ได้แก่ อัตราดอกเบี้ย น้ำมัน ทองคำ และค่าเงินดอลลาร์

น่าสนใจว่า ปัจจัยลบทั้ง 4 ประการนี้ มีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก บางตัวก็เชื่อมโยงกันโดยตรง บางตัวก็เชื่อมโยงกันทางอ้อม

ยกตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐ กับน้ำมันโลก เฟดจำเป็นต้องขยับดอกเบี้ยเงินกู้ชั่วข้ามคืน (federal fund rate) ขึ้นไปอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบมากกว่า 5 ปี เพราะต้องการควบคุมความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันในประเทศที่แพงลิ่วขึ้น ตามแรงฉุดดึงของราคาน้ำมันดิบโลก

ราคาน้ำมันดิบโลกในขณะนี้อยู่ที่ระดับ 72.86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (ช่วงเช้าของวันที่ 12 พ.ค.) ปรับตัวลงเล็กน้อยจากระดับปิดของวันก่อนหน้าที่อยู่ที่ 73.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐ (CPI) ซึ่งสะท้อนแรงกดดันของเงินเฟ้อ อยู่ที่ระดับ 3.1% เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้วที่อยู่ที่ 2.9%

ทิศทางของราคาน้ำมันดิบโลกยังผูกติดกับตัวแปรใหญ่ๆ อย่างการเผชิญหน้าระหว่างชาติตะวันตกและอิหร่าน อันเนื่องมาจากโครงการนิวเคลียร์ที่อิหร่านยืนกรานจะไม่ล้มเลิก รวมถึงตัวแปรที่มีผลต่อการผลิตน้ำมันออกสู่ตลาดโลก ซึ่งก็รวมถึงปัญหาความไม่สงบในไนจีเรีย และการตัดสินใจของรัฐบาลโบลิเวีย

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตอยู่เหมือนกันว่า ในช่วงเวลานี้ในทุกครั้งที่ราคาน้ำมันขยับขึ้นในระดับสูง และกดดันให้เทรนด์ดอกเบี้ยขยับขึ้นด้วยนั้น มีปัจจัยตัวอื่นๆ เคลื่อนไหวอย่างสัมพันธ์กัน อีกอย่างน้อย 2 ตัว คือ ทองคำ และค่าเงินดอลลาร์

โดยเฉพาะทองคำ ซึ่งทำสถิติสูงสุดในรอบ 25 ปีระดับใหม่ไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมาเช่นกัน โดยทะยานทะลุหลัก 700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขึ้นไปปิดสูงสุดที่ 721.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์อย่างรวดเร็ว (11 พ.ค.) เพิ่มจากระดับปิดของวันก่อนหน้าที่ 707.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ในความเป็นจริง เมื่อธนาคารกลางสหรัฐขยับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้น ดอลลาร์ควรจะ แข็งค่าขึ้น เพราะการขึ้นดอกเบี้ยทำให้ดอลลาร์น่าจูงใจให้ลงทุนในสายตาของนักลงทุนทั่วโลก แต่สถานการณ์กลับเป็นว่า ทองคำยังคงทะยานขึ้นอยู่

ตรงนี้นักวิเคราะห์ในต่างประเทศตีความว่า สาเหตุมาจาก 2 ส่วน โดยส่วนแรกคือ ทองคำยังเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยมากกว่าตลาดอัตราแลกเปลี่ยน

อีกส่วนหนึ่งดูที่คำชี้แจงหลังขึ้นดอกเบี้ยของเฟด สาระสำคัญที่ออกมาบอกความเป็นไปได้ 2 ทาง คือ

ทางหนึ่ง เฟดอาจจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยชั่ว คราว เพื่อประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจของการขึ้นดอกเบี้ยไปถึง 16 ครั้ง เมื่อโอกาสที่เฟดจะตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 5% มีสูง โดยเฟดอาจจะทิ้งช่วง ไม่ดำเนินการใดในช่วงที่มีการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินสักครั้ง หรือสองครั้ง แนวโน้มดังกล่าวเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก ซึ่งจะมีผลกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงอีกครั้ง

อีกทางหนึ่ง คำชี้แจงของเฟดได้เปิดช่องไว้เช่นกันว่า ถ้าจำเป็นจะต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อขจัดภัยคุกคามของเงินเฟ้อ ก็ต้องทำ ตรงนี้มีการตีความว่า หากเทรนด์น้ำมันยังขึ้นอยู่ที่ระดับปัจจุบัน หรือสูงกว่านั้นต่อไป ก็เป็นไปได้ว่า การประชุมในวันที่ 29 มิ.ย เฟดอาจขยับดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.25%

เพราะมีสัญญาณจากตลาดล่วงหน้าว่า ตอนนี้สัญญาฟิวเจอร์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐขยับขึ้นไปรอแล้ว เพราะเทรดเดอร์เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ถึง 40% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยแน่

การคาดคะเนอย่างหลังถือเป็นข่าวดีสำหรับดอลลาร์ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นค่าเงินสหรัฐแข็งค่า ทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ ทั้งเมื่อเทียบกับเงินเยน และเงินยูโร หลังเฟดปรับดอกเบี้ยแล้ว

เพียงแต่ดอลลาร์อาจแข็งค่าไปได้ไม่ไกลนัก เพราะดอลลาร์มีปัจจัยขาประจำที่ผูกติดอยู่ นั่นคือ ปัญหาการขาดดุลแฝดของสหรัฐ โดยมีความเป็นไปได้ว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าเดือนมีนาคมที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะประกาศออกมาเร็วๆ นี้จะโชว์ยอดสูงถึง 67 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 65.7 พันล้านดอลลาร์ของเดือนก่อน

ดังนั้น หากดอลลาร์ต้องอ่อนค่าลงอีกครั้ง เพราะปัจจัยลบของการขาดดุลการค้า จะไม่เป็นผลดีนักต่อค่าเงินในเอเชีย ซึ่งก็รวมถึงเงินบาทของไทย เพราะการอ่อนค่าของดอลลาร์จะทำให้เงินสกุลคู่ค้าอื่นๆ ต้องแข็งค่าขึ้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งหากแข็งค่ามากเกินไป ธนาคารกลางก็จะต้องเข้าไปแทรกแซงตลาด กว้านซื้อดอลลาร์ เพื่อไม่ให้เงินสกุลหลักของประเทศแข็งค่ามากไป เพราะจะกระทบต่อการส่งออก เท่ากับซ้ำเติมเศรษฐกิจที่เผชิญปัญหาจากดอกเบี้ยสูงและเงินเฟ้อพุ่งจากปัญหาน้ำมัน แพง

แต่สถานการณ์เช่นนี้ จะยิ่งทำให้ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกคงอยู่ และเป็นปัจจัยสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลกต่อไป ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยง เศรษฐกิจของทุกประเทศก็เสี่ยงเช่นกัน เพียงแต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการ เตรียมความพร้อมรับมือของแต่ละประเทศเช่นกัน
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#8 วันที่: 15/05/2006 @ 08:46:12 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3792 (2992)

จากเชลล์ ถึง ปตท. 13 ปี กับการสะสางหนี้ RRC

การปรับโครงสร้างหนี้ บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC มูลค่า 1,335 ล้านเหรียญ ในเดือนพฤศจิกายน 2547 โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในเดือนพฤศจิกายน 2547 ด้วยการเข้ามารับซื้อหุ้นร้อยละ 64 จากบริษัทเชลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง ทำให้บริษัท ปตท.เข้ามาถือหุ้นในโรงกลั่นนี้ 100% ส่งผลให้ปัจจุบัน RRC มีหนี้เหลืออยู่เพียง 600 ล้านเหรียญ (ประมาณ 23,783 ล้านบาท) เท่ากับว่าในระยะเวลาแค่ 1 ปี ภายใต้การบริหารจัดการหนี้ของ ปตท. ลงโรงกลั่นแห่งนี้ได้รอดพ้นจากภาวะการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง พลิกฟื้นกิจการกลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง

ผลดีของการขายโรงกลั่นน้ำมันระยอง หรือ RRC ให้กับบริษัท ปตท.อีกประการหนึ่งก็คือ ความสามารถในการเชื่อมโยงธุรกิจการกลั่นน้ำมันเข้ากับโครงการปิโตรเคมีขั้นต้น ที่ ปตท.มีฐานการผลิตอยู่แล้ว โดย RRC ตกลงที่จะร่วมขยายกำลังการผลิตด้วยการก่อสร้างโครงการ Reforming Complex กับ Upgrading Complex มูลค่าการลงทุน 560 ล้านเหรียญสหรัฐ ผลิตสารรีฟอร์เมตส่งต่อให้บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ATC ที่มีแผนจะขยายการสร้าง Aromatics Complex เพิ่มขึ้น

โครงการเหล่านี้จะช่วยทำให้ RRC สามารถผลิตน้ำมันเบนซิน-ดีเซล และน้ำมันอากาศยาน เพิ่มขึ้นได้อีกประมาณ 65,000 บาร์เรล/วัน เมื่อโครงการนี้แล้วเสร็จในปี 2551 โรงกลั่นน้ำมัน RRC จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในภาพรวมทั้งหมด 210,000 บาร์เรล/วัน จากเดิมที่ผลิตได้ 145,000 บาร์เรล/วัน เมื่อประเมินผลตอบแทนต่อการลงทุน หรือ IRR จากการลงทุนเหล่านี้อยู่ที่ร้อยละ 15

เพื่อรองรับการลงทุนที่จะต้องใช้เงินเพิ่มขึ้น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ถือหุ้นในโรงกลั่นน้ำมัน RRC 100% ได้ตัดสินใจที่จะกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้กับนักลงทุนรายย่อยจำนวน 1,397 ล้านหุ้น แบ่งเป็น นักลงทุนสถาบันภายในประเทศ 220 ล้านหุ้น และประชาชนทั่วไปอีก 690 ล้านหุ้น ในราคาเบื้องต้นหุ้นละ 18-23 บาท ผ่านทางธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ในระหว่างวันที่ 18-19 พฤษภาคมนี้ โดยผลจากการขายหุ้นให้กับนักลงทุนรายย่อยดังกล่าว ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท.ใน RRC ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 45-49.99

ด้านนายชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง กล่าวว่า ธุรกิจการกลั่นน้ำมันในช่วงที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ค่าการกลั่นเฉลี่ยในช่วง 3 ปี (2546-2548) ของ RRC ที่ผ่านมาอยู่ที่ 7 เหรียญ 8 เซนต์/บาร์เรล ในปีที่ผ่านมา RRC มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 140,000 ล้านบาท ในทุกผลิตภัณฑ์ของ RRC และกำไรสุทธิเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2549 อยู่ที่ 2,337 ล้านบาท

บริษัทมีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลถึงร้อยละ 30 ของกำไรที่ได้ทันทีในช่วงปี 2550 นี้ และเมื่อมองถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในปัจจุบันเชื่อว่ายังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ค่าการกลั่นยังอยู่ที่ระดับ 4-6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลต่อไป จากปัจจุบันที่ ค่าการกลั่นของ RRC อยู่ที่ 4 เหรียญ/บาร์เรล

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื่อว่าปีนี้ margin ของบริษัทจะเพิ่มมากกว่าปี 2548 ที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 10 จากการส่งน้ำมันและผลิตภัณฑ์ให้กับ ปตท.ในสัดส่วนร้อยละ 70 ของกำลังการผลิตทั้งหมด

สำหรับการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC กับบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC นั้น นายชายน้อยกล่าวว่า ยังต้องศึกษาถึงความเหมาะสมบนพื้นฐานที่ว่า ทั้ง 2 โรงกลั่นจะสามารถ synergy ในการผลิตระหว่างกัน ได้หรือไม่

จากปัจจุบันที่ทั้ง 2 โรงกลั่นใช้วิธีดำเนินการภายใต้ข้อตกลง Operating Alliance Agreement ร่วมกัน ทั้งการจัดหาน้ำมันดิบและการขายผลิตภัณฑ์ผ่านทางบริษัท ARC แต่แผน ดังกล่าวมีขึ้นในภาวะที่โรงกลั่นน้ำมันทั้ง 2 ประสบการขาดทุนในอดีต แต่ในอนาคตสถานการณ์ ได้เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการ Reforming Complex-Upgrading Complex ที่จะส่งผลให้ RRC มีรายได้เพิ่มขึ้น

ส่งผลให้ทั้ง RRC กับ SPRC ตัดสินใจที่จะยกเลิกข้อตกลง Operating Alliance กันในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2552
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#9 วันที่: 15/05/2006 @ 08:47:22 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
ยางดันสัญญา AFET พุ่งเกินพัน/วัน

นางนภาภรณ์ คุรุพสุธาชัย กรรมการผู้จัดการ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ค.2549 AFET มีปริมาณการซื้อขายรวมทั้งตลาด จำนวน 1,058 สัญญา มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 414,536,000 บาท ซึ่งเป็นการสร้างสถิติใหม่ (new high) สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เปิดซื้อขายมา และสูงสุดในรอบปี 2549 โดยซื้อขายสัญญาล่วงหน้า ยางแผ่นรมควันชั้น 3 เป็นสินค้าที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุด รองลงมาคือ น้ำยางข้น

สาเหตุที่ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทและเงินเยน รวมทั้งราคาน้ำมัน ตลอดจนความต้อง การใช้ยางพาราในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการในจีนที่ปรับตัวสูงมากขึ้น
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#10 วันที่: 15/05/2006 @ 08:48:25 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3792 (2992)

แค่ก-แค่ก ไอทีวี
คอลัมน์ มาร์เก็ตติ้ง

โดย สรกล อดุลยานนท์

เห็นข่าว ไอทีวี วันนี้แล้ว นึกถึงช่อง 3 และเหล้าแม่โขง

เพราะกิจการทั้งสองเคยเผชิญปัญหาแบบเดียวกันกับ ไอทีวี มาแล้ว นั่นคือ ปัญหาค่าสัมปทานสูงและขาดทุนสะสม

เรื่องนี้ต้องย้อนตำนานไปประมาณเกือบ 20 ปี

ช่อง 3 ก่อนที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯก็มีปัญหาคล้ายๆ กับ ไอทีวี คือ ค่าสัมปทานสูงกว่า กำไร จากผลประกอบการ

ต้องเจรจากับรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หลายรอบ ทั้งเรื่องการต่อสัญญาและการลดค่าสัมปทาน

เช่นเดียวกับ เจริญ สิริวัฒนภักดี ที่ใช้ กลยุทธ์ประมูลสัมปทานเหล้าแม่โขงในราคาสูง แล้วขอเจรจาลดค่าสัมปทานในภายหลัง

ส่วน ไอทีวี นั้น จำได้ว่าตั้งแต่แบงก์ไทยพาณิชย์ประมูลได้ในครั้งแรก

คนในแวดวงทีวีก็ร้อง โอ้โฮ ด้วยความตกใจ เพราะค่าสัมปทานที่เสนอไปสูงมาก

สูงจนนึกไม่ออกว่าจะทำกำไรได้อย่างไร

ในขณะที่ช่อง 3 จ่ายค่าสัมปทานเพียงปีละ 130 ล้านบาท

ช่อง 7 จ่ายปีละ 150 ล้านบาท

แต่ ไอทีวี ต้องจ่ายปีแรก 300 ล้านบาท เป็นขั้นบันไดไปถึงปีละ 1,000 ล้านบาท

ลองวิเคราะห์ในทางธุรกิจดูสิครับ

ต้นทุนค่าสัมปทานของไอทีวีสูงกว่าช่อง 3 และช่อง 7 ประมาณ 6-7 เท่า

ในขณะที่ฐานคนดูช่อง 3 และ 7 ก็มากกว่าไอทีวีเกินครึ่ง และไม่มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นรายการสาระในช่วงไพรมไทม์

รายได้จากโฆษณาช่อง 3 ปี 2548 ได้ 4,900 ล้านบาท สูงกว่า ไอทีวี ที่ได้เพียง 2,300 ล้านบาท

แบบตัวเลขเห็นกันชัดๆ แบบนี้แล้ว ใครที่เป็นนักลงทุนก็ต้องอึ้งกันทั้งนั้น

อึ้งแบบตั้งคำถามด้วยว่าทำไมเสนอค่าสัมปทานสูงขนาดนี้

แต่เมื่อได้สิทธิ์นี้มาแล้ว จะให้รัฐเปลี่ยนแปลงตัวเลขลดค่าสัมปทานลงมาก็ถือว่าไม่เป็นธรรมกับผู้ประมูลรายอื่น

ปัญหาเรื่องนี้จึงเป็นปัญหาโลกแตกเหมือนตอนแก้สัญญาช่อง 3 และสัมปทานเหล้าแม่โขง

แก้ไขให้ภาคเอกชนก็โดนด่า

ไม่แก้สัญญา เอกชนก็เจ๊ง

การที่ศาลปกครองกลางตัดสินให้ ไอทีวี แพ้ จะต้องกลับมาจ่ายค่าสัมปทาน 1,000 ล้านบาทเหมือนเดิม ทำให้เชื่อกันว่า ไอทีวี ต้องหานักลงทุนรายใหม่มาแทน ชินคอร์ป

เพราะ ชินคอร์ป วันนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่คือ เทมาเส็ก ของ สิงคโปร์

โทรทัศน์ของประเทศไทย แต่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นต่างชาติ

ถ้าจะต้องแก้สัญญาหรือทำอะไรเพื่อช่วย ไอทีวี

คนไทยรับไม่ได้หรอกครับ

ถามว่าแล้วใครจะมาซื้อหุ้น ไอทีวี

ตอนนี้ราคาหุ้น ไอทีวี เหลือประมาณ 5.40 บาท

ชินคอร์ปถือหุ้นใหญ่อยู่ 52% หรือประมาณ 638 ล้านหุ้น

ซื้อวันนี้ใช้เงินประมาณ 3,500 ล้านบาท

แต่มีค่าสัมปทานที่ค้างชำระอีก 2,010 ล้านบาท

คนที่จะมาซื้อหุ้น ไอทีวี วันนี้ต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ

ประการแรก ต้องมีเงินหนาพอ ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท

ประการที่สอง ต้องมีศักยภาพในการแก้ไขสัญญาลดค่าสัมปทานได้

สอดส่ายสายตาไปทั่วปฐพีแล้ว วันนี้ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแค่ 2 ราย

รายแรก คือ เจริญ สิริวัฒนภักดี

ถ้าเขากระจายหุ้นเบียร์ช้างหรือ ไทยเบฟฯ ในตลาดหุ้นสิงคโปร์สำเร็จ

เจริญ จะมีเงินสดในมือหลายหมื่นล้าน

แค่ 5-6,000 ล้านบาท เล็กน้อยครับ

ขนาดซื้อหุ้น โออิชิ 3,000 ล้านบาท ยังใช้เวลาเจรจาไม่ถึงชั่วโมงเลย

5-6,000 ล้าน คงคุยกับ บุญคลี ปลั่งศิริ หรือตัวแทนเทมาเส็กสัก 2 ชั่วโมง

และที่สำคัญ เจริญ คือคนที่มีบารมีทางการเมืองสูงมาก

ในฐานะ ผู้ให้ แก่ทุกพรรคการเมือง

นอกจากนั้น ยังประสบการณ์ในการแก้ไขสัญญาสัมปทานเหล้ากับรัฐบาลมาแล้วในอดีต

เรื่องแบบนี้ธรรมดามากสำหรับ เจริญ

ปัญหาจึงอยู่ที่ เจริญ จะเห็นศักยภาพของ ไอทีวี แค่ไหน

และจะหา มืออาชีพ รายใดเข้ามาช่วยบริหาร ไอทีวี

รายที่สอง คือ อสมท

มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ประสบความสำเร็จจากการพลิกโฉม โมเดิร์นไนน์ ชนิดที่ทั้งคนในและคนนอกต้องปรบมือให้

บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ตอนนี้มีมาร์เก็ตแคปประมาณ 20,000 ล้านบาท

มีเงินสดในมือประมาณ 3,000 ล้านบาท

จะเพิ่มทุนหาเงินสัก 4-5,000 ล้านบาท ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

เรื่อง เงิน สำหรับ อสมท จึงไม่ใช่ปัญหา

ส่วนเรื่อง ฝีมือ ยี่ห้อ มิ่งขวัญ ก็รับประกันคุณภาพได้

แต่ที่สำคัญ อสมท มีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ กระทรวงการคลัง 77%

การแก้สัญญาลดค่าสัมปทาน ก็คล้ายๆ ย้ายเงินจากกระเป๋าซ้ายเข้ากระเป๋าขวา

นี่คือจุดได้เปรียบของ อสมท ที่จะสามารถแก้ เดดล็อก ทางธุรกิจของ ไอทีวี

แต่ในทางกลับกัน ประเด็นที่ อสมท อาจถูกวิจารณ์ได้ก็คือ การมีโทรทัศน์อยู่ในมือถึง 2 สถานี

แม้ มิ่งขวัญ จะฝีมือดี หรือเจตนาดี อย่างไร

แต่ก็ต้องฝ่าคำวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้อย่างแน่นอน

จับตา ไอทีวี ให้ดี ไม่เกินสิ้นปีนี้

เปลี่ยนมือแน่นอนครับ
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#11 วันที่: 15/05/2006 @ 08:49:17 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3792 (2992)

ซีเอสฯยื่นขอไลเซนส์ไอเอสพีประเภท2ซีเอส ล็อกซอินโฟไม่ร่วมเล่นเกมดัมพ์ราคาบรอดแบนด์ ยันเน้นลูกค้ากลุ่มองค์กรและคอนซูเมอร์ไฮเอนด์ พร้อมเดินหน้ายื่นขอไลเซนส์ ทั้งอินเทอร์เน็ตประเภท 2 เกตเวย์และ last mile

นายอนันต์ แก้วร่วมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากภาพรวมของธุรกิจอินเทอร์เน็ตที่แข่งกันลดราคาอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ลงมา แต่ซีเอสฯจะไม่ลงมาเล่นตรงนี้เพราะกลุ่มลูกค้าของซีเอสฯจะเป็นระดับไฮเอนด์ โดยค่าบริการของซีเอสฯยังอยู่ที่ 690 บาทต่อเดือน แม้ว่าจะมีลูกค้าน้อยกว่าแต่ก็ได้กำไรแน่นอน นอกจากนี้ซีเอสฯจะโฟกัสในส่วนของลูกค้ากลุ่มองค์กรเป็นหลัก โดยรายได้มากกว่าครึ่งของซีเอสฯมาจากกลุ่มลูกค้าองค์กร

โดยไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทมีรายได้รวม 590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เป็นรายได้ที่มาจากธุรกิจอินเทอร์เน็ตและบริการเสริม 363 ล้านบาท และจากธุรกิจหน้าเหลืองและบริการเสริม 227 ล้านบาท ในส่วนของบริการอินเทอร์เน็ตก็แบ่งเป็นรายได้จากบริการลีสไลน์ 56% บรอดแบนด์ 22% และการเชื่อมต่อเน็ตแบบปกติ (ไดอัลอัพ) 22% ซึ่งลดลงจากไตรมาสที่แล้วที่มีสัดส่วน 25% โดยมีจำนวนลูกค้าลดลงคิดเป็น 6%

ขณะที่รายได้จากการให้บริการอินเทอร์เน็ตไดอัลอัพในไตรมาสแรกอยู่ที่ 74 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 31 ล้านบาท หรือลดลงในอัตราร้อยละ 30 โดยมีจำนวนลูกค้าลดลงคิดเป็น 6% สาเหตุหลักมาจากการที่ลูกค้าบางส่วนได้เปลี่ยนไปใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแทน

การที่บรอดแบนด์โตขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลโดยตรงต่อการลดลงของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไดอัลอัพ ซึ่งตรงนี้ไม่ห่วงเท่าไหร่เพราะจะลดลงจนกระทั่งถึงระดับหนึ่งแล้วก็จะนิ่ง ซึ่งแม้แต่ในยุโรปหรืออเมริกาก็ยังมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไดอัลอัพเหลืออยู่ประมาณ 20% ของจำนวนประชากรผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมด

ส่วนภาวะน้ำมันแพงน่าจะส่งผลดีสำหรับธุรกิจอินเทอร์เน็ตในระดับหนึ่ง เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นทางเลือกของการใช้แทนน้ำมัน ในขณะที่ผู้คนยังต้องการติดต่อสื่อสารกันเป็นปกติ แต่ต้องการเดินทางน้อยลง ในขณะที่บางกลุ่มที่เห็นว่าอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยก็จะตัดค่าใช้จ่ายตรงนี้แทน ซึ่งจะมีผลทำให้การเติบโตของอินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับไม่ถึง 10%

ตอนนี้ทางซีเอสฯก็อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการ อินเทอร์เน็ตเกตเวย์ประเภทที่ 2 รวมถึงขออนุญาตในการลากสายไปหาผู้ใช้บริการ (last mile) ซึ่งตามหลักแล้วถ้าขอได้ครบก็จะเป็นผลดีในการบริหารจัดการ เพราะจะทำให้ซีเอสฯได้เป็นผู้ให้บริการลูกค้าทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ

นายอนันต์กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 61 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิจากธุรกิจอินเทอร์เน็ต 31 ล้านบาท และจากธุรกิจหน้าเหลือง 30 ล้านบาท โดยในส่วนของธุรกิจสมุดหน้าเหลือง รวมทั้งในส่วนของบริการเสริม คอลเซ็นเตอร์ 1188 ที่ให้บริการข้อมูลของสินค้าและบริการจากสมุดหน้าเหลืองและเว็บไซต์ yellowpages.co.th ยังมีการเติบโตในอัตราที่น่าพอใจ และในเร็วๆ นี้จะนำคอนเทนต์ดังกล่าวมาต่อยอดธุรกิจออนไลน์ต่อไป
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#12 วันที่: 15/05/2006 @ 08:50:13 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3792 (2992)

จัดสรรในตลาดหุ้นฟันยอดแสนล. 11บริษัทโตเร็ว-แลนด์ฯกินรวบ

วิเคราะห์ยอดขายบริษัทอสังหาฯทั้งระบบ บัณฑิต จุลาสัย ชี้ผลประกอบการบริษัทพัฒนาที่ดินในตลาดหุ้น 24 รายเมื่อปี 2548 โดดเด่นกว่าปี 2547 ถึง 11% รวมรายได้แล้วมีมากถึง 92,000 ล้านบาท เผย แลนด์ & เฮ้าส์ ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึง 23,900 ล้าน ตามติดด้วยน้องใหม่มาแรง แสนสิริ ที่ขี่แซง คิวเฮ้าส์-พฤกษาฯ-เพอร์เฟคฯ- เอเชี่ยนฯ ส่วนกลุ่มที่ทำยอด 2,000 ล้านบาท มี ลลิลฯ-โกลเด้นแลนด์-โนเบิลฯ-มั่นคงฯ-ปริญสิริ ฟันธงธุรกิจนี้อยู่ในมือรายใหญ่เพียง 11 บริษัท ฮุบมาร์เก็ตแชร์เกิน 25%

รศ.ดร.บัณฑิต จุลาสัย ภาควิชาสถาปัตยกรรม ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผย ประชาชาติธุรกิจ ว่า จากการประเมินและวิเคราะห์ตัวเลขผลประกอบการประจำปี 2548 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นจำนวน 24 บริษัท พบว่ามีรายได้สูงกว่าปี 2547 ถึง 11% จากยอดรวม 92,066 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30%

แม้ว่าในปีที่ผ่านมาทุกธุรกิจจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย ความไม่สงบจากปัญหาการเมือง ความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ เหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิ ฯลฯ ล้วนเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้อัตราการขยายตัวของธุรกิจโดยรวมลดลงและไม่คึกคักเท่าที่ควร

แต่วิเคราะห์เนื้อแท้แล้ว ปรากฏว่ายอดขายบ้านปีที่แล้วดีขึ้น ผมเข้าใจว่า ดีมานด์หรือความต้องการซื้อบ้านยังมีอยู่มาก เราจึงเห็นหลายรายประกาศขึ้นโครงการโครมๆ รศ.ดร.บัณฑิตกล่าวและว่า

โดยชี้ว่าเหตุผลที่เป็นปัจจัยหลักทำให้ตลาดซื้อขายบ้านดีดตัวสูงขึ้น น่าจะมาจากองค์ประกอบ 3 ข้อคือ 1.ที่ผ่านมามีบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่ได้เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯเพิ่มขึ้นถึง 3 ราย คือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) ที่ผ่านกระบวนการฟื้นฟูสามารถกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง 2.เป็นยอดขายของผู้ประกอบการตั้งแต่ปีก่อน และมีบางส่วนที่นำมารับรู้รายได้ในปี 2548 โดยเฉพาะโครงการอาคารชุดพักอาศัยหรือคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาดำเนินการนาน 2-3 ปี ทั้งการพัฒนาโครงการ การขออนุญาตทางราชการ การก่อสร้าง และการรับโอนของผู้ซื้อ

และ 3.หลายบริษัทได้ปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินธุรกิจใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะการของตลาดที่แท้จริง เพิ่มความยืดหยุ่นในการทำธุรกิจมากขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดในอนาคต เช่น หันมาเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่มาจากค่าเช่าแทน หรือขายโครงการให้กับกองทุนอสังหาริมทรัพย์นำไปหารายได้ต่อไป

ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้ยอดรายได้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหุ้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา สวนกระแสเศรษฐกิจโดยรวมที่ไม่ค่อยสดใสนัก

แต่ต้องยอมรับว่า ปัจจัยลบหลายด้านไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบางโครงการที่ขายดี เพราะสินค้าใหม่ที่ออกมาถูกใจผู้บริโภคชนชั้นกลาง โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์กลางเมืองและคอนโดฯเกาะแนวรถไฟฟ้า ส่วนบ้านเดี่ยวราคาแพงนั้นเริ่มมีปัญหาทั้งยอดขายและยอดผู้เข้าชมโครงการน้อยลงมาก

เผย 10 บริษัทพัฒนาที่ดินรายได้สูงสุด

รศ.ดร.บัณฑิตกล่าวว่า เป็นที่น่าสังเกตอีกว่า บริษัทพัฒนาที่ดินที่มีรายได้สูงสุดที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด 10 อันดับแรกในตลาดขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นหลัก (ดูตารางประกอบ) โดยบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ‰าส์ จำกัด (มหาชน) ทำรายได้สูงสุดเกือบ 23,923 ล้านบาท เท่ากับ 1 ใน 4 ของรายได้รวมทุกบริษัท รองลงมาคือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มียอดรายได้กว่า 10,517 ล้านบาท เท่ากับ 1 ใน 10 ของรายได้รวมทุกบริษัท

สำหรับบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทลูกแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) อยู่ในอันดับ 3 และ 4 ทำรายได้ใกล้เคียงกันคือ 8,042 และ 7,634 ล้านบาท คิดเป็น 8% ของรายได้รวมทุกบริษัท อันดับ 5 และ 6 มีรายได้ใกล้เคียงกัน คือ 5,788 และ 5,413 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)

กลุ่มถัดมามีรายได้ประมาณ 3,500 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 3,582 ล้านบาท และบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) 3,503 ล้านบาท ซึ่งจัดอยู่ในลำดับที่ 7 และ 8 ตามลำดับ

สำหรับบริษัทที่มีรายได้อยู่ในกลุ่ม 2,000 ล้านบาท มี 5 บริษัท ได้แก่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) 2,764 ล้านบาท, บริษัท แผ่น

ดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) 2,722 ล้านบาท, บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 2,528 ล้านบาท, บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) 2,371 ล้านบาท และบริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) 2,325 ล้านบาท และเมื่อรวมรายได้ของทุกบริษัทดังกล่าวทั้ง 13 บริษัท พบว่ามียอดรวมรายได้มากกว่า 81,119 ล้านบาท คิดเป็น 88% ของรายได้ทุกบริษัทรวมกัน ส่วน 11 บริษัทที่เหลือล้วนเป็นบริษัทขนาดเล็ก มีรายได้รวมกันเพียง 10% ของยอดรายได้รวม

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ตลาดอสังหา ริมทรัพย์ของไทยในปัจจุบันอยู่ในมือของบริษัทขนาดใหญ่เพียง 11 บริษัทเท่านั้น โดยบริษัทที่มีรายได้สูงสุดนั้น มีส่วนแบ่งในตลาดถึง 25% และบริษัทที่มีรายได้รองลงมาเป็นอันดับสองนั้นมีส่วนแบ่งในตลาดอีก 10%
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#13 วันที่: 15/05/2006 @ 08:51:17 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3792 (2992)

หนังโฆษณา แสนสิริ การตลาดแนวใหม่ คู่รัก คือเป้าหมาย

สัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าย แสนสิริ สร้างมูฟเมนต์การตลาดได้อย่างน่าทึ่ง !

ไม่ใช่แค่ยึดโรงหนังขวัญใจคนรุ่นใหม่ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ บนชั้น 5 ในห้างสยามพารากอน เพื่อเปิดตัวหนังโฆษณาชุดใหม่เท่านั้น

สื่อมวลชนกว่า 30 ชีวิตยังได้มีโอกาสสัมผัสและรับรู้รสชาติของความแปลกใหม่ไปด้วย

โดยเฉพาะการสร้างบรรยากาศร่วมดึงอารมณ์ความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ให้คิดคล้อยตามและกระตุ้นความต้องการให้ คู่รัก ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่คิดอยากสร้างครอบครัวใน บ้าน หลังใหม่ตัดสินใจซื้อบ้านเร็วขึ้น

ท่ามกลางภาวะตลาดอสังหา

ริมทรัพย์ชะลอตัวลง เพราะพิษภัยจากการเมืองและเศรษฐกิจขาลง

การเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาขายบ้านหรูในโครงการใหม่ล่าสุด เศรษฐสิริ ประชาชื่น จึงชื่นมื่นไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุขที่จับต้องได้

ถึงขั้นยอมควักกระเป๋าซื้อที่นั่งโรงหนังใบละ 600 บาทให้แขก วี.ไอ.พี.เต็มอิ่มกับบรรยาการที่ดูดีและมีสไตล์ไม่ซ้ำใคร

เช่น บริเวณด้านนอก (หน้าโรงหนัง) ทีมการตลาดแสนสิริได้จำลองบรรยากาศอันแสนโรแมนติก ทุกอย่างตกแต่งด้วยธีม (theme) คู่รัก มีคู่บ่าว-สาวเป็นพรีเซ็นเตอร์ควงคู่ถ่ายรูปกับแขก

เหรื่อ หน้าซุ้มประตูมีดอกไม้สีขาวประดับประดาเต็มไปหมด ผสมกับเสียงบรรเลงของไวโอลินและแซกโซโฟน ชวนให้เคลิบเคลิ้มรัญจวนใจอย่างบอกไม่ถูก

แม้สื่อ (บางคน) ที่ครองความเป็นโสดมานานยังแอบแวบคิดอยาก หาคู่ แต่งงานแล้วซื้อบ้านในตอนนั้นเลย

หากวิเคราะห์ในแง่มุมของการทำตลาดแนวใหม่ ถือว่า แสนสิริ กำลังเดินมาถูกทางและสามารถฉีกรูปแบบวิธีการขายบ้านแบบเดิมๆ ได้หลายช่วงตัว

โดยเลือกใช้สถานที่ สยามสแควร์-พารากอน จัด event สร้างแรงขับเคลื่อน เจาะกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด

เป็นกลยุทธ์เหนือชั้นที่คู่แข่งยักษ์อสังหาฯมองตาไม่กะพริบ !

อย่างน้อยการยิงปืนนัดเดียวในครั้งนี้ของ แสนสิริ กลับได้ทั้งยอดขายและตอกย้ำ

แบรนด์ ให้แกร่งขึ้นในคราเดียว

ยิ่งสังเกตความตั้งใจของ เศรษฐา ทวีสิน

เอ็มดีบริษัทที่เป็นโต้โผในงานด้วยแล้ว บอกได้เลยว่า เด็ดขาด และ สะใจ มาก

เสี่ยนิด พกพาความมั่นใจในมาดกึ่งๆ นายแบบ เสื้อเชิ้ต กางเกงยีน เขาตั้งใจปล่อยชายเสื้อแล้วสวมทับด้วยสูทสีน้ำตาลให้ความรู้สึกรีแลกซ์แต่มีรสนิยม โดยเฉพาะรองเท้าผ้าใบหุ้มส้นสีแดงสดเป็นเครื่องแต่งกายชิ้นล่างสุดที่กระชากใจคนดูได้มาก ราวกับเป็นพระเอกในเรื่องแทน

เขาเล่าว่า เศรษฐสิริ-ประชาชื่น มีมูลค่าโครงการสูงถึง 6,385 ล้านบาท เพราะมีเนื้อที่ที่กว้างใหญ่ถึง 212 ไร่ บ้านใหม่ทั้ง 500 ยูนิตจะอยู่ท่ามกลางทะเลสาบใหญ่บึ้มขนาด 20 ไร่ ซึ่งเป็นจุดขายตามหลักฮวงจุ้ย ที่สำคัญบ้านทุกหลังยังโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ล้ำสมัยสามารถตอบโจทย์ลูกค้าคนรุ่นใหม่ได้ 100%

เมื่อวัดแรงตอบรับก่อนวันเปิดแกรนด์โอเพนนิ่ง 11-14 พฤษภาคม ยอดพรีเซลเฟสแรกแค่ 2 เดือนแสนสิริก็กวาดยอดขายไปแล้วเกิน 80% จาก 239 ยูนิต

ค่ายนี้จึงไม่รอช้ารีบเปิดเฟสใหม่ทันทีเป็นเฟสที่สองโซนด้านหน้าใกล้ทะเลสาบ

ผมขับรถเข้ามาดูที่ดินแปลงนี้ด้วยตัวเอง เมื่อเช็กสภาพและบรรยากาศโดยรอบในทุกช่วงเวลาแล้ว ผมแน่ใจว่าที่นี่เหมาะกับทำบ้านจัดสรรในบรรยากาศแบบโรแมนติก เศรษฐาอธิบาย

อาจเป็นเพราะพื้นที่โครงการและทะเลสาบที่กว้างใหญ่ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นและมีสิ่งแวดล้อมที่ดีมีคุณภาพ บอสใหญ่แสนสิริเชื่อว่า ชนชั้นกลางที่อยากได้บ้านหลังใหม่คงอยากสร้างครอบครัวให้มีความสุขที่นี่

ทั้งหมดได้สะท้อนผ่านหนังโฆษณาที่เห็นตาม ทีวีมาแล้วในช่วงนี้ โดยนำเสนอแนวคิดของชีวิตคู่ที่ผ่านการดำเนินชีวิตด้วยกันมาระยะหนึ่ง ถึงวันหนึ่งชีวิตคู่เริ่มรู้สึกถึงความห่างเหินจากความเห็นที่ขัดแย้งและแตกต่าง

แต่ด้วยพื้นฐานครอบครัวที่ผูกพันกันด้วยความรัก ความเข้าใจ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดีของบ้านที่อยู่อาศัย ที่มีจุดเริ่มต้นของการก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกัน ทำให้ทั้งคู่นึกถึงอดีตที่ผูกพันของกันและกัน จนสุดท้ายก็กลับมามีชีวิตคู่ภายในบ้านที่อบอุ่นอีกครั้ง

ผมได้ยินมาว่าโฆษณาขายบ้านก็เหมือนกับการขายกล่องสี่เหลี่ยมธรรมดา ไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากมาย แต่สำหรับแสนสิริไม่ใช่นะครับ ผมมองว่าการซื้อบ้านต้องมีความรัก ความผูกพัน เป็นอารมณ์ร่วมของชีวิตคู่

นับเป็นการสร้างมิติใหม่ให้วงการขายบ้านเกิดความตื่นตัวและเร่งเร้าให้ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่วิ่งเข้าไซต์มากขึ้นก่อนไปช็อปปิ้ง

งบฯ 30 ล้านบาทที่แสนสิริทุ่มไปรอบนี้ ถือว่าคุ้มค่า !
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#14 วันที่: 15/05/2006 @ 08:52:33 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3792 (2992)

โรงปูนแบรนด์ ราชสีห์ จิ๊กซอว์ใหม่ อิตาเลียนไทยฯ

คอลัมน์ ซูมคอนเทนต์

เป็นครั้งแรกของกลุ่ม อิตาเลียนไทยฯ บิ๊กธุรกิจรับเหมาที่ลงทุนจัดทริปพานักข่าวไปจังหวัดสระบุรี เพื่อร่วมงานเปิดตัวโรงงานปูนซีเมนต์ในชื่อ ภูมิใจไทยซีเมนต์

หลังจากก่อนหน้านี้มีกระแสออกมาเป็นระยะว่า เปรมชัย กรรณสูต ในฐานะซีอีโอของ บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ นึกสนุกอยากกลับมาทำธุรกิจปูนซีเมนต์อีกครั้ง

งานวันนั้นเต็มไปด้วยแขก วี.ไอ.พี.หน้าตาคุ้นเคยในแวดวงวัสดุและอสังหาฯ อาทิ ชวน ตั้งมติธรรม จากมั่นคงเคหะการ นภดล รมยะรูป เอ็มดีปูนซีเมนต์เอเซีย ภายใต้บรรยากาศที่เรียบง่ายแต่ดูมีพลัง

เราลงทุนโรงงานไปทั้งหมดกว่า 3,000 ล้านบาท และได้รับสัมปทานเหมืองหินปูน 5 แปลง รวมเกือบ 1,500 ไร่ คิดเป็นปริมาณหินสำรองในการผลิตปูนได้ 700 ล้านตัน เปรมชัย กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นเพราะในวันนั้นมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จมาทรงทำพิธีเปิดโรงปูน

ว่ากันว่าในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ กลุ่มอิตาเลียนไทยฯจำต้องตัดใจขายโรงปูนให้กับกลุ่มซีเมกซ์ ครั้งนี้เขาจึงมุ่งมั่นมากเป็นพิเศษ และเริ่มก่อตั้งบริษัทขึ้นเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน ด้วยทุนจดทะเบียน 1,200 ล้านบาท โดยมี วรายุทธ เสริมศักดิ์สกุล ลูกหม้อของบริษัทรับหน้าที่เป็นเอ็มดีดูแลธุรกิจปูนซีเมนต์

เมื่อเข้ามาภายในโรงงานที่โอบล้อมด้วยภูเขาบนเนื้อที่กว่า 360 ไร่ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี แต่ภายในกลับสะอาดสะอ้านเอามากๆ เห็นได้ชัดว่ามีระบบการจัดการที่ดี

ส่วนตัวโรงงานเกิดขึ้นจากการผสมผสานกันระหว่างเครื่องจักรจากต่างประเทศ เช่น เตาเผาจากประเทศเยอรมนี เครื่องบดจากประเทศจีน และเครื่องจักรบางส่วนจากประเทศอิตาลีและญี่ปุ่น

ปัจจุบันมีกำลังผลิตปูนเม็ด 2,500 ตันต่อวัน และสามารถผลิตปูนซีเมนต์ได้ 3,000 ตันต่อวัน หรือคิดเป็นกำลังผลิตรวม 1 ล้านตันต่อปี เริ่มผลิตปูนออกวางตลาดในเดือนสิงหาคม 2548 ที่ผ่านมา ภายใต้แบรนด์ ราชสีห์ อันเป็นสัญลักษณ์ของความมีพลัง

ตอนนี้เรามีลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้รับเหมาและเอเย่นต์หลักรวมกว่า 80 รายทั่วประเทศ กระจายอยู่ในภาคกลาง ตะวันออก ตะวันตก รวมถึงกรุงเทพฯ และเรายังมีแผนจะขยายกำลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านตันต่อปี แต่ขอรอดูสถานการณ์อีกระยะ เปรมชัยบอกพร้อมกับยืนยันว่า ข้อสรุปทั้งหมดจะชัดเจนภายในปีนี้แน่

และถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ เขาจะต้องใส่เม็ดเงินลงทุนในการขยายโรงงานใหม่อีก 4,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะมาจากการออกบอนด์และการเพิ่มทุน

นับเป็นเกมการต่อยอดธุรกิจที่แหลมคม เพราะปัจจุบันกลุ่มอิตาเลียนไทยฯและเนาวรัตน์ บริษัทรับเหมาที่เป็นเครือญาติกัน มีปริมาณงานรับเหมาก่อสร้างที่รันอยู่ในมือรวมกันสูงถึงปีละกว่า 1.25 แสนล้านบาท

การมีโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ของตัวเองจึงเท่ากับเป็นการเซฟต้นทุนได้อย่างมหาศาล ! เพราะแค่งานก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรอิตาเลียนไทยฯมี สต๊อกรออยู่ในมือถึงปีละกว่า 50,000 ยูนิต

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้อิตาเลียนไทยฯในฐานะผู้ถือหุ้น 100% ในภูมิใจไทยซีเมนต์ยังคงสั่งซื้อปูนจากบริษัทในเครือเพียง 1 ใน 3 และส่วนที่เหลืออาศัยการทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย เพื่อเป็นการ keep connection กับผู้ผลิตปูนรายอื่นๆ เอาไว้ เพื่อไม่ให้รายได้ทั้งหมดต้องผูกติดกับบริษัทแม่

หากมองไปถึงเรื่องการต่อยอดธุรกิจ ล่าสุดยักษ์รับเหมารายนี้ยังจับมือกับเนาวรัตน์ ในฐานะบริษัทเครือญาติออกไปลุยรับงานในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นดูไบ อินเดีย แน่นอนว่าในอนาคตเราจะได้เห็นการส่งออกปูนซีเมนต์ไปใช้ในต่างประเทศด้วย

การเข้ามารุกธุรกิจปูนซีเมนต์ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ เปรมชัย จึงมองว่าไม่มีความเสี่ยงเลย เพราะอ่านเกมแล้วว่าธุรกิจปูนซีเมนต์สามารถสร้างรายได้แบบยั่งยืนและมั่นคงกว่าธุรกิจรับเหมา

วันนี้สิ่งที่อิตาเลียนไทยฯกำลังทำอยู่จึงเป็นการวางหมากเพื่อต่อยอดธุรกิจแบบเชื่อมโยงถึงกัน เหมือนกับที่บริษัทอสังหาฯ ยักษ์ใหญ่แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีแบงก์เป็นของตัวเอง
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#15 วันที่: 15/05/2006 @ 08:53:36 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
วันนี้BCPอ้าแขนรอรับเงิน ฝรั่งควัก55ล.เหรียญซื้อหุ้น Source - ข่าวหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:12

BCP ภูมิใจต่างชาติไม่ล้มดีลซื้อเพิ่มทุนที่ 14 บาท เจ.พี. มอร์แกนเอาแน่ ไม่สนแม้ซื้อแพงกว่าในกระดาน ผู้บริหารย้ำ 16 พ.ค.นี้ ได้เงิน 55 ล้านเหรียญสหรัฐฯแน่แจงอีก 1 เดือนลูกหุ้นซื้อขาย ยันฝรั่งถือไม่เกิน 10%
นายวัฒนา โอภานนท์อมตะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจากปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยกับข่าวหุ้นธุรกิจว่า ในวันที่ 15-16 พ.ค.นี้ บริษัทจะได้รับเงินจำนวน 55 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงให้กับนักลงทุนสถาบันจำนวน 161 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 14 บาท แม้ว่าปัจจุบันราคาหุ้น BCP จะยังไม่ปรับตัวสูงกว่าราคาขายก็ตาม
หลังจากขายหุ้นเพิ่มทุนเสร็จเรียบร้อยเชื่อว่าอีกประมาณ 1 เดือนลูกหุ้นจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ และ BCP จะมีสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติไม่เกิน 10%จากปัจจุบันที่มีต่างชาติถือหุ้นอยู่ประมาณ 5-6% ซึ่งเป็นไปตามกฎของตลาดหลักทรัพย์นายวัฒนา กล่าว
สำหรับผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/49 บริษัทคาดว่าตัวเลขอาจไม่ดีเท่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา เพราะราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ราคาขายปลีกไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามต้นทุนที่แท้จริง เพราะไม่ต้องการให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ดีบริษัทได้ติดตามสถานการณ์ต่างๆอย่างใกล้ชิด
ด้านดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์หน้าจะสามารถสรุปสัดส่วนการซื้อหุ้นเพิ่มทุนและจำนวนนักลงทุนได้ ล่าสุดมีนักลงทุนต่างชาติสนใจซื้อหุ้นเพิ่มทุน BCP จำนวนมาก อาทิเจ.พี.มอร์แกน และยังมีสถาบันอีกหลายรายจองซื้อ มองธุรกิจโรงกลั่นมีแนวโน้มเติบโตดีผลประกอบการของบริษัทดีขึ้นกว่าเดิม
ทั้งนี้เชื่อว่าสัดส่วนนักลงทุนสถาบันต่างชาติจะมากกว่าคนไทย เพราะพฤติกรรมนักลงทุนต่างชาติชอบลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะกองทุนส่วนบุคคล และกองทุนต่างๆ ที่ต้องการผลตอบแทนการลงทุนดี ยกเว้นกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ที่ไม่ได้แสดงความสนใจซื้อหุ้น BCP ในครั้งนี้
สาเหตุที่หุ้น BCP ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันจำนวนมาก ทั้งๆที่ราคาขายหุ้นเพิ่มทุนสูงกว่าราคาซื้อขายบนกระดาน เนื่องจากอุตสาหกรรมโรงกลั่นยังอยู่ในช่วงขาขึ้นส่วนหนึ่งมาจากแนวโน้มราคาน้ำมันยังสูงต่อเนื่อง ขณะที่จำนวนโรงกลั่นยังคงมีจำกัด เมื่อเทียบกับปริมาณการใช้ที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ค่าการกลั่นยังอยู่ในระดับสูงดร.อนุสรณ์ กล่าว
อย่างไรก็ดีสำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำมาใช้ก่อสร้างโรงกลั่นใหม่ทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 51 ทำให้กำลังการผลิตอยู่ในระดับ 100,000 บาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 60,000-70,000 บาร์เรลต่อวัน และจำนวนนี้จะเป็นการกลั่นน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับ 55,000 บาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันที่ผลิตได้ 34,000บาร์เรลต่อวัน และในส่วนของน้ำมันเตาจะลดเหลือ 10% จาก 30%
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS ประเมินว่า แนวโน้มค่าการกลั่นยังคงอยู่ในระดับสูงไปจนถึงการก่อสร้างโครงการ PQI เสร็จในปี 51 และยาวไปจนถึงปี 53 เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันมีการปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าการขยายกำลังการผลิตทำให้ BCP จะมีอัตราผลตอบแทนดี และสามารถคืนทุนจากโครงการได้ในระยะสั้น
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#16 วันที่: 15/05/2006 @ 08:54:40 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
ช่วงชัยคืนชีพงบฟินันซ่าQ2 - มาร์เก็ตแชร์ทะลุ 1.2% ส.ค.บีฟิทชำระหนี้300ล.
Source - ข่าวหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:12

ช่วงชัย มาดันงบฟินันซ่าไตรมาส 2 สวยขนมาร์เก็ตติ้งมากว่า 120 ชีวิตทำมาร์เก็ตแชร์เพิ่มกว่า 1% แถมบุ๊ครายได้ค่าฟี 2 งานที่ปรึกษาทางการเงินนำหุ้น SECและ RRC เข้าตลาด ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3-4 ดีขึ้นอีก ปลายปีได้เห็นส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 2% และส.ค.นี้บีฟิทคืนหนี้ 300 ล้านบาท
ผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทฟินันซ่า จำกัด (มหาชน) หรือ FNS มีแนวโน้มดูดีกว่าเดิม จากที่เหงียบเหงามานาน ได้นายช่วงชัย นะวงษ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด (มหาชน) หรือ GBX ขนทีมเจ้าหน้าที่การตลาดไม่ต่ำกว่า 120 คนเข้ามาเสริมทีม โดยก่อนหน้านี้ฟินันซ่าต้องปิดห้องค้าที่หาดใหญ่หลายแห่ง จากการที่มาร์เก็ตติ้งจำนวนหนึ่งย้ายไปอยู่กับบล.บีฟิท
ทั้งนี้เชื่อว่าการได้ทีมมาร์เก็ตติ้งจำนวนมากเข้ามา จะส่งผลให้บล.ฟินันซ่า โบรกเกอร์อันดับที่ 33 มีส่วนแบ่งการตลาด หรือมาร์เก็ตแชร์พุ่งในไตรมาส 2 ไม่ต่ำกว่า1.2% จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 0.5%
ขณะที่งบการเงินไตรมาส 3-4 จะออกมาดีต่อเนื่องเช่นกัน เพราะส่วนแบ่งการตลาดจะเพิ่มขึ้นไปในระดับไม่ต่ำกว่า 2% นอกจากนี้ประมาณเดือนสิงหาคมครบกำหนดที่ บริษัทเงินทุนบีฟิทจะชำระคืนเงินกู้ด้อยสิทธิจำนวน 300 ล้านบาทให้กับฟินันซ่า ซึ่งเงินกู้จำนวนดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ฟินันซ่าได้ช่วยเหลือด้านการเงินกับบีฟิท เนื่องจากมีแผนควบรวมกิจการกันเพื่อยกระดับขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์
โดยนายช่วงชัย จะเริ่มงานที่ฟินันซ่าประมาณกลางเดือนนี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่การตลาดหรือมาร์เก็ตติ้งจาก GBX ส่วนหนึ่งจะเริ่มมาทำงานได้พร้อมนายช่วงชัยทันที อีกบางส่วนคาดว่าจะตามมาเริ่มงานได้ในไตรมาส 3 เนื่องจากต้องรอเคลียร์งานที่เก่า และยังติดระยะเวลาในเรื่องของการรับค่าคอมมิชชั่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ไตรมาสสองฟินันซ่ายังมีรายได้จากงานที่ปรึกษาทางการเงินในการนำหุ้นเข้าตลาด ได้แก่บริษัทเอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิสจำกัด (มหาชน) หรือ SEC ซึ่งประกอบธุรกิจผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์จากต่างประเทศโดยจะระดมทุนใหม่จำนวน 100 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท กำหนดราคาเสนอขายประชาชนครั้งแรก หรือ IPO ที่ 3 บาท
นอกจากนี้บล.ฟินันซ่ายังเป็นที่ปรึกษาทางการเงินร่วมกันบล.ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA ในการนำหุ้นบริษัทโรงกลั่นระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC เข้าจดทะเบียนใตลาดหลักทรัพย์ โดย RRC จะเสนอขายหุ้นจำนวน 1,397.5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 23 บาท ระหว่างวันที่ 18-19 พ.ค.นี้
นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัทฟินันซ่า กล่าวยอมรับว่าการเข้ามาของนายช่วงชัยถือว่าดี เพราะทีมมาร์เก็ตติ้งที่ตามมาถือว่ามาช่วยเสริมทีมเดิมที่ออกไป ซึ่งที่ผ่านมามีผลทำให้รายได้ลดลงบ้าง แต่ไม่มากนัก โดยในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายมาร์เก็ตแชร์ที่ 1.5-2% แต่มีแนวโน้มที่อาจจะมากกว่านี้ หลังได้ทีมนายช่วงชัยเข้ามาเสริมแต่เรื่องนี้ต้องรอประเมินก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(15พ.ค.)บริษัทจะประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาสแรก และแผนงานของบริษัทในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดตัวนายช่วงชัย และคงให้รายละเอียดเกี่ยวกับสัดส่วนของมาร์เก็ตแชร์ที่จะเพิ่มขึ้นได้ในระดับหนึ่ง
แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ กล่าวว่างบการเงินไตรมาสแรกของฟินันซ่าคงไม่ดีนัก เพราะมาร์เก็ตแชร์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด หลังมาร์เก็ตติ้งย้ายไปอยู่กับบีฟิท แต่ไตรมาส2 ถือว่าเริ่มมีข่าวดี โดยเชื่อว่าผลประกอบการของฟินันซ่าน่าจะออกมาดีขึ้น โดยการเข้ามาของนายช่วงชัยและทีมมาร์เก็ตติ้ง คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน หรือประมาณเดือนพ.ค.ซึ่งอาจมีผลทำให้มาร์เก็ตแชร์ของฟินันซ่าเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เพราะนายช่วงชัยถือว่าอยู่ในวงการโบรกเกอร์มาหลายปี และทีมมาร์เก็ตติ้งที่ย้ายตามมาด้วยถือว่ามีลูกค้าพอสมควร
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#17 วันที่: 15/05/2006 @ 08:55:44 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
กลต.เจอมูลไออีซีปั่นหุ้น -จับขาใหญ่ 33 รายขึ้นเขียง พบหลักฐานกล่าวโทษ
Source - ข่าวหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:12

ก.ล.ต.เห็นด้วยกับตลาดหลักทรัพย์ไออีซีเข้าข่ายหุ้นปั่น เร่งขอข้อมูลจากแบงก์และโบรกเกอร์เพื่อดูเส้นทางเงิน พร้อมเชิญนักลงทุน 33 รายมาให้รายละเอียดประกอบ รวบรวมเป็นหลักฐานเพื่อกล่าวโทษ พร้อมตรวจเข้มงบการเงินบจ.ป้องกันผู้บริหารสร้างสตอรี่ปั่นหุ้นแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เดินหน้าออกกฎหมายควบคุมการใช้นอมินี หลังแห่ใช้พร่ำเพรื่อและไม่โปร่งใส
นายประสงค์ วินัยแพทย์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบการสร้างราคาหุ้นบริษัทอินเตอร์แนชันเนิล เอนจีเนียริ่ง จำกัด(มหาชน)หรือ IEC ว่า ขณะนี้ก.ล.ต.อยู่ระหว่างตรวจสอบเส้นทางเงินที่นักลงทุนจำนวน 33 รายใช้ซื้อขายหุ้นดังกล่าว โดยได้ขอความร่วมมือไปยังธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์เพื่อขอข้อมูลดังกล่าวแล้ว นอกจากนั้นก.ล.ต.ยังได้เรียกนักลงทุนบางคนจากจำนวน 33 คนมาให้ข้อมูลประกอบด้วย
อย่างไรก็ตามขณะนี้สำนักงานก.ล.ต.ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)เพื่อให้ช่วยตรวจสอบเส้นทางของเงินด้วย แต่หากในอนาคตก.ล.ต.พบจุดติดขัดในเรื่องของการตรวจสอบสำนักงานก็อาจทำเรื่องขอความร่วมมือไปยังปปง.ก็เป็นได้
ก.ล.ต.ไม่ได้นิ่งเฉยในการตรวจสอบการปั่นหุ้น IEC และเท่าที่ตรวจสอบในเบื้องต้นและพิจารณาจากพฤติกรรมการซื้อขายก.ล.ต.ก็มีความเห็นสอดคล้องกับทางตลาดหลักทรัพย์ว่าเข้าข่ายการสร้างราคาเพียงแต่ยังต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการกล่าวโทษหรือฟ้องร้องต่อไปนายประสงค์ กล่าว
นายประสงค์ กล่าวต่อว่า ยอมรับว่าการตรวจสอบการปั่นหุ้นในปัจจุบันทำได้ยากขึ้นเนื่องจากพฤติกรรมการปั่นหุ้นเปลี่ยนแปลงไป โดยในอดีตการปั่นหุ้นจะมีนายทุนเป็นผู้ให้เงินนักลงทุนกลุ่มต่างๆไปผลักดันหรือทุบราคาหุ้น ซึ่งก็สามารถตรวจสอบเส้นทางของเงินได้ว่ามาจากนายทุนคนไหน แต่ปัจจุบันมีนักลงทุนหรือนายทุนจำนวนมากที่สามารถส่งคำซื้อขายด้วยตัวเอง ดังนั้นเมื่อมีการร่วมมือกันสร้างราคาจะไม่สามารถตรวจสอบเส้นทางของเงินได้แต่จะต้องไปตรวจสอบว่านายทุนแต่ละคนมีความเกี่ยวโยงกันหรือไม่ หรือพิสูจน์ให้ได้ว่านายทุนที่ไม่มีความเชื่อมโยงกันร่วมมือกันปั่นหุ้นซึ่งเป็นเรื่องยาก
ดังนั้นนโยบายที่ก.ล.ต.พยายามจะผลักดันในปัจจุบันคือการป้องกันไม่ให้มีการปั่นหุ้นซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยก.ล.ต.จะเข้าไปตรวจสอบงบการเงินของบริษัทต่างๆอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการสร้างเรื่อง(สตอรี่)ของผู้บริหารเพื่อผลักดันราคาหุ้นของตัวเองนอกจากนั้นหากมาตรการต่างๆไม่ได้ผลหรืออยู่นอกเหนืออำนาจของหน่วยงานทางการก.ล.ต.ก็จะสนับสนุนให้สังคมเป็นผู้ลงโทษด้วยการลดความน่าเชื่อถือ หรือคว่ำบาต ผู้บริหารและบริษัทที่ไม่ดี
นายประสงค์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ก.ล.ต.กำลังอยู่ระหว่างนำกฎหมายควบคุมการใช้ตัวแทนถือครองหลักทรัพย์(นอมินี)ที่เคยศึกษาก่อนหน้านี้มาพิจารณาอีกครั้ง เพื่อออกเป็นพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)เพื่อให้ผู้ที่จะใช้นอมินีปฏิบัติตาม
สาเหตุที่ก.ล.ต.นำกฎหมายฉบับดังกล่าวกลับมาปัดฝุ่นอีกครั้ง เพราะในช่วงที่ผ่านมามีการพูดถึงการใช้นอมินีที่ไม่โปร่งใสจำนวนมาก ซึ่งการออกกฎหมายฉบับดังกล่าวไม่ได้แปลว่าคนที่ใช้นอมีนีผิด แต่เป็นการป้องกันไม่ให้ใช้นอมินีไปทำผิด โดยเมื่อกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้อาจต้องมีการจดทะเบียนการใช้นอมินี รวมทั้งต้องแสดงตัวตนว่าใครเป็นนอมินีของใคร เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบนายประสงค์ กล่าว
ทั้งนี้ การจะออกกฎหมายดังกล่าวก.ล.ต.ต้องไปศึกษากฎหมายประเภทนี้ในต่างประเทศเพิ่มเติม โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเพื่อดูว่ากฎหมายมีหลักการและเจตนารมณ์อย่างไร มีการกำหนดบทลงโทษอย่างไรบ้าง เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศ โดยภายหลังจากการร่างกฎหมายเสร็จแล้วก.ล.ต.จะส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณา ก่อนที่จะส่งให้คณะรัฐมนตรีและเข้าสู่การพิจารณาของสภาต่อไป อย่างไรก็ตามกฎหมายฉบับที่ก.ล.ต.ร่างนั้นจะมีผลบังคับใช้กับตลาดทุนเท่านั้น ส่วนจะบังคับใช้กับองค์กรหรือหน่วยงานใดเพิ่มเติมนั้นขึ้นอยู่กับการตีความของกฤษฎีกา
สำหรับกรณีที่นักลงทุนเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ แต่ไม่ต้องการมีชื่อในโครงสร้างผู้ถือหุ้นโดยให้ใช้ชื่อบริษัทหลักทรัพย์เป็นผู้ถือหุ้นแทนนั้น เมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้บริษัทหลักทรัพย์ที่ถือหุ้นแทนต้องเปิดเผยรายชื่อด้วยว่าถือหุ้นแทนใครไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนต่างชาติหรือนักลงทุนไทย
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#18 วันที่: 15/05/2006 @ 08:57:29 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
เทคนิคหุ้นเด่น Source - ข่าวหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:11

PDI
เมื่อพิจารณาสัญญาณแท่งเทียนรายสัปดาห์จะพบว่า ราคาหุ้นยังเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าราคาหุ้นรายวันขณะนี้จะปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง หากมองจากวอลุ่มที่เข้ามา ยังมีเข้ามาอย่างหนาแน่น ดังนั้นเราคาดว่าสัญญาณน RSI และ Stochastic ที่ปรับตัวสนับสนุนแรงซื้อในขณะนี้น่าจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปได้อีกสักระยะ ช่วงนี้แนะนำซื้อเก็งกำไรคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร
DELTA
เมื่อมองการเคลื่อนตัวของราคาหุ้นจากแท่งเทียรายสัปดาห์จะพบว่า ราคาหุ้นปรับตัวเป็นขาขึ้นมานานกว่า 8 เดือน ส่งผลราคาหุ้นรายวันประคองตัวตามเส้นค่าเฉลี่ยได้อย่างมั่นคง และยืนเหนือแนวต้านนี้ได้อย่างชัดเจน ที่ระดับ 21.20 บาท หากมองจากสัญญาณRSI และSlow Stochatic ที่ปรับตัวเป็นซื้อขณะนี้ คาดว่าราคาหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นอีกหลังสัญญาณ Bollinger Band ยังบีบตัวแคบเพื่อหาจังหวะการปรับขึ้นอีกครั้งคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร
TYCN
โครงสร้างแท่งทียนรายสัปดาห์แม้จะเป็นขาลง แต่ราคาหุ้นช่วง 5 เดือนที่ผ่านพบว่ารหุ้นมีการปรับตัวขึ้นมาเป็นลำดับ ส่งผลให้ราคาหุ้นรายวันเป็นบวกอย่างชัดเจน และสามารถขึ้นไปยืนเหนือแนวต้านทุกเส้น พร้อมทั้งสัญญาณ RSI และ Slow Stochastic ก็ยังปรับตัวเป็นสัญญาณซื้อ หากวอลุ่มที่เข้ามามามากอย่างนี้ คาดว่าราคาหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นอีก โดยมีเป้าหมายทดสอบแนวต้าน 8.85 บาท เป็นเป้าหมายสำคัญคำแนะนำ ซื้อเล่นสั้น
RANCH
โครงสร้างแท่งเทียนรายสัปดาห์ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันราคาหุ้นรายวันก็ยังปรับตัวในทิศทางขาขึ้นเช่นกัน ที่ระดับ 35.00 บาท แต่เนื่องแรงซื้อที่เข้ามามากเกินไปส่งผลทำให้สัญญาณ RSI และ Slow Stochastic เริ่มปรับตัวเข้าเขตซื้อมากเกินไป รวมทั้งวอลุ่มซื้อเริ่มเบาบาง ดังนั้นหากราหุ้นไม่สามรถผ่านแนวต้าน 35.50 บาทไปได้ช่วงนี้ คาดว่าราคาหุ้นน่าจะมีแรงขายคำแนะนำ ขายทำกำไร
SATTEL
เมื่อพิจารณาแท่งเทียนรายรายสัปดาห์พบว่า ราคาหุ้นยังเป็นขาลง แม้ราคาหุ้นรายวันจะปรับตัวขึ้นมาอย่างรุนแรงที่ระดับ 13.70บาท แต่เมื่อสังเกตราคาหุ้นรายวันจะพบว่าราคาหุ้นเริ่มทรงนิ่ง หลังสัญญาณ RSI และ Slow Stochatic เริ่มบีบตัวเป็นสัญญาณขายหากราคาหุ้นหลุดแนวรับ 13.70 บาท ราคาหุ้นน่าจะปรับตัวลงมาบ้างแล้วคำแนะนำ หาจังหวะขาย
IT
ราคาหุ้นรายสัปดาห์ปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันราคาหุ้นรายวันเริ่มมีทิศทางไม่สวย หลังราคาหุนปรับตัวขึ้นสูง หากราคาหุ้นไม่ผ่าน 10.80 บาท ขณะเดียวกันวอลุ่มที่เข้ามาเริ่มเบาบาง และทิศทางของ RSI และ Slow Stochatic ที่เริ่มเข้าเขตซื้อมากเกินไป อีกทั้งสัญญาณ Bollinger Band ที่บานมากบ่งบอกให้รู้ว่าราคาหุ้นสูงมากเกินไปดังนั้นช่วงนี้ควรจะหาจังหวะขายคำแนะนำ ขายทำกำไร
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#19 วันที่: 15/05/2006 @ 08:58:55 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
JASมั่นใจได้ออกแผนฟื้นฟู -ราคาได้ทะลุ1บาทรับโครงการลงทุนใหม่ Source - ข่าวหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:10

JAS คึกเล่นข่าวใกล้เวลาออกจากแผนฟื้นฟูตามกำหนดเดิม กลางปีนี้ ศาลฎีกานัดตัดสินคดีเจ้าหนี้รายย่อยคัดค้าน เผยเตรียมลงทุน 4 โครงการใหม่ เพิ่มศักยภาพบริการอินเทอร์เน็ต พร้อมรับข่าวดี TT&T เรื่องเริ่มใช้ค่าอินเตอร์คอนฯและไตรมาส 1/49 พลิกมีกำไร 318 ล้านบาท โบรกเกอร์มองถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนราคามีสิทธิทะลุ 1 บาท
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (11 พ.ค.) หุ้น JAS ของ บริษัท จัสมินอินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด(มหาชน) ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรง โดยมีปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่น ในรอบ 3เดือน ทั้งนี้ ราคาขึ้นมาปิดที่ 0.57 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของวัน เปลี่ยนแปลง 0.04บาทหรือ 7.547% มีมูลค่าการซื้อขายของวัน 186.281 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ราคาแกว่งตัวแคบๆอยู่ระหว่าง 0.50-0.53 บาท
ทั้งนี้ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะใกล้เวลาที่ศาลฎีกา นัดตัดสินคดีที่เจ้าหนี้รายย่อยยื่นคำคัดค้านแผนฟื้นฟูที่ได้รับความเห็นชอบจากศาลล้มละลายกลางตั้งแต่ปี 46 เนื่องจากเห็นว่าได้รับสิทธิในการชำระหนี้ด้อยกว่าเจ้าหนี้รายอื่น ทำให้ JAS ต้องชะลอการออกจากแผนฟื้นฟูมาจนถึงบัดนี้ จากข้อมูลเดิมระบุว่าเจ้าหนี้ที่ยื่นคัดค้านส่วนใหญ่เป็นกองทุนซื้อหุ้น
แหล่งข่าวจากวงการตลาดหุ้นรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ศาลฎีกาน่าจะตัดสินยืนตามศาลล้มละลายกลาง เนื่องจากเจ้าหนี้กลุ่มดังกล่าวมีมูลหนี้รวมกันไม่ถึง 10% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับมูลหนี้ทั้งหมด ซึ่งไม่ควรไปรบกวนแผนใหญ่เพราะทำให้เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ได้รับความกระทบกระเทือนไปด้วย อีกทั้งทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถพัฒนาธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ซึ่งทำให้ความสามารถในการชำระหนี้น้อยลง
คิดว่าศาลน่าจะตัดสินในช่วงกลางปีนี้ และภายในปีนี้ JAS จะต้องมีความเคลื่อนไหวแน่นอนแหล่งข่าว กล่าว
ทั้งนี้ แผนฟื้นฟูฯ ดังกล่าวเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ราว 1.18 หมื่นล้านบาท ซึ่งเจ้าหนี้ประมาณ 59% เห็นด้วยกับแผนฯ แต่มีเจ้าหนี้ส่วนน้อยขอคัดค้านเพราะไม่พอใจการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ ซึ่งมีการแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม ประกอบด้วยเจ้าหนี้มีประกัน 3 กลุ่ม และเจ้าหนี้ไม่มีประกัน 5 กลุ่ม
แผนฯ นี้ มีการลดหนี้ 70.59% และแปลงหนี้เป็นทุนบางส่วน ซึ่งจะทำให้มูลหนี้ลดลงเหลือ 3,675 ล้านบาท โดยต้องชำระภายใน 9 ปี
สำหรับแผนการขยายการลงทุนนั้นบริษัทฯ ได้เตรียมไว้ราว 4 โครงการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) และองค์การที่ต้องการใช้การสื่อสารข้อมูลในการดำเนินธุรกิจเป็นหลัก
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นายสมบุญ พัชรโสภาคย์ กรรมการบริหาร JAS เปิดเผยว่า ในปี49 นี้กลุ่มจัสมินจะเพิ่มการลงทุนใหม่สำหรับบริการที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง เพราะคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จะออกใบอนุญาตใหม่ๆ หลายประเภท
โดยธุรกิจที่จัสมินสนใจ คือ บริการโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (วอยซ์โอเวอร์ไอพี:วีโอไอพี) และอินเตอร์เนชั่นแนล เกตเวย์ ซึ่งจะส่งบริษัทลูกไปขอ สำหรับบริการ วีโอไอพีนั้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังได้ให้บริษัทลูกขยายธุรกิจไปพร้อมๆ กัน เช่น บริษัท จัสมิน เทเลคอมซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) มีแผนที่จะทำธุรกิจใหม่รับตลาดบรอดแบนด์ที่กำลังโตอย่างก้าวกระโดดเช่น การเป็นผู้จัดหาโซลูชั่นมาต่อยอด และบริการทริปเปิลเพลย์ เทคโนโลยี ซึ่งเป็นอนาคตของโทรศัพท์พื้นฐาน ที่บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน)(TT&T) กำลังศึกษาอยู่
บล.พัฒนสิน ระบุว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมามีการเก็งกำไร JAS อย่างหนาแน่นเรื่องออกจากแผนฟื้นฟู และน่าจะส่งผลให้ราคาขยับขึ้นไปเกิน 1 บาทได้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ เพราะ JAS ได้เตรียมแผนธุรกิจหลังออกจากแผนฟื้นฟูไว้มากมาย ทั้งการเพิ่มรายได้ ขยายบริการสาธารณะเพิ่มขึ้นเพื่อพัฒนาลักษณะการประกอบธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมเพื่อรองรับการเปิดเสรี
นอกจาก JAS ยังรับข่าวดีที่ กทช.จะประกาศใช้ค่าอินเตอร์คอนเน็คชั่น ชาร์จ ซึ่งจะทำให้ บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด(มหาชน) ได้รับรายได้จากค่าใช้โครงข่ายด้วย จากเดิมไม่เคยได้รับเลย
รวมทั้ง TT&T ยังรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 พลิกเป็นกำไรในรอบ 1 ปีโดยมีกำไรสุทธิ 317.990 ล้านบาท หรือ 0.10 บาทต่อหุ้น
กำไรดังกล่าวเกิดจากการแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งแต่ต้นปี 49 จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 41.1746 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นปี 48เป็น 38.9417 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 1 ส่งผลให้ TT&T มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 601 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม รายได้จากการดำเนินงานมีจำนวน 1,624 ล้านบาท ลดลงจาก 1,683 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลงจาก 1,699 ล้านบาทในไตรมาส 4/48เพราะรายได้จากโทรศัพท์พื้นฐานลดลง 18% จากไตรมาส 1/48 มาอยู่ที่ 765 ล้านบาทและรายได้จากโทรศัพท์สาธารณะ ก็ลดลงเหลือ 216 ล้านบาท เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาอย่างต่อเนื่องของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/48
ขณะนี้ TT&T มีฐานลูกค้าทั้งสิ้น 1,234,728 เลขหมาย ลดลงจาก 1,236,899 เลขหมาย ณ สิ้นปี 48 รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 406 บาท ในไตรมาส 4/48 มาอยู่ที่ 409 บาท แต่รายได้เฉลี่ยของโทรศัพท์สาธารณะลดลงมาอยู่ที่ 3,523 บาท จาก3,730 บาท ในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากมีเครื่องโทรศัพท์สาธารณะของทีโอทีเพิ่มขึ้นประกอบกับการแข่งขันที่รุนแรงของโทรศัพท์เคลื่อนที่
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#20 วันที่: 15/05/2006 @ 09:00:10 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
KSLได้คืบอยากเอาศอก -ขอขึ้นราคาน้ำตาลอีกรอบอ้างต้นทุนเพิ่ม Source - ข่าวหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:09

KSL จี้รัฐปรับราคาน้ำตาลเพิ่ม ระบุต้นทุนยังสูง เผยปรับประมาณการปีนี้โต 20% จาก15% หลังได้ดีราคาน้ำตาล-เอทานอลขยับ ขณะที่แผนลงทุนในเขมรปลูกอ้อยแล้ว ดันรายได้เพิ่มปีละ 2,000 ล้านบาท เล็งลุยขยายธุรกิจที่ประเทศเพื่อนบ้าน
นายจำรูญ ชินธรรมมิตร์ เจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL เปิดเผยกับ ข่าวหุ้นธุรกิจ ถึงราคาขายน้ำตาลปัจจุบันว่ายังต่ำกว่าราคาน้ำตาลตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นรัฐบาลควรปรับเพิ่มราคาน้ำตาลให้กับผู้ประกอบการเพราะขณะนี้บริษัทยังคงมีต้นทุนในการผลิตสูง
รัฐควรประกาศลอยตัวน้ำตาลทราย เพื่อให้เป็นไปตามกลไกตลาดโลก เพราะปัจจุบันปัญหาการขาดแคลนน้ำตาลเกิดจากผู้ประกอบการบางรายหันส่งออกมากขึ้นเพราะได้ราคาดีกว่า นายจำรูญ กล่าว
นายจำรูญ กล่าวต่อว่า บริษัทได้ปรับประมาณการรายได้ปีนี้เพิ่มจากเดิม 15% เป็น20% เพราะที่ผ่านมีการปรับเพิ่มราคาน้ำตาลทรายและเอทานอล และบริษัทอาจปรับประมาณการเพิ่มขึ้นอีกเพราะขณะนี้สถานการณ์ราคาเอทานอลมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอีกครั้งจากปัจจุบัน 23 บาทต่อลิตร เป็น 27 บาทต่อลิตร
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนสร้างโรงงานน้ำตาล และปลูกอ้อยในประเทศกัมพูชามูลค่า 2,000 ล้านบาทนั้น ขณะนี้บริษัทเริ่มปลูกอ้อยแล้วในพื้นที่ขนาด 70,000 เฮกเตอร์และจะเริ่มทำการผลิตได้ในปี 2552 ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวเป็นการเช่าพื้นที่โดยมีสัญญาเป็นเวลา 19 ปี
ทั้งนี้ การลงทุนในประเทศกัมภูชาเริ่มรับรู้รายได้ปี 2552 หรือคิดเป็น 2,000ล้านบาทต่อปี โดยโรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิต 5,000 ตันต่อวัน ซึ่งในอนาคตบริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตที่ประเทศกัมพูชาให้มากขึ้น เพราะกัมพูชาเป็นตลาดหลักและราคาขายน้ำตาลในประเทศกัมพูชาอยู่ในระดับสูงที่ 24 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ประเทศไทยมีราคาขายเพียง 13-15 บาทต่อกิโลกรัม นอกจากนั้น บริษัทกำลังเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลงทุนเพิ่ม
การลงทุนในต่างประเทศกฎระเบียบข้อบังคับมีไม่มากเหมือนประเทศไทย จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท อีกทั้งราคาขายน้ำตาลไม่ได้ถูกควบคุมแถมยังได้รับโควต้าส่งออกไปสหภาพยุโรปนายจำรูญ กล่าว
สำหรับงบไตรมาส 2 ดีขึ้น เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์ได้ยอมให้ปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายอีก 3 บาท และล่าสุดปรับเพิ่มอีก 1 บาท ขณะที่ราคาเอธานอล ก็ได้ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันจาก 19 บาทมาอยู่ที่ 23 บาท ซึ่งส่งผลดีกับรายได้ของบริษัทแน่นอน
ปัจจุบันรายได้จากน้ำตาลคิดเป็นสัดส่วน 95% ขณะที่เอธานอลอยู่ที่ประมาณ 5% มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 20 ล้านลิตร ในปีหน้าบริษัทมีแผนเพิ่มให้เป็น 10% กำลังการผลิตประมาณ45 ล้านลิตร เนื่องจากความต้องการใช้มีสูงขึ้น และถือเป็นอีกสินค้าที่สามารถสร้างรายได้ที่ดีให้กับบริษัทนายจำรูญ กล่าว
ขณะที่แผนการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอลเพิ่มอีก 2 แห่งนั้น คาดว่าจะได้รับใบอนุญาตเร็วๆ นี้ โดยโรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิตโรงละ 150,000 ลิตรต่อวันรวมมูลค่าทั้ง 2 โรงงานประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้กลางปี 2550
นักวิเคราะห์ ระบุว่า ในปี 2551 KSL จะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการผลิตน้ำตาลในลาวซึ่งมีตลาดส่งออกค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากได้ประโยชน์จากโควต้าส่งออกไปยังอียูส่งผลให้รายได้ในช่วงปี 2549-2551 ขยายตัวเฉลี่ยในอัตรา 19.2-26.3% ต่อปี และคาดว่าในปีนี้ KSL จะมีกำไร 700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% ดังนั้นจากแนวโน้มอัตราการเติบโตยังแนะนำซื้อลงทุน
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#21 วันที่: 15/05/2006 @ 09:01:46 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
สัญญาณหุ้น
Source - ข่าวหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:08

บล.เคจีไอแนะนำขาย ADVANCราคาเป้าหมาย 93.00 บาทADVANC รายงานผลกำไรสุทธิในไตรมาส 1/49 ที่ 5,300 ล้านบาทลดลง 5.3%เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2548 แต่เพิ่มขึ้นถึง 17.6%เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ผลประกอบการที่ออกมาดีขึ้นเนื่องจาก ARPU ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 1/49 หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากสงครามราคาตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีก่อน เราเชื่อว่าเอไอเอสจะได้รับผลกระทบทั้งในส่วนของ ARPU และรายได้ในไตรมาส 2/49 จากการที่มีการออกโปรโมชั่นแบบบุฟเฟ่ต์ในช่วงปลายไตรมาส 1/49 ในส่วนของรายได้จากการขายโทรศัพท์มือถือก็ออกมาค่อนข้างดีถึงแม้ว่าจำนวนเครื่องที่ขายจะลดลงแต่อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น ส่วนสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการในไตรมาส 1/49 ออกมาค่อนข้างดีเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากต้นทุนในการบริการที่ค่อนข้างคงที่ อย่างไรก็ตามในระยะยาวเราเชื่อว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากการที่ต้องลงทุนในโครงข่ายเพิ่มซึ่งท้ายที่สุดแล้วอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวลดลง ค่าใช้จ่ายในการขายบริการและบริหารในไตรมาส 1/49 เพิ่มขึ้นเนื่องมาจากมีการจ่ายโบนัสประกอบกับค่าจ้างพนักงานที่สูงขึ้น นอกจากนี้เราคาดว่าค่าใช้จ่ายทางการตลาดจะปรับตัวสูงมากในไตรมาส 2/49 เนื่องจากมีการแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรง โดยรวมแล้วผลประกอบการเป็นไปตามที่เราคาดที่มีการเติบโตค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว อย่างไรก็ตามแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/49 ยังคงน่าเป็นห่วงว่าจะได้รับผลกระทบจากสงครามราคามากน้อยแค่ไหน ทำให้เรายังคงคำแนะนำขาย ราคาเป้าหมาย 93 บาท
บล.เอเชียพลัสแนะนำซื้อ GSTEELราคาเป้าหมาย 1.49 บาทGSTEEL รายงานผลประกอบการงวด 1Q49 มีกำไรสุทธิ 302 ล้านบาท แต่หากหักผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 177 ล้านบาท และรายการโอนกลับดอกเบี้ยค้างจ่ายซึ่งได้รับยกเว้น 40 ล้านบาท GSTEEL จะมีผลกำไรจากการดำเนินงานเพียง 85 ล้านบาท ลดลง 85%QoQต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ โดยส่วนต่างเกิดจากระดับ gross margin งวด 1Q49 ที่ลดลงต่ำสุดเหลือเพียง 7.06% ซึ่งน้อยกว่าที่เราคาดไว้ที่ 10.4% รวมถึงสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายสูงกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยจ่ายที่ถูกบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุนงวด 1Q49 น้อยกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ค่อนข้างมากเนื่องจากมีการบันทึกดอกเบี้ยจ่ายบางส่วนเป็นต้นทุนสินทรัพย์ ด้านโครงสร้างการเงิน ณ สิ้น 1Q49 GSTEELมี Net Gearing ที่ระดับ 0.12 เท่า ลดลงจากงวด 4Q48 ภายหลังการระดมทุนผ่านการออกหุ้น IPO แม้ว่าผลประกอบการงวด 1Q49 ที่ออกมาจะต่ำกว่าคาด แต่ราคาเหล็กที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของ GSTEEL ในงวด 2Q49 เป็นต้นไป ฝ่ายวิจัยจึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ โดยกำหนด Fair Value ที่ระดับ P/E 8 เท่า จะให้ราคาหุ้นเหมาะสม ณ สิ้นปี 2549 ที่ 1.53 บาท ซึ่งมี Upside จากราคาปัจจุบัน 3% อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยอาจมีการทบทวนประมาณการและกำหนด Fair Value ใหม่ เพื่อสะท้อนEarning Growth ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตภายหลังได้รับคำชี้แจงจากผู้บริหาร รวมถึงการที่ฝ่ายวิจัยคาดว่า GSTEEL อาจต้องมีการทบทวนลดขนาดการลงทุนจากแผนเดิมที่ 320 ล้านเหรียญฯ เหลือเพียง 220 ล้านเหรียญฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการออกหุ้นกู้เพิ่มเติมซึ่งจะทำให้ผลประกอบการในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากสมมุติฐานเดิมที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้
บล.เกียรตินาคินแนะนำขายทำกำไรMCOTราคาเป้าหมาย 33.28 บาทไตรมาส 1/49 บริษัทมีรายได้หลักรวมเท่ากับ 924 ลบ. เพิ่มขึ้น 15% yoy ( 1.จากธุรกิจทีวี เท่ากับ 581 ลบ. เพิ่มขึ้น 10% yoy จากการปรับผังในเฟส 6 และ 7 ในช่วงปี48 และต้นปี 49 ทำให้บริษัทสามารถขายโฆษณาได้เพิ่มขึ้นจากการ 2.จากธุรกิจวิทยุเท่ากับ 177 ลบ. เพิ่มขึ้นถึง 70% yoy เนื่องจากบริษัทนำคลื่นวิทยุที่มีอยู่ 6 คลื่นมาบริหารเองจากเดิมที่ให้ผู้อื่นเช่าคลื่นละ 2 ลบ./เดือน ปัจจุบันคาดว่าสามารถสร้างรายได้คลื่นละประมาณ 5-10 ลบ./เดือน 3.จากธุรกิจร่วมดำเนินกิจการ เท่ากับ 167 ลบ. ทรงตัวจากปีที่แล้วที่ 168 ลบ.)ยบริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้ที่ 61% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และบริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายได้ดีขึ้นจาก 22% ในไตมาส 1/48 เป็น 18% ในไตรมาส 1/49 จึงทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 316 ลบ. เพิ่มขึ้น 26% yoy กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.46 บาทซึ่งจากผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/49 ของบริษัท ทั้งรายได้และกำไรสุทธิของบริษัทคิดเป็นประมาณ 22-23% ของประมาณการผลการดำเนินงานทั้งปี 49 ของบริษัทที่เราคาดไว้ เราจึงยังไม่มีการปรับประมาณการผลการดำเนินงานของบริษัท ปี 49 บริษัทมีโครงการที่จะร่วมมือกับพันธมิตรที่คาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทได้อีก แต่ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวเราจึงยังไม่รวมในประมาณการใหม่ของเรา โดยหากในวันแถลงผลประกอบการไตรมาส 1/49 ของบริษัท (10 พ.ค. 49) มีรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการที่ชัดเจนกว่านี้ เราจึงจะพิจารณาปรับประมาณการผลการดำเนินงานของบริษัทอีกครั้ง เรายังคงประมาณการรายได้หลักปี 49 ของบริษัทเท่ากับ 4,036 ลบ. เพิ่มขึ้น 18% yoy และกำไรสุทธิเท่ากับ 1,433 ลบ. เพิ่มขึ้น 30% yoy กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 2.08 บาท และคาดการณ์เงินปันผลจ่ายปี 49 เท่ากับ 1.25 บาท/หุ้น เมื่อเทียบกับราคาปิดวานนี้ คิดเป็นDiv yield เท่ากับ 3.45%
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#22 วันที่: 15/05/2006 @ 09:03:20 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
KH ในยุค 2549 กับพื้นฐานที่เปลี่ยนไป
Source - ข่าวหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:08

จากนโยบายการรักษาสุขภาพถั่วหน้าของภาครัฐบาล ที่ประกาศให้มีการเพิ่มเงินอุดหนุนในการจ่ายเพิ่มให้สถานรักษาพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการหลักประกันต่างๆ อาทิ โครงการประกันสังคม โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% ถือเป็นผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบการสถานสุขภาพจะได้รับจากอานิสงส์การเพิ่มเงินอุดหนุนครั้งนี้ โดยยังไม่รวมกับอัตราการเติบโตของปริมาณผู้ป่วยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นรายต่อปี
ส่งผลให้โครงสร้างปัจจัยพื้นฐานของบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด(มหาชน)หรือKH หรือผู้ดำเนินกิจการโรงพยาบาลภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ เปลี่ยนแปลงไปโดยเริ่มสะท้อนให้เห็นจากงบการเงินของบริษัทนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2548 เป็นต้นมา
คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร ถ้าสิ่งเหล่านี้จะเป็นเหตุผลทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดหูผิดตา เพราะยิ่งดูจากรายชื่อของนักลงทุนประเภทสถาบันที่มีการเปลี่ยนหน้า และเพิ่มสัดส่วนการลงทุน รวมถึงกลุ่มนักลงทุนระยะยาวที่พร้อมเข้ามาถือหุ้นเพิ่มขึ้น ถือเป็นสัญญาณให้เห็นว่าบัดนี้หุ้นKH เป็นหนึ่งในหลักทรัพย์ที่นักลงทุนสถาบันสนใจ และพร้อมที่จะผลักดันให้เข้าเป็นหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาวต่อไป
ทั้งนี้ คงยังไม่สายเกินไปที่กล่าวถึงพื้นฐานหุ้นโรงพยาบาลตัวนี้ เพราะราคาที่ปรับตัวขึ้นไป ณ ปัจจุบัน ถือว่าเป็นเพียงการโหมโรงเท่านั้น ส่วนเนื้อหาหลักที่แท้จริงกำลังจะถูกเปิดม่านนับจากนี้ไป
-ก่อนหุ้นจะพุ่ง
นับตั้งแต่หุ้นบมจ. บางกอก เชน ฮอสปิทอล หรือ KH เข้าตลาดมาเมื่อวันที่ 10พฤศจิกายน 2547 จนถึงวันที่ 15 มีนาคม 2549 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นของบริษัทก็ปรับตัวต่ำจองมาโดยตลอด โดยไม่สามารถหาเหตุผลที่แท้จริงได้ว่าเหตุใดราคาหุ้นถึงปรับตัวลดลงได้นานถึงเพียงนี้
ยิ่งเมื่อดูจากรายงานการการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร(59-2) ผ่านสำนักงานก.ล.ต. แล้ว ถือว่าเป็นสิ่งที่ดูแล้วสวนทางกับการที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมากกล่าวคือ เมื่อถึงแม้หมดระยะไซเรนต์ พีเรียดทุกรอบ ผู้บริหาร รวมถึงผู้มีสิทธิขายหุ้น ก็ไม่มีใครขายหุ้นออกมาเลย ในทางกลับกันต่างซื้อหุ้นเข้าพอร์ของตนเองมาโดยตลอด
ถ้าคิดเป็นสัดส่วนการเก็บหุ้นของผู้บริหารอย่าง นายเฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานกรรมการบริหาร นางสมพร หาญพาณิชย์ กรรมการ และนางจุไรรัตน์ สวัสดิภาพ กรรมการ รวมทั้งสิ้น 4,754,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 0.50%
ด้านนายเฉลิม กล่าวถึงเหตุผลที่เข้ามาเก็บหุ้นของบริษัทว่า ช่วงนั้นราคาหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานจริงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรมีทางเดียวที่จะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ ก็คือการทยอยเก็บหุ้น และเก็บมาตั้งนานแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี 2548
อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนของบริษัทได้ถูกเริ่มต้นขึ้น ในผลประกอบการไตรมาส 4 ปี2548 ซึ่งถ้าไม่มีการตรวจสอบให้ลึกถึงงบการเงินบริษัท ที่ถูกอำพรางอยู่ ก็คงจะทำให้หุ้นKHถูกเมินต่อไปอีก เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะผลประกอบการจากงบการเงินรวมในปี 2548บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิเป็นเงิน 248.98 ล้านบาท ถือเป็นกำไรที่ลดลงจากปี2547 ที่มีกำไรสุทธิ 280.72 ล้านบาท หรือลดลง 11.3% (ภาพรวมกำไรลด)
ถ้าหากดูจากงบการเงินรวมของปี 2548 เทียบกับ 2547 คงจะประเมินคร่าวๆ ว่าหุ้นตัวนี้ยังมีผลประกอบการที่ไม่ดีเหมือนเดิม แต่เมื่อดูลึกลงไปถึงผลประกอบการเฉพาะไตรมาส 4 ปี 2548 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 89.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.8 %และกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี 169.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.0 %
โดยมีสาเหตุหลักเกิดจาก 1.การปรับเพิ่มงบประมาณรายหัวของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 2.บริษัทเปลี่ยนวิธีการรับเงินของผู้ป่วยในของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จากการเหมาล่ำซำต่อหัว เป็นเบิกตามความรุนแรงของโรคที่ให้บริการ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548
3. การเพิ่มสิทธิการคลอดบุตรของผู้ประกันตนในกองทุนประกันสังคม ซึ่งมีผลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2548
สิ่งเหล่านี้เป็นจุดพลิกผัน ที่ทำให้นักลงทุนหันมาสนใจหุ้นKH ทั้งนี้หลังจากงบการเงินรวมปี 2548 ของบริษัทประกาศออกไปเรียบร้อยแล้ว ราคาหุ้นของบริษัทก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด มันยังคงเป็นราคาต่ำจองเหมือนเมื่อครั้ง 1 ปีก่อนที่ผ่านมา
จนเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2549 เป็นวันที่บทวิเคราะห์ถูกเผยแพร่ หลังจากนักวิเคราะห์หลายโบรกเกอร์ ขอเข้าพบผู้บริหาร และทำบทวิเคราะห์ออกมา ทำให้ราคาในวันนั้นสามารถยืนเหนือจอง(3.80 ) ได้เป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี 5 เดือน หลังจากหุ้นKH เข้าตลาดฯมา และตั้งแต่นั้นมา ราคาหุ้นก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
-สถาบันแห่ถือหุ้น
จากการปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ของKH เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2549 ที่ผ่านมา พบว่ามีนักลงทุนทั่วไปรายใหญ่สนใจเข้ามาถือหุ้นเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการถือผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด(มหาชน) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 4.10 % จากเดิมถืออยู่เพียง 2.49 %
โดยผู้บริหารของKH กล่าวยอมรับว่า ลูกค้าที่เทรดหุ้นผ่านบล.ภัทร เป็นกลุ่มที่สนใจลงทุนในหุ้นของบริษัทมากที่สุด ซึ่งได้ส่งผู้จัดการกองทุนเข้ามาเก็บข้อมูลด้านสุขภาพ ที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัททั้งหมด
ขณะที่บริษัทอยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ประกันชีวิต จำกัด(มหาชน)ถือหุ้นเพิ่มเป็น 1.31 %จากเดิมถืออยู่ 0.68 % และกองทุนเปิดอยุธยาอิควิตี้ เข้ามาถือหุ้น 1.06 % จากเดิมที่ไม่มีถืออยู่เลย นอกจากนี้ยังมี นายธนิต ลาภพณิชพูลผล เข้ามาถือหุ้น 0.72 % ส่วนนายคเชนทร์ เบญจกุล นักลงทุนสไตล์แวลู อินเวสเตอร์ ที่ผันตัวเองจากการเป็นนักวิเคราะห์ในสังกัด กองทุนยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ อย่าง กบข. เหมือน2-3 ปีก่อน กลายมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว ก่อนที่จะรับจ้างบริหารพอร์ตลงทุนให้กับคนใกล้ชิด เข้ามาถือหุ้น 0.67%ทั้งนี้นายคเชนทร์ ยังถือหุ้นในบมจ. ไอที ซิตี้ (IT) อยู่ 0.56%
นอกจากนี้ มีรายชื่อของนางวราณี เสรีวิวัฒนา ญาติ นายไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ก็สนใจเข้ามาร่วมลงทุนในครั้งนี้ด้วย สำหรับ UBS SECURITIES LLC-HFS CUSTOMERSEGREGAT ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 0.51 % จากเดิมที่ถืออยู่ 1.24 % รวมถึง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงานบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) และ นาย วิชัย มิตรสันติสุข ก็ไม่มีหุ้นเหลืออยู่แล้ว จากเดิมที่ถืออยู่จำนวนเท่ากัน 0.74 %
ผลพ่วงจากราคาหุ้นที่ต่ำจองมานาน ทำให้นักลงทุนรายย่อยหลายรายถอดใจทิ้งหุ้นไปก่อนที่อะไรมันดีขึ้น ทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นKH ณ ปัจจุบัน มีสัดส่วนจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยลดลง จากเดิม 2,319 ราย หรือคิดเป็น 24.03 % เหลือ 1,468 ราย หรือคิดเป็น 19.94%
สิ่งแสดงให้ถึงความกระชับของจำนวนผู้ถือหุ้นที่ไม่ใช่ลักษณะเบี้ยหัวแตก รวมถึงแนวโน้มความเคลื่อนไหวราคาหุ้นจากนี้ไป คงจะไม่มีผันผวนให้เห็นอีกแล้ว เพราะนักลงทุนที่เข้ามาใหม่เป็นกลุ่มลงทุนระยะยาว ประกอบกับไม่มีรายชื่อนักลงทุนที่มีชื่อเสียงในการเก็งกำไรเข้ามาถือหุ้นให้เห็น ปัจจุบันมาร์เก็ตแคปของบริษัททะลุ 5,000 ล้านบาทไปเรียบร้อยแล้ว
-ปีแห่งการเติบโต
เมื่อเอ่ยถึงสัญญาณแห่งการเติบโตทางด้านพื้นฐานของหุ้น KH ในปี 2549 นี้ ถูกเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2548 เป็นต้นมา และในปี 2549 นี้จะเรียกได้ว่าเป็นปีแห่งการเติบโตและรอรับผลประโยชน์อย่างเต็มไม้เต็มมือ
โดยดูได้จากผลประกอบการของไตรมาส 1 ปี 2549 มีกำไรสุทธิจำนวน 90.46ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเท่ากับ 172.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.96% จากงวดเดียวกันของปีก่อนโดยมีปัจจัยสนับสนุนดังกล่าว 1. การปรับเพิ่มงบประมาณรายหัวของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
2. บริษัทเปลี่ยนวิธีการรับเงินของผู้ป่วยในของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จากการเหมาล่ำซำต่อหัว เป็นเบิกตามความรุนแรงของโรคที่ให้บริการ 3. จำนวนผู้ประกันตนในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเฉลี่ยไตรมาสที่ 1/2549 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2548ประมาณร้อยละ 20
ทั้งนี้จุดเด่นของบริษัทจะอยู่ที่ ฐานรายได้หลักถูกกระจายออกไป โดยไม่เน้นการพึ่งพาลูกค้ากลุ่มใดเป็นหลัก อาทิ ตลาดเงินสด จะแบ่งเป็นผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยใน ซึ่งถือว่ามีอัตราการเติบโตอยู่ในตัวเองอยู่แล้วทุกๆ ปี เนื่องจากมีศูนย์เฉพาะทางเกิดขึ้น โดยจะมีสัดส่วนฐานลูกค้าอยู่ 60 %
ในขณะที่ตลาดกลุ่มหลักประกันต่างๆ ที่จะมีกลุ่มลูกค้าประกันสังคม และโครงการ 30บาท ซึ่งหลักประกันทั้ง 2 ส่วนดังกล่าวถือว่ามีความเสี่ยงที่น้อยกว่าตลาดกลุ่มอื่น เพราะมีภาครัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนอยู่แล้ว
สำหรับแนวโน้มการเพิ่มเงินอุดหนุนโครงการเหล่านี้มีความเป็นไปได้สูง โดยปัจจุบันโครงการประกันสังคมที่ภาครัฐบาลอุดหนุนให้รายหัวจำนวน 2,036 บาท (รวมค่าคลอดบุตร377 บาท ค่าทันตกรรม 65 บาท) เพิ่มขึ้นจากเดิมจำนวน 1,590 บาท โดยในต้นปีหน้า 2550 จะเป็นปีที่มีการใส่เงินอุดหนุนเพิ่ม ตามการกำหนดการเพิ่มเงินอุดหนุนให้กับโครงการประกันสังคม ที่จะเกิดขึ้นทุกๆ 2 ปี
ในขณะที่โครงการ 30 บาท ได้รับการอุดหนุนเพิ่มขึ้นจากปลายปี 2548 ที่ระดับ 1,396 บาท เป็น 1,659 บาท ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 18 % โดยแนวโน้มจากปีงบประมาณใหม่ที่จะออกในวันที่ 1 ตุลาคม 2549 จะมีการเพิ่มการอุดหนุน ตามที่รัฐมนตรี พินิจ จารุสมบัติ มองไว้จะต้องเพิ่มให้มากกว่า 2,000 บาทอย่างแน่นอน
นายเฉลิมกล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีกลุ่มฐานผู้ป่วยกลุ่มประกันสังคมอยู่4.5 แสนราย ในขณะที่โครงการ 30 บาท มีอยู่ 3.5-3.7 แสนราย ซึ่งแนวโน้มในปีนี้จะมีผู้มาลงทะเบียนที่เพิ่มขึ้น เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นราย
จากการเพิ่มเงินอุดหนุนดังกล่าว ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้นทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไม่มาก รวมถึงจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการเบิกจ่ายจากภาครัฐกรณีของผู้ป่วยใน จากเดิมที่เคยรับเป็นแบบเหมาจ่าย ให้กลายเป็นเบิกตามค่าใช้จ่ายจริง ส่งผลให้กำไรปีนี้จะโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 360 ล้านบาท จากเมื่อปีก่อนอยู่ที่ 249 ล้านบาท
สิ่งนี้ถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้KH มีความโดดเด่นในเรื่องการอัตราการเติบโตที่จะก้าวต่อไปในอนาคต ในไม่ช้าเราคงได้เห็นราคาหุ้นเติบโตไปพร้อมกับผลประกอบการอย่างแน่นอน
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#23 วันที่: 15/05/2006 @ 09:05:17 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
วันนี้THECOคืนถิ่น Q3สวยเหล็กหนุน
Source - ข่าวหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:07

วันนี้ THECO กลับหมวดยานยนต์ แผนเทกโรงงานเหล็กสิ้นเดือนนี้รู้ผล ต้องรอไตรมาส 3งบถึงสวย เพิ่มกำลังผลิตเป็น 70% กำไรปรับโครงสร้างหนี้อีกพันล้านบาท โบรกฯเชื่อย้ายหมวดไม่หนุนหุ้นวิ่ง มองราคารับข่าวไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (15 พ.ค.) หุ้นบมจ.ไทยฮีทเอ็กช์เช้นจ์ หรือ THECOผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศในอาคาร และรถยนต์ จะย้ายออกจากหมวดบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ระหว่างแก้ไขการดำเนินงาน (รีแฮบโก้) กลับเข้าซื้อขายหมวดปกติในกลุ่มยานยนต์ หลังจากเมื่อเดือนเมษายนศาลล้มละลายกลางพิจารณาให้ย้ายออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ
แหล่งข่าวกล่าวว่า แผนเข้าไปเทกโอเวอร์โรงงานผลิตเหล็กจะรู้ผลประมาณวันที่29 พฤษภาคมนี้ เพราะศาลล้มละลายกลางจะมีคำวินิจฉัยติดสินเกี่ยวกับแผนลงทุนของTHECO และคาดว่าศาลฯ จะพิจารณาเห็นชอบกับแผนดังกล่าว เนื่องจากกลุ่มเจ้าหนี้ของโรงงานผลิตเหล็กไม่มีใครคัดค้าน
ตอนนี้กลุ่มเจ้าหนี้ของบริษัทโรงเหล็กดังกล่าวกว่า 80% มีมติเห็นชอบกับแผนการเข้าเทกโอเวอร์ของไทยฮีทฯ ทั้งหมด เหลือเพียงรอความเห็นชอบจากทางศาลล้มละลายกลางประมาณสิ้นเดือนพ.ค.นี้
สำหรับการรับรู้รายได้จากโรงงานผลิตเหล็กดังกล่าว จะเป็นไตรมาส 3 เพราะต้องรอให้ทางศาลฯ มีคำสั่งตัดสินให้ไทยฮีทฯ เข้าลงทุนก่อน จึงจะใส่เงินเข้าไปราว 300ล้านบาท แบ่งเป็นเงินออกหุ้นเพิ่มทุนของ THECO จำนวน 250 ล้านบาท และที่เหลือกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
ดังนั้นการใส่เงินเข้าไปทำให้โรงงานมีกำลังการผลิตเพิ่มจากปัจจุบันประมาณ 20-30% เป็นกว่า 70% จากกำลังผลิตทั้งหมด 2-3 แสนตันต่อปี ทำให้บริษัทรับรู้รายได้เพิ่มนอกจากนั้นยังบันทึกรายได้จากการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทเหล็กไม่ต่ำกว่า 1,000ล้านบาท ดังนั้นทำให้ไตรมาส 3 THECO มีกำไรออกมาดีเกินคาด
อย่างไรก็ตาม การเข้าไปลงทุนในบริษัทผลิตเหล็กของ THECO จะสร้างรายได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่มีรายได้หลักมาจากธุรกิจแอร์ในบ้านและรถยนต์เกือบ 100% มาเป็นธุรกิจแอร์ในบ้าน และรถยนต์ประมาณ 45% และรายได้จากธุรกิจเหล็กประมาณ 55%ทำให้มีความเป็นไปว่าในปี 50 ทางผู้บริหารจะขอย้ายหลักทรัพย์ THECO ไปอยู่ในหมวดวัสดุก่อสร้างจากเดิมที่อยู่ในกลุ่มยานยนต์
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ข่าวการย้ายกลับเข้าหมวดปกติของบริษัทไทยฮีทฯ ไม่มีผลต่อราคาในกระดานมากนัก เพราะหุ้นเทรดอยู่แล้ว และที่ผ่านมาราคาวิ่งรับข่าวไปก่อนหน้าแล้ว โดยเคยขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 2.50-2.60 บาท นอกจากนั้นปัจจัยพื้นฐานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลง ส่วนแผนเข้าไปเทกบริษัทผลิตเหล็กนั้นขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควรจึงไม่สามารถประเมินได้
นายชำนิ จันทร์ฉาย ประธานกรรมการ บริษัท ไทยฮีทเอ็กซ์เช้นจ์ จำกัด (มหาชน)หรือ THECO กล่าวยอมรับว่า ธุรกิจเหล็กที่ THECO จะเข้าไปลงทุนนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินแผนการลงทุนว่าจะเลือกเข้าไปซื้อหุ้น หรือซื้อสินทรัพย์ เช่น โรงงาน ที่ดินและเครื่องจักร นอกจากนั้นมีแผนจะเข้าไปลงทุนในอีก 2-3 บริษัทที่อยู่ในกลุ่มเหล็กเช่นเดียวกัน แต่ต้องรอเข้าไปลงทุนในบริษัทเหล็กก่อน
สำหรับธุรกิจผลิตเครื่องปรับอากาศสำหรับอาคารและรถยนต์ปีนี้นั้น คาดว่าจะมีรายได้มากกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 48 ที่มีรายได้ประมาณ 200-300 ล้านบาท เพราะได้เพิ่มกำลังการผลิตจาก 30% เป็น 50-60% จากกำลังการผลิตรวม 4.80 แสนชิ้นต่อปีนอกจากนั้นมีแผนส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น เช่น ยุโรป ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% เป็น 30-40%
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#24 วันที่: 15/05/2006 @ 09:07:04 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
แอทเซทพลัสจิ๋วแต่แจ๋ว ปี48กำไรพุ่ง42ล้าน Source - ข่าวหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:05

ผลการดำเนินประจำปี 2548 ที่ทำกำไรกว่า 40 ล้านบาท โดยไม่มีแบงก์หนุนหลังคอยให้ความช่วยเหลือเหมือนคนอื่น ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อแผนการขยายฐานลูกค้าระดับกลางในปี49 หลังเตรียมออกองทุนรูปแบบใหม่ที่มีผลตอบแทนสูงกว่า มั่นใจผลกำไรปีนี้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า15%
นางลดาวรรณ เจริญรัชค์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแอทเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2548 ที่มีกำไรสุทธิ 42.81 ล้านบาทหรือ 4.28 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.71 ล้านบาท หรือ 0.57 บาทต่อหุ้นถือว่าบรรลุเป้าหมายของบริษัทเบื้องต้นเท่านั้น
เนื่องจากเป้าผลกำไรที่ตั้งไว้จริงๆ สูงกว่านี้ แต่เมื่อพิจารณาองค์ประกอบรอบด้านของตลาดหุ้นที่ไม่เอื้อต่อการลงทุนในปีที่ผ่านมา ผลกำไรที่ออกมาขนาดนี้ถือว่าพอใจในระดับหนึ่ง เพราะพอร์ตของบริษัทหนักไปในด้านตลาดหุ้น
โดยส่วนตัวยังเชื่อว่า ผลการดำเนินงานในปี 2549 จะโตไม่ต่ำกว่า 15% เพราะบริษัทหันไปขยายฐานลูกค้าระดับกลางอย่างเต็มตัว หลังจากปี 2548 จับลูกค้าเฉพาะระดับบนมาเป็นเวลานาน
สำหรับหัวใจสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการออกมาดี ทั้งที่ไม่มีแบงก์คอยให้ความช่วยเหลือเหมือน บลจ. อื่น ล้วนมาจากการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพถึงทำให้สรายได้และผลกำไรออกมาค่อนข้างดี
ประกอบกับพอร์ตของบริษัทเป็นกองทุนส่วนบุคคลที่เน้นลงทุนในหุ้นเป็นหลัก ทำให้บริษัทได้รับค่าบริหารจัดการที่ค่อนข้างสูง และเป็นข้อได้เปรียบที่ บลจ. อื่นๆ ยากจะเลียนแบบได้หมดทุกอย่าง
เนื่องจากการทำงานของ บลจ.แอทเซท พลัส ยึดหลักในเรื่องต้องเสนอสิ่งดีๆให้กับลูกค้า ควบคู่กับผลตอบแทนของบริษัทต้องสมน้ำสมเนื้อ บริษัทถึงไม่ต้องกระโดดลงไปเล่นสงครามแข่งกับคนอื่น
ที่สำคัญการทำงานของบริษัทเป็นอิสระอย่างมาก เพราะกองทุนส่วนใหญ่ก็ขายเองเกือบทั้งหมด จึงมีความใกล้ชิดกับลูกค้ามากเป็นพิเศษ รวมทั้งการแนะนำแต่สิ่งที่ดีให้กับลูกค้าเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าเกิดความศรัทธา และเชื่อมั่นในตัวบริษัท จึงไม่คิดย้ายพอร์ตไปอยู่กับ บลจ. อื่น นางลดาวรรณ กล่าวถึงกุญแจสำคัญที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างภาคภูมิใจ
สิ่งที่บริษัททำมาโดยตลอดอีกอย่างหนึ่ง คือ ไม่บีบบังคับลูกค้าให้ลงทุนไม่ภาวะที่การลงทุนไม่ดี เพราะไม่ใช้วิธีสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้า และตัวบริษัท ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
บริหารงานแบบมืออาชีพ
นางลดาวรรณ กล่าวว่า บริษัทมีการกำหนด รูปแบบ และนโยบายการลงทุน เพื่อให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ และเป้าหมาย ทางการเงินของลูกค้ามากที่สุด พร้อมด้วยทีมผู้บริหารผู้จัดการกองทุน และผู้วางแผนการลงทุน (Investment Planner) ที่เชี่ยวชาญไว้คอยบริการ
ด้วยความพร้อมด้านระบบการจัดการกองทุนและระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนบุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทางด้านการลงทุนไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการการลงทุน (Investment Committee)ผู้จัดการกองทุน หรือผู้วางแผนการลงทุน (Investment Planner) ทำให้บริษัทมีความเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพที่จะเป็นผู้บริหารเงินลงทุนของนักลงทุน
นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายการลงทุนร่วมกับผู้จัดการกองทุนตามแบบที่ท่านพอใจ และเพื่อความยืดหยุ่นและความคล่องตัวในการปรับพอร์ตการลงทุน นักลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนให้เป็นไปตามความต้องการในแต่ละขณะได้อย่างเหมาะสมที่สุด
โดยผู้จัดการกองทุนจะเป็นผู้รายงานความเคลื่อนไหวของเงินลงทุนให้แก่ลูกค้าเป็นประจำรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน รวมทั้งจัดส่งข้อมูลหรือข่าวสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์เพื่อสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจลงทุน
นอกจากนี้ยังมีการ การกระจายความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน ด้วยการผสมผสานการลงทุนในตราสารต่างๆ ที่มีอยู่ทั้งในตลาดแรก และตลาดรอง เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนตามที่คาดหวังภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้
เหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ บลจ.แอทเซท พลัส ยืนหยัดด้วยตนเอง และกล้าเสนอทางเลือกการลงทุนใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งจะทำให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#25 วันที่: 15/05/2006 @ 09:08:33 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
BECไตรมาส1กำไรพุ่งร้อยละ184
Source - กระแสหุ้น Monday, 15 May 2006 04:39

บีอีซีเวิลด์ โชว์ผลประกอบการไตรมาสแรก มีกำไร 436 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 184 เตรียมขยายรายการที่น่าสนใจเจาะกลุ่มตลาดต่างประเทศที่มีคนไทยอาศัยอยู่ ยอมรับไอทีวีปรับผังรายการอาจทำให้ลูกค้ากลับมาเพิ่มขึ้น
นายประวิทย์ มาลีนนท์ กรรมการรองผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บีอีซีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทไตรมาสแรกปี 49 มีรายได้จากการขยายโฆษณา จำนวน 1,498 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 389 ล้านบาท หรือร้อยละ 35 ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน 436 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 283 ล้านบาท หรือร้อยละ 184 เนื่องจากรายได้จากการโฆษณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน ขณะที่ต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเริ่มทรงตัวบ้าง โดยไม่ปรับเพิ่มขึ้นมากเหมือนกับปีที่ผ่านมา จึงทำให้กลุ่มบีอีซีเวิลด์มีกำไรสูงขึ้น ที่สำคัญการนำละครเกาหลีมาฉายเพิ่มอีกเรื่อง ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและเติบโตต่อเนื่อง
สำหรับแผนการขยายรายได้ของบริษัท ได้เตรียมขยายความร่วมมือกับสถานีโทรทัศน์ในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น หรือ ประเทศต่างๆ ที่มีคนไทยอาศัยอยู่เกิน 50,000 คน เพื่อนำรายการต่างๆ และละครออกไปแพร่ภาพในต่างประเทศ ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งในการขยายตลาดออกไปสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อให้ต่างชาติได้รับรู้วัฒนธรรมของคนไทยไปด้วยทางหนึ่ง และยอมรับว่าหลังจากสถานีโทรทัศน์ไอทีวี มีปัญหาเรื่องการจ่ายค่าสัมปทาน และเมื่อมีการปรับผังรายการใหม่ อาจทำให้ลูกค้าและคนดูรายการบันเทิงหันมากลับที่ช่อง 3 มากขึ้น เพราะไอทีวีต้องลดรายการบันเทิงจากร้อยละ 50 เหลือร้อยละ 30 เพราะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไอทีวีได้ดึงลูกค้าและคนดูซึ่งเป็นฐานลูกค้าเดิมพอสมควร
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#26 วันที่: 15/05/2006 @ 09:10:48 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
SATTELยิงไทยคม5ปลายพ.ค.นี้ Source - กระแสหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:39

ชินแซทฯ เตรียมยิงดาวเทียมไทยคม 5 ปลายเดือน พ.ค.นี้ และเตรียมโอนลูกค้าไทยคม 3 มาไทยคม 5 คาดจะคุ้มต้นทุนโดยเร็ว ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 1 ยังขาดทุน 58 ล้านบาท
นายธนทิต เจริญจันทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการส่วนงานการเงินและบัญชี บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SATTEL เปิดเผยว่า ปลายเดือนพฤษภาคมนี้บริษัทจะยิงดาวเทียมไทยคม 5 ขึ้นสู่วงโคจร จากนั้น 15 วันจะสามารถให้บริการ ซึ่งจะโอนย้ายลูกค้ากลุ่มแพร่กระจายสัญญาณโทรทัศน์จากดาวเทียมไทยคม 3 มาไว้ที่ไทยคม 5 คาดจะคุ้มต้นทุนโดยเร็ว เนื่องจากไทยคม 5 มีต้นทุนเพียง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจ่ายค่าสัมปทานปีละ 7 ล้านดอลลาร์เท่านั้น แต่ที่ต้องเร่งขยายลูกค้าคือดาวเทียมไทยคม 4 หรือ ไอพีสตาร์ ที่จะเพิ่มเกตเวย์อีก 2 แห่งในจีน รวมทั้งในอินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วนมาเลเซีย อินโดนีเซีย และญี่ปุ่นกำลังเร่งปิดการขาย
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2549 พบว่าบริษัทฯ มีรายได้รวมสำหรับไตรมาส 1 ปี 2549 จำนวน 1,970 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 58 ล้านบาท เป็นผลจากค่าเสื่อมราคาดาวเทียมไอพีสตาร์และดอกเบี้ยจ่าย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของธุรกิจดาวเทียมที่ต้องหักค่าเสื่อมฯ ไปก่อนที่จะรับรู้รายได้ในภายหลัง มั่นใจว่าหลังจากนี้จะมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายยอดขายอุปกรณ์ปลายทางของผู้ใช้ (เทอร์มินอล) รับสัญญาณดาวเทียมจะสูงถึง 100,000 ชุดในปีนี้ จากไตรมาสแรกมียอดขายแล้ว 11,134 ชุด คิดเป็นกำไรถึงร้อยละ 30
ส่วนรายได้ไตรมาสแรกมาจากการให้บริการวงจรดาวเทียมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องรวม 1,153 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 52.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเป็นรายได้จากดาวเทียมไอพีสตาร์ 508 ล้านบาท หลังจากยิงสู่วงโคจรเมื่อเดือนสิงหาคม 2548 ขณะที่รายได้จากธุรกิจโทรศัพท์ในประเทศลาวและกัมพูชาเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.5 และรายได้จากบริการอินเทอร์เน็ตของบริษัท ลาวเทเลคอมและกัมพูชาชินวัตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 ขณะที่กลุ่มซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) มีรายได้ 25 ล้านบาท
........................................................................................................


TUFส่งออกพุ่งหนุน Q1รายได้โต16% Source - กระแสหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:38

ไตรมาสแรกของปี 2549 TUF ส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายได้โต 16% โดยมีผลิตภัณฑ์ทูน่าแช่แข็งและบรรจุกระป๋องเป็นพระเอก ผู้บริหารตั้งเป้าเน้นการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ รับมือกับภาวะผันผวนทางเศรษฐกิจ
รายงานข่าวจากบริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งและบรรจุกระป๋องรายใหญ่ของไทย และบริษัทในเครือ แจ้งว่า บริษัทมีกำไรสุทธิก่อนรายจ่ายพิเศษ ไตรมาส 1/2549 สิ้นสุดงวดบัญชีวันที่ 31 มีนาคม 2549 เท่ากับ 494.0 ล้านบาท จากรายได้รวม 13,871.1 ล้านบาท โดยมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.56 บาท
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร TUF เปิดเผยว่า สำหรับไตรมาสแรกในปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายเท่ากับ 13,720.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 16% จาก 11,865.8 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นรายได้จากการขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 14% จาก 307.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2548 เป็น 350.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2549 โดยรายได้ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากการขายปลาทูน่าทั้งแช่แข็งและบรรจุกระป๋อง รองลงมาคือผลิตภัณฑ์จากกุ้ง และอาหารแมวบรรจุกระป๋อง
โดยในปี 2549 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 432.8 ล้านบาท แต่หากรวมกำไรก่อนหักรายจ่ายพิเศษที่เกี่ยวกับการลงทุนในอนาคต จำนวน 61.2 ล้านบาท จะทำให้บริษัทฯ มีกำไรอยู่ที่ 494.0 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 4.64% จากช่วงเดียวกันของปี 2548 ที่มีกำไร 472.1 ล้านบาท
ขณะที่ในส่วนของยอดขายตามผลิตภัณฑ์ของ TUF ในปี 2549 นี้ ปลาทูน่าบรรจุกระป๋องและแช่แข็งยังคงครองอันดับหนึ่งของผลิตภัณฑ์อาหารทะเลบรรจุกระป๋องและแช่แข็ง โดยมียอดขายถึง 53% รองลงมาคือ กุ้งแช่แข็ง 17% อาหารแมวบรรจุกระป๋อง 9% อาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 8% อาหารกุ้ง 5% ขายภายในประเทศ 5% และปลาหมึกแช่แข็ง 3% สำหรับตลาดส่งออกของบริษัทฯ ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก แต่หากมองถึงศักยภาพการส่งออกจากไทย ตลาดที่ใหญ่และแนวโน้มที่สูงขึ้นอยู่ที่ตลาดของสหภาพยุโรป เนื่องจากสหภาพยุโรปได้คืนสิทธิพิเศษทางศุลกากร หรือ GSP สำหรับสินค้ากุ้งไทย และปลาทูน่าบรรจุกระป๋อง ทำให้อัตราภาษีนำเข้าลดลงจากเดิม ซึ่งสิทธิพิเศษนี้ได้เริ่มใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2549 เป็นต้นมา และจะมีผลบังคับเป็นเวลา 3 ปี
นายธีรพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนจากปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต รวมถึงการปรับราคาสินค้าให้เหมาะสม ส่งผลให้บริษัทฯ ยังคงมีอัตราการเจริญเติบโตอย่างมั่นคง รายได้เพิ่มขึ้นระดับสูง และสร้างผลกำไรที่งดงามได้อย่างต่อเนื่อง
......................................................................................................



ตลท.ไม่ย้าย TPI ออกรีแฮปโก้ เหตุรอ ประชัย จะพ้นบอร์ด Source - กระแสหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:37

กิตติรัตน์ ยืนยันลาออกแน่ เหตุจากเบียร์ช้างกระจายหุ้นในตลาดสิงคโปร์ ส่วนกรณียังไม่ย้ายหุ้น ทีพีไอ จากหมวดรีแฮปโก้ เพราะรอ ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ แสดงสปิริตลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัท
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.จะยังไม่อนุญาตให้หุ้นของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) (TPI) หรือ ทีพีไอ ย้ายจากหมวดฟื้นฟูกิจการ (รีแฮปโก้) กลับไปยังหมวดปกติ จนกว่านายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จะพ้นจากการเป็นกรรมการของบริษัท เนื่องจากนายประชัย ขาดคุณสมบัติในการเป็นกรรมการของบริษัทจดทะเบียน เพราะถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษ
หากนายประชัย ยังไม่พ้นไปจากบอร์ด ก็คงย้ายให้ไม่ได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการทีพีไอชุดใหม่ที่จะดำเนินการให้นายประชัย ออกจากการเป็นกรรมการของบริษัท โดยก่อนหน้านี้ ตลท.ได้แจ้งคณะกรรมการของทีพีไออย่างไม่เป็นทางการไปแล้ว และจะแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรในสัปดาห์นี้ เพื่อให้คณะกรรมการของทีพีไอดำเนินการ ส่วนจะใช้วิธีการไหน ก็แล้วแต่คณะกรรมการจะตัดสินใจ นายกิตติรัตน์ กล่าว
นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า เชื่อว่านายประชัย จะมีสปิริตที่ดีในเรื่องนี้เหมือนที่ได้เห็นมาแล้วกับการแสดงสปิริตในกรณีการออกจากคณะกรรมการของบริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งถ้านายประชัย ดำเนินการอย่างนั้นได้ ก็จะมีแต่คนให้กำลังใจกับนายประชัย
นายกิตติรัตน์ กล่าวถึงกระแสข่าวการลาออกจากตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ว่า ยังไม่ได้ยื่นหนังสือลาออกต่อคณะกรรมการ ตลท. แต่ยังไงก็คงต้องยื่น โดยเป็นไปตามเงื่อนไขเดิมที่เคยประกาศไว้ว่าจะลาออกจากตำแหน่ง หากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเบียร์ช้าง เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ได้ ส่วนถ้าตนลาออกแล้ว จะมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องรู้สึกอาย และจะลาออกตามหรือไม่นั้นไม่สามารถทราบได้
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#27 วันที่: 15/05/2006 @ 09:13:13 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
JASสัญญาณบวกชัดเจน หลุดแผนฟื้นฟูฯไม่เกิน Q2
Source - กระแสหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:36

หุ้น จัสมิน อินเตอร์ฯ สัญญาณบวกชัดเจน วอลุ่มโตรองรับ ปัจจัยใกล้หลุดแผนฟื้นฟูฯช่วยหนุน คาดไม่เกินไตรมาส 2 และตอบรับข่าวดันบริษัทลูกเข้าตลาด นักวิเคราะห์ระบุทิศทางราคาหุ้น JAS ระบุสั้นปรับตัวขึ้นได้ต่อประเมินแนวต้านสำคัญ 0.60-0.66 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีการซื้อขายค่อนข้างคึกคัก ราคาหุ้นเริ่มมีทิศทางขาขึ้น ทั้งนี้ตลอดรอบ1เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นเคลื่อนไหวในกรอบราคา 0.51-0.57 บาท ล่าสุด (11 พ.ค.) ปิดที่ระดับ 0.57 บาท ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาหุ้น JAS คือ ประเด็นข่าวเรื่องการหลุดจากแผนฟื้นฟูกิจการโดยขณะที่กำลังอยู่ระหว่างการรอให้ศาลอนุมัติ ให้ออกจากจากแผนฟื้นฟูกิจการ คาดการณ์จะอยู่ในช่วงไตรมาส 2/49 นี้
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ JAS เตรียมผลักดันบริษัทย่อยคือ บริษัทจัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในเร็วๆ นี้ หลังจากที่ได้เลื่อนออกไป จากเดิมกำหนดไว้เป็นช่วงปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา
ปัจจัยเข็นบ.ลูกเข้าตลาดช่วยหนุน
แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น JAS มองว่าเกิดจากการเก็งกำไรเพื่อรับข่าวการนำบริษัทย่อย จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปและสามารถนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่เกินน่าไตรมาส 2/49นี้ อย่างไรก็ดีขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดราคาขายไอพีโอที่แน่นอน สำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ เป็นผู้ประกอบการเพื่อประมูลเกี่ยวกับโครงการด้านไอซีที โทรคมนาคม วางระบบ รวมทั้งติดตั้งโทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งการขยายตัวของบริษัทจะขึ้นอยู่กับการขยายตัวธุรกิจโทรคมนาคมเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามมองว่าการเติบโตของทาง จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ สัดส่วนรายได้ไม่มีผลต่อการรับรู้รายได้ของบริษัทแม่ JAS มากนัก เนื่องจากสัดส่วนรายได้ค่อนข้างกระจาย อีกทั้งบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล มีบริษัทในเครืออื่นๆอีกมากเช่นกัน
ราคาหุ้นมีแนวต้านที่ 0.60-0.66บ.
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ ประเมินว่า ระยะสั้นสัญญาณเทคนิคหุ้น JAS ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ โดยประเมินแนวต้านแรก 0.60 บาท และแนวต้านถัดไป 0.65 บาท ประเมินแนวรับ 0.53-0.55 บาท อย่างไรก็ดีหุ้น JAS ถือว่าสภาพคล่องในการซื้อขายไม่มากนัก อีกทั้งการปรับตัวขึ้นของหุ้นที่ผ่านมาจะมีการปรับตัวขึ้นเป็นรอบๆ เท่านั้น แม้ว่าช่วงนี้จะยังคงมีสัญญาณซื้อขายเข้ามาสนับสนุนบ้างก็ตาม
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.สินเอเชีย กล่าวว่าปริมาณการซื้อขายหุ้น JAS ช่วงนี้ถือว่าหนาแน่นขึ้น เมื่อเทียบกับอดีตการซื้อขายหุ้นที่ผ่านมา ประเมินว่าแนวโน้มระยะสั้นหุ้นสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อ โดยมองแนวต้านที่จุดสูงสุดเดิม 0.66 บาท ในขณะที่แนวรับ0.54 บาท ทั้งนี้สามารถเก็งกำไรได้ช่วงสั้นๆ
ราคาหุ้นสัญญาณดีมีวอลุ่มรองรับ
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูไนเต็ด กล่าวว่า การปรับตัวขึ้นของหุ้น JAS ช่วงนี้ ถือว่าเป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ค่อนข้างดี เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายเข้าสนับสนุนกับปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นโดยประเมินแนวต้านแรก 0.58 บาท และแนวต้านถัดไป 0.66 บาทในขณะที่ประเมินรับ 0.53 บาท แนะเก็งกำไร
_________________
.......................................................................................................


TT&Tเล็งออก2โปรโมชั่นใหม่ มั่นใจดึงลูกค้า 2 แสนในสิ้นปี Source - กระแสหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:35

TT&T มั่นใจ 2 โปรโมชั่นใหม่จะช่วยให้ขยายฐานลูกค้า ถึง 2 แสนรายในสิ้นปีนี้
นายประสิทธิ์ชัย กฤษณยรรยง ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) (TT&T) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเก็บข้อมูลความสนใจใช้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ของ TT&T เพื่อประกอบการออกโปรโมชั่นพิเศษ ทดลองใช้ฟรี 1 เดือน หากไม่พอใจสามารถยกเลิกใช้บริการได้ทันที ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ภายในเดือน พ.ค. นี้แน่นอน ขณะเดียวกันก็เตรียมร่วมมือกับผู้จัดจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ นำอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์แถมไปกับการจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย โดยตั้งหมายลูกค้าเข้าใช้บริการประมาณ 2 แสนรายในสิ้นปีนี้
ตอนนี้กำลังพิจารณากันอยู่ว่ารูปแบบการให้ทดลองใช้ฟรี 1 เดือน โดยไม่มีข้อผูกมัดจะเป็นอย่างใด แต่เบื้องต้นการให้บริการในรูปแบบดังกล่าวจะยังไม่มีการปรับลดอัตราค่าบริการอย่างแน่นอน โดยลูกค้าที่สนใจยังต้องเลือกแพคเกจใช้บริการเดิม ที่คิดค่าบริการเหมาจ่ายรายเดือนต่ำสุดประมาณ 590 บาท นายประสิทธิ์ชัย กล่าว
ทั้งนี้ในส่วนของลูกค้าที่เข้าใช้บริการอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ของ TT&T จนถึงขณะนี้มีประมาณ 1 แสนราย แบ่งเป็นผู้ใช้บริการที่ดำเนินการโดย TT&T ทั้งหมดประมาณ 80,000 ราย ที่เหลือเป็นการดำเนินงานร่วมกับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (CAT) และผู้ให้บริการรายอื่น โดยเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีที่แล้ว ที่มีลูกค้าประมาณ 40,000 รายเท่านั้น
นายประสิทธิ์ชัย กล่าวว่า จำนวนลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลมาจากความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงมีเพิ่มขึ้น เฉลี่ยมีลูกค้าใหม่ขอใช้บริการประมาณ 300-400 ราย/เดือน เพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว ที่เฉลี่ยมีลูกค้าขอใช้บริการประมาณ 200 ราย/เดือน โดยมั่นใจว่าจนถึงสิ้นปีนี้ตลาดรวมของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ทั้งประเทศจะถึง 1 ล้านรายอย่างแน่นอน
อินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะการให้บริการในรูปแบบของ ทริปเปิ้ลทรี ซึ่งสามารถให้บริการได้ทั้งโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต และดูทีวี ได้ในเวลาเดียวกัน หากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) สามารถออกใบอนุญาตอินเตอร์เน็ตรูปแบบใหม่ (ไวแมกซ์) ได้เร็วเท่าไหร่ก็จะเห็นบริการดังกล่าวเร็วมากขึ้น นายประสิทธิ์ชัย กล่าว
......................................................................................................


WIN เร่งเจรจาพาร์ทเนอร์ จับตา..หุ้นดีดขึ้นรอบใหม่! Source - กระแสหุ้น
Monday, 15 May 2006 04:35

วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค เร่งเจรจาพาร์ทเนอร์ธุรกิจ ทั้งในและต่างประเทศ คาดได้ข้อสรุปปลายไตรมาส 2 ธุรกิจโลจิสติกส์เริ่มฮอต ลูกค้าทยอยติดต่อใช้บริการ พร้อมศึกษาแผนการลงทุนด้านอื่นๆ เพิ่มขึ้น ตั้งเป้าอัตราการเติบโตปีนี้ประมาณ 15% ด้านนักวิเคราะห์แนะให้จับตาราคาหุ้น WIN ดีดขึ้นรอบใหม่ ประเมินแนวต้านสำคัญที่ 3.20 บาท
นายภัทรลาภ ทวีวงศ์ ณ อยุธยา ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ WIN เปิดเผยว่า บริษัทได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตปีนี้ประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปี 2548 ที่มีรายได้อยู่ที่ 80 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากพื้นที่ให้เช่าเพิ่ม และรายได้จากการบริการต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนจากการให้เช่าประมาณ 90% และบริการ 10%
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ ได้ตั้งบริษัทลูกขึ้นมา คือ บริษัท วินโคสท์ โลจิสติกส์ จำกัด โดยบริษัทนี้จะดำเนินธุรกิจทางด้านให้บริการด้านโลจิสติกส์ ทั้งในส่วนของลูกค้าของบริษัทเองและลูกค้าภายนอก และขณะนี้เริ่มมีลูกค้าที่ติดต่อเข้ามา เพื่อให้บริษัทบริการด้านจัดเก็บและจัดแจงสินค้าคงคลังประมาณ 2-3 ราย เป็นลูกค้าที่นำเข้าพวกเครื่องดื่ม ไวน์ อีกรายหนึ่งเป็นผู้นำเข้ารถยนต์
ศึกษาแผนการลงทุนใหม่ๆ เพิ่ม
นอกจากนี้บริษัทได้ทำการศึกษาแผนการลงทุนด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของอุตสาหกรรมฟรีโซน หรือนิคมอุตสาหกรรม และอีกส่วนหนึ่งเป็นโลจิสติกส์ โปรวายเดอร์ ที่จะดูแลในแง่ของงานขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำ และบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับทางพาร์ทเนอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวทางบริษัทจะต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท และเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติก่อน คาดว่าจะได้ข้อสรุปประมาณปลายไตรมาส 2 หรือต้นไตรมาส 3/2549 นี้
รับอานิสงส์น้ำมันพุ่ง-ลูกค้าโลจิสติกส์เพิ่ม
นายภัทรลาภ กล่าวต่อว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทปีนี้ จะเน้นในเรื่องของการให้ Service กับลูกค้าแบบครบวงจร ดังนั้นสิ่งที่บริษัทออฟเฟอร์ให้กับลูกค้า จึงช่วยให้ได้ต้นทุนที่ถูกกว่า นอกจากนี้ธุรกิจของบริษัทยังเป็นการช่วยภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศด้วย ส่วนประเด็นเรื่องของภาวะน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด แต่เป็นปัจจัยบวกกับทางบริษัทมากกว่า เพราะเมื่อน้ำมันขึ้นลูกค้าก็จะ Out Source งานด้าน Logistic ออกมามากขึ้น จะช่วยลดต้นทุนได้มากกว่าทำเอง
จับตาราคาหุ้นดีขึ้นรอบใหม่
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ ASL เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาหุ้นของ WIN ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ทรงตัว เนื่องจากทางบริษัทยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับการลงทุนอะไรใหม่ๆ ดังนั้นให้นักลงทุนจับตาราคาหุ้นของ WIN ว่า จะสามารถดีดตัวกลับขึ้นมาได้อีกหรือไม่ ส่วนในแง่ของปัจจัยพื้นฐานของบริษัทถือว่ายังไม่มีอะไรที่โดดเด่นมากนัก ทั้งนี้ได้ประเมินราคาทางเทคนิค โดยให้แนวรับอยู่ที่ 3 บาท แนวต้านอยู่ที่ 3.20 บาท
ประเมินแนวต้านสำคัญ 3.20บ.
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKS เปิดเผยว่า ระดับราคาหุ้นของ WIN น่าจะอยู่ในลักษณะของการ Side Way Down อยู่ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังมีไม่อะไรที่เป็นนัยสำคัญที่จะส่งผลต่อราคาหุ้น ทั้งนี้ได้ประเมินราคาทางเทคนิคโดยให้ราคาแนวรับอยู่ที่ 2.90 บาท ส่วนแนวต้าน คาดว่าจะอยู่ที่ 3.20 บาท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#28 วันที่: 15/05/2006 @ 09:23:54 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
...
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#29 วันที่: 15/05/2006 @ 11:53:42 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับข่าว
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#30 วันที่: 15/05/2006 @ 13:52:43 : re: ข่าว ตามสื่อ ต่างๆครับ
.0005 จงใช้สมอง ตรึกตรอง นะคะ อย่าใช้อารมณ์ กับ ความรู้สึก ข่าวก็ข่าวเดี๋ยวกัน เล่นหุ้นจะต้องมีคนได้ และเสีย ก็เลือกข้างกันเอาเองแล้วกันว่าจะอยู่ฝ่ายใหน โชคดีนะคะ .0008
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com