May 15, 2024   4:12:23 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัปดาห์นี้ปรับพอร์ต ฝรั่งโยกซื้อหุ้นRRC
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 15/05/2006 @ 05:19:20
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ตลาดสัปดาห์นี้ยังไร้ข่าวดีหนุน ต่างชาติ-สถาบันแห่ปรับพอร์ต เตรียมเงินจองซื้อหุ้น RRC และไทยเบฟฯ พร้อมลงทุนในจีนเพิ่ม แถมข่าวร้ายMSCIลดน้ำหนักลงทุน ส่วนราคาน้ำมันพุ่งเป็นผลดีต่อกลุ่มพลังงานไม่มาก หุ้นหลายตัวใกล้เป้าหมายขึ้นลำบาก

หุ้นสัปดาห์นี้ห่อเหี่ยวไม่มีข่าวดีช่วยหนุนดัชนี นอกจากนี้ยังต้องระวังนักลงทุนต่างชาติรวมทั้งนักลงทุนสถาบันปรับพอร์ตลงทุน เพื่อเตรียมเงินไว้ลงทุนในหุ้นบริษัทโรงกลั่นระยอง จำกัด(มหาชน)หรือ RRC และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน)ที่กำลังจะเข้าจดทะเบียนเร็วๆนี้ ขณะเดียวกันคาดว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะชะลอการไหลเข้าไทย จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 16 ติดต่ดกันอีก 0.25% สู่ระดับ 5% ส่งผลเงินไหลออกจากสหรัฐเริ่มชะลอตัวลง นอกจากนี้บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งในจีนมีแผนเพิ่มทุน ทำให้เงินทุนจำนวนมากทะลักไปในประเทศดังกล่าว

ขณะเดียวกันแม้ราคาน้ำมันโลกจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงล่าสุดราคาซื้อขายล่วงหน้าเดือนมิ.ย.ตลาด NYMEX อยู่ที่ 72.04 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งเกิดจากความวิตกกังวลเรื่องปริมาณสำรอง นอกจากนี้ความตึงเครียดเกี่ยวกับนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านกับสหรัฐ และสหประชาชาติที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ แม้จะส่งผลดีกับหุ้นพลังงาน แต่ปัจจุบันราคาหุ้นทั้งกลุ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นมากแล้ว บางตัวใกล้ถึงราคาเป้าหมาย ทำให้โอกาสที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นได้อีกมีไม่มากนัก นอกจากราคาน้ำมันจะพุ่งสูงขึ้นรุนแรง

ขณะที่ในการปรับปรุงดัชนีมาตรฐานประจำปีของบริษัทมอร์แกน สแตนเลย์ แคปปิตอลอินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MSCI ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจาก 2.75% ลงเหลือ 2.73% โดยได้เพิ่มหุ้น 2 ตัวเข้าไปในการคำนวณน้ำหนักได้แก่บริษัทโกลว์พลังงานจำกัด (มหาชน) หรือ GLOW และบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ขณะเดียวกัน MSCI ได้ถอด 2 หุ้นเดิมที่เคยอยู่ในการคำนวณน้ำหนักออกได้แก่ บริษัทไอทีวีจำกัด (มหาชน) หรือ ITV และจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY

อย่างไรก็ดีจับตาหุ้นใหญ่ RRC ที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือตลท. 5 มิถุนายนนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยสร้างสีสันให้ตลาดกลับมาคึกคักได้บ้าง เพราะมีมูลค่าตลาดรวม หรือมาร์เก็ตแคปค่อนข้างใหญ่ประมาณ 50,000-60,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้มาร์เก็ตแคปตลาดเพิ่มจาก 5.6 ล้านล้านบาทเป็น 5.7 ล้านล้านบาท

ส่วนอีกเรื่องที่ต้องจับตาคือการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือกนง.ธนาคารแห่งประเทศไทยวันที่ 7 มิ.ย.นี้ ซึ่งหากพิจารณาปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบาย 14 วันหรือ อาร์/พีขึ้น 0.25% ตามสหรัฐ จะมีผลให้เงินทุนไหลกลับมาในไทยมากขึ้น

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์(บล.)พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS กล่าวว่าสัปดาห์นี้เงินทุนต่างประเทศคงชะลอการไหลเข้ามาลงทุนในไทย โดยปัจจัยสำคัญเกิดจากบริษัทในจีนหลายแห่งเตรียมเพิ่มทุนทั้งขายไอพีโอ และพีพี ทำให้บริษัทเหล่านั้นดูดเงินลงทุนไปได้พอสมควร

นอกจากนี้งบการเงินของบจ.ที่เหลือและจะต้องประกาศให้ครบในสัปดาห์นี้ เชื่อว่าส่วนใหญ่จะออกมาแย่มากกว่าดี ดังนั้นเชื่อว่าดัชนีสัปดาห์นี้น่าจะเป็นลักษณะปรับฐานในทิศทางขาลงมากกว่า หลังทำนิวไฮไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน
อย่างไรก็ดีต้องจับตาหุ้นน้ำมันอีก หากราคายังเพิ่มต่อเนื่องจะเป็นตัวทำให้ตลาดคึกคักได้ เพราะหุ้นกลุ่มนี้มีขนาดใหญ่

นายแสงธรรม จรณชัยกูล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ธนชาติ กล่าวว่ากลุ่มหุ้นน้ำมันยังเป็นตัวนำตลาด และผลักดันให้ดัชนีในสัปดาห์นี้เป็นขาขึ้นได้ แต่อาจไม่แรงเท่าที่ควร เพราะมีปัจจัยลบจากต่างประเทศกดดันอยู่

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบล.พรูเด้นท์ สยาม กล่าวว่าสาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอการลงทุนในหุ้นไทย เนื่องจากเศรษฐกิจปีนี้เติบโตต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ความน่าสนใจจึงลดลง นอกจากนี้การเลือกตั้งที่คาดว่าอาจต้องใช้เวลา3-5 เดือนจึงจะแล้วเสร็จเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยล่าช้าออกไปสำหฟรับภาวะการลงทุนสัปดาห์นี้นักลงทุนสถาบันและรายย่อยอาจมีการปรับพอร์ตเพื่อเตรียมเงินไว้จองซื้อหุ้น RRC และหุ้นบริษัทไทยเบฟเวอเรจ

แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์ กล่าวว่าปัจจัยการเมืองคงไม่มีผลกับดัชนีในสัปดาห์นี้ เนื่องจากมีความชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกตั้งแล้วในระดับหนึ่ง แต่ยังเป็นห่วงเรื่องปัญหาที่ตามมาไม่จบ เพราะทุกฝ่ายต่างไม่ยอมถอยเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น ยังแทงกั๊กกันไปมา และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้

ส่งท้ายสัปดาห์หุ้นไทยปิดตลาดที่ 782.50 จุดลดลง 1.78 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย16,398.62 ล้านบาท โดยต่างชาติได้กลับมาขายสุทธิหุ้นไทยในปริมาณไม่มากนักจำนวน 220.04 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 111.40 ล้านบาท และรายย่อยซื้อสุทธิ 108.64 ล้านบาท

ที่มา ข่าวหุ้น[/color:0cb89223a5">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com