May 8, 2024   12:45:30 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ลอกข่าวมาให้ครับ
 

U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
วันที่: 11/05/2006 @ 09:55:08
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SINGHAทำแมงเม่าฮาไม่ออก - เวสโคลสถล่มราคา ไออีซีทุบเช้า เย็นลาก Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:08

2 หุ้นปั่นแสบ IEC-SINGHA ลวงนักลงทุน เวสโคลสขายทิ้งสิงห์ พาราเทคต่ำกว่าทุน แมงเม่าตกใจแห่ทิ้งตามฉุดหุ้นร่วงกว่า 28% ส่วนไออีซีโหดมาก เช้าทุบเย็นลาก กำไรไตรมาสแรกกระฉูด 104 ล้านบาท ได้ดีเพราะขยายไลน์ธุรกิจ
วานนี้ (10 พ.ค.) หุ้นปั่น 2 ตัว ได้แก่ IEC และ SINGHA มีพฤติกรรมทุบเช้าเย็นลาก โดยหุ้น SINGHA ราคาร่วงลงมา เพราะกลุ่มเวสโคลสขายหุ้นออกมา 0.687%หรือ 123,660 หุ้น ทั้งที่เพิ่งเข้ามาซื้อหุ้นดังกล่าวเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้รายย่อยตกใจแห่ขายตาม ปรากฏว่าราคาหุ้นลดลง 28.34% หรือ 1.97 บาทปิดตลาดที่ 4.98บาท
ขณะที่หุ้น IEC ประกาศงบไตรมาสแรกออกมาดีมีกำไรกว่า 104 ล้านบาท แต่รายใหญ่กลับเทขายหุ้นออกมาจนทำให้ราคาดิ่งสวนทางผลประกอบการ นักลงทุนตกใจขายตามอีกทำให้ราคาช่วงเช้าปิดร่วง 24 สตางค์ อยู่ที่ 4.68 บาท มาลากก่อนตลาดปิด ราคากลับเป็นบวก 0.08 บาท ปิดที่ 4.94 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการขายหุ้นออกมาของกลุ่มเวสโคลสในครั้งนี้คาดว่าจะต่ำกว่าทุน เพราะจากการเข้าไปตรวจสอบราคาซื้อขายเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมาปรากฎว่าราคาหุ้นขึ้นไปสูงสุดที่ 7.25 บาท ต่ำสุด 7.05 บาท โดยกลุ่มดังกล่าวได้เข้ามาซื้อหุ้นSINGHA เมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมาจำนวน 18 ล้านหุ้น หรือ คิดเป็น 5.625% ในราคาหุ้นละ 11 บาท
ขณะที่นายกิตติพัฒน์ อินทรเกษตร กรรมการบริหารและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานสนับสนุน บริษัท สิงห์ พาราเทค จำกัด (มหาชน) หรือ SINGHA กล่าวยอมรับกับ ข่าวหุ้นธุรกิจ ถึงกรณีกลุ่มเวสโคลสขายหุ้นออกมาว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดดังกล่าว และบริษัทได้พยายามติดต่อไปยังกลุ่มดังกล่าวแล้วแต่ไม่สามารถติดต่อได้
นายศรายุทธ กอุพาณิชานนท์ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC กล่าวถึงผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปีนี้ ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 104 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิ 25 ล้านบาท
ทั้งนี้ แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในไตรมาสแรกของปีจะส่งผลให้รายได้จากการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ลดลง แต่จากการเพิ่มธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับโทรศัพท์เคลื่อน ทำให้สามารถชดเชยรายได้ที่หายไป โดยในไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นยู่ที่10.9% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันเมื่อปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 10.3%
แหล่งข่าวระดับสูงของ IEC ยอมรับกับข่าวหุ้นธุรกิจ ว่า ไตรมาส 2 จะสรุปรายละเอียดการร่วมลงทุนกับพันธมิตรกลุ่มพลังงานทดแทน เช่น เอทานอลไบโอ-ดีเซลและเอ็นจีวี โดยคาดว่าไตรมาส 3 จะเริ่มบันทึกรายได้จากกลุ่มธุรกิจดังกล่าว และคาดว่าภายในอีก 3 ปี สัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทนจะเพิ่มเป็น 50% และธุรกิจมือถือและไอที 50% จากปัจจุบันสัดส่วนอยู่ที่ 30% และธุรกิจมือถือและไอที 70%
นายสุมิท แช่มประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท อินเตอร์แนชั่น เนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC กล่าวกับ ข่าวหุ้นธุรกิจ ถึงแผนการร่วมลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนว่า ในเบื้องต้นอยู่ระหว่างการตกลงด้านราคาและข้อตกลงต่างๆ คาดว่าจะสรุปในไตรมาส 2 นี้
โดยสาเหตุที่ขยายไลน์ธุรกิจมายังกลุ่มพลังงานทดแทน เพราะตลาดยังคงขยายตัวได้อีกมาก โดยเฉพาะความต้องการพลังงานทดแทนภายในประเทศยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับในอดีต IEC ก็เคยทำธุรกิจผลิตโรงไฟฟ้ามาก่อน ก่อนจะปรับมาเป็นผู้จำหน่ายโทรศัพท์มือถือ
ตอนนี้เรากำลังดูอยู่หลายตัวรวมทั้งกลุ่มสามารถ คอร์ปอเรชั่น (SAMART) แต่ตัวไหนจะได้ก่อนหลังต้องขึ้นอยู่กับราคาและวิธีการ รวมถึงผู้ถือหุ้นได้รับประโยชน์สูงสุด ซึ่งหลังจากเข้าไปรุกธุรกิจพลังงานทดแทนแล้วจะทำให้ IEC มีความแข่งแกร่งในธุรกิจพลังงานทดแทนมากยิ่งขึ้น โดยสัดส่วนการถือหุ้นในธุรกิจดังกล่าวเราจะยึดนโยบายไม่ต่ำกว่า40% เพื่อมีอำนาจในการบริหารงาน
นายสุมิท กล่าวยืนยันว่า ขณะนี้จะยังไม่ปรับประมาณการณ์รายได้ของปีนี้เพิ่มขึ้นโดยอยู่ที่ประมาณ 6,200 ล้านบาท แม้ว่าจะมีการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน เนื่องจากต้องรอผลประกอบการไตรมาส 1 จากนั้นจึงจะพิจารณาปรับประมาณการณ์รายได้ของบริษัทใหม่ โดยในปีนี้สัดส่วนรายได้ของบริษัทจะยังคงมาจากกลุ่มธุรกิจมือถือและไอที70% และธุรกิจอื่นๆ 30%

 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#1 วันที่: 11/05/2006 @ 09:55:48 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
NWRสวยปีนี้พลิกเป็นกำไร -เทรดต่ำบุ๊ค แนะซื้อเป้าหมายมากกว่าบาท Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:08

ชี้ฐานะบริษัทเริ่มฟื้นตัว เตรียมส่งมอบงานในมือตามกำหนด ขณะที่รอฟังข่าวดีได้งานประมูลเพิ่มอีกหลายโครงการ ดันสิ้นปีนี้พลิกเป็นกำไร หลังจากปีก่อนขาดทุนกว่า 100 ล้านโบรกฯ คาดไตรมาสแรกเริ่มพลิกเป็นกำไร 50.8 ล้าน
บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ หรือ NWR น่าลงทุน เพราะราคาซื้อขายปัจจุบันนอกจากต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี (book value) อยู่ที่ 0.97 บาทต่อหุ้นแล้ว ยังห่างไกลราคาเป้าหมายที่หลายโบรกเกอร์ประเมินไว้ ทำให้บทวิเคราะห์หลายฉบับเชียร์ซื้อ เพราะฐานะของบริษัทเริ่มฟื้นทั้งด้านโครงสร้างทางการเงิน และผลประกอบการที่คาดว่าปีนี้จะพลิกเป็นกำไร หลังจากปีก่อนมีผลขาดทุน
แหล่งข่าวจากบมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ หรือ NWR กล่าวกับ ข่าวหุ้นธุรกิจ ว่าแนวโน้มผลประกอบการไตรมาสแรกจะพลิกเป็นกำไร จากการบันทึกรายได้งานก่อสร้างกว่าพันล้านบาท หลังจากที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนจากการดำเนินงานกว่า 60 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าค่าใช้จ่ายในการขาย น่าจะใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 60 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังคงเป้ารายได้ปีนี้ 4 พันล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้ 3.78 พันล้านบาท ถือเป็นการพลิกเป็นกำไรจากปีที่แล้วขาดทุนสุทธิ 116 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการรอสรุปงานอีกหลายโครงการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ โครงการก่อสร้างในประเทศ 2,000 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าในประเทศดูไบ โดยเป็นการรับช่วงก่อสร้างงานต่อจากบริษัทโอบายาชิที่เป็นผู้ประมูลหลัก ซึ่งกำลังเจรจาและหากสำเร็จคาดว่ามูลค่างานจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท
สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชียพลัส ประเมินว่า ผลประกอบการไตรมาส 1 จะพลิกเป็นกำไรจากการดำเนินงาน 50.8 ล้านบาท โดยมีรายได้จากงานก่อสร้าง 1.14 พันล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 7.5% ค่าใช้จ่ายในการขาย 65 ล้านบาทใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายการบวกกลับจากผลขาดทุนส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยคาดว่าอยู่ที่ 15 ล้านบาท เกิดจากโครงการ Service Apartment ที่ประเทศพม่า ซึ่ง NWR ถือหุ้น 52% และมีผลขาดทุนส่วนใหญ่ที่เกิดจากสัญญาเช่าที่ดิน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 1.21 บาท เนื่องจากเห็นว่าฐานะของบริษัทมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน ทั้งทางด้านโครงสร้างการเงินและผลประกอบการโดยในส่วนของโครงสร้างการเงิน ณ สิ้นปี 48 พบว่า มีฐานะ net cash ถึง 327 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการปีนี้คาดว่าจะพลิกเป็นกำไร จากการส่งมอบงานตามแบ็คล็อคที่ยกมา และประสิทธิภาพการทำกำไรดีขึ้น รวมทั้งยังได้รับผลประโยชน์จากการฟ้องร้องคดีโครงการบำบัดน้ำเสีย-คลองด่าน ซึ่ง NWR ได้สำรองหนี้สูญไปเมื่อปีที่แล้ว
วานนี้ (10 พ.ค.) หุ้น NWR ปิดตลาดที่ 0.93 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ระหว่างวันมีการปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 0.94 บาท และอ่อนตัวต่ำสุดที่ระดับ 0.92 บาท มูลค่าการซื้อขาย 26.470 ล้านบาท
ตัวเลขการเงินที่สำคัญ ณ 31 ธ.ค.48สินทรัพย์รวม 4,300.59 ล้านบาทหนี้สินรวม 1,919.19 ล้านบาทส่วนของผู้ถือหุ้น 2,381.40 ล้านบาทมูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว 2,484.64 ล้านบาทรายได้รวม 3,78412 ล้านบาทกำไรสุทธิ -116.18 ล้านบาทกำไรต่อหุ้น 0.11 ล้านบาทที่มา ตลาดหลักทรัพย์ฯ
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#2 วันที่: 11/05/2006 @ 09:56:26 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
GSTEEL-NSMเมินกำไรQ1หด ชี้ไตรมาส2สวยราคาเหล็กพุ่ง
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:08

งบ Q1 หุ้นกลุ่มเหล็กร่วงระนาว GSTEEL กำไรหด 70.58% ชี้ราคาขายต่ำกว่าปีก่อน มั่นใจไตรมาส 2 ฟื้นรับผลดีราคาเหล็กยืนระดับสูงยาวถึงไตรมาสหน้า ขณะที่ NSM ขาดทุนยับกว่า 2 พันล้านบาท อ้างตลาดซบเซา
นายเรียวโซ โอกิโน กรรมการ บริษัท จีสตีล จำกัด(มหาชน) หรือ GSTEEL เปิดเผยกับ ข่าวหุ้นธุรกิจ ว่า ไตรมาสแรกบริษัทมีรายได้ 4,574.44 ล้านบาท ลดลง 38%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 7,362.69 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 301.96 ล้านบาท ลดลง 70.58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,026.39 ล้านบาทเนื่องจากบริษัทมีผลการดำเนินงานลดลง เพราะจากราคาขายเหล็กในไตรมาสแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 16 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 16,000 บาทต่อตัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ คาดว่าราคาเหล็กในไตรมาส 2 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นยาวถึงไตรมาสหน้าอย่างน้อย 19 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 19,000 บาทต่อตัน และมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการที่สูงขึ้น เพราะปัจจุบันราคาเหล็กในตลาดโลกบางแห่งเพิ่มขึ้นเกือบแตะที่ระดับ 600 เหรียญต่อตัน
ไตรมาสแรกของเราถือว่า ยังรักษาผลการดำเนินงานได้ดีเพราะหากเทียบกับผู้ประกอบการเหล็กรายอื่นแล้วจะเห็นว่า หลายแห่งยังคงขาดทุนอยู่ แต่เราเชื่อว่าตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป ทุกอย่างจะดีขึ้นจากราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นนายเรียวโซ กล่าว
อย่างไรก็ดี ผลประกอบการในปี 2551 คาดว่า จะเติบโตแบบก้าวกระโดด หลังจากที่ปีนี้บริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของขยายคอขวด จาก 1.8 ล้านตัน เป็น3.4 ล้านตัน ซึ่งจะแล้วเสร็จปลายปี 2550 และเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2551
ด้าน นายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง กรรมการ บริษัท มหาราช แพลนเนอร์ จำกัด ในฐานะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท นครไทยสตริปมิล จำกัด (มหาชน) หรือ NSM กล่าวว่า ไตรมาสแรกบริษัทมีรายได้ 4,045 ล้านบาท ลดลง 22.11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 5,193 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 2,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 372.34%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 470 ล้านบาท
บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุน เนื่องจากปริมาณการขายลดลงจาก 223,207 ตันเป็น 159,055 ตัน เพราะความต้องการเหล็กในประเทศยังน้อย และบริษัทมีขาดทุนก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายในการตัดจำหน่าย (EBITDA) สำหรับไตรมาสแรกจำนวน 1,902 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 759 ล้านบาท
ด้าน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ฯ ระบุว่า การลงทุนหุ้นดังกล่าวคงต้องใช้เวลา เนื่องจากราคาเหล็กเริ่มฟื้นตัวในช่วงเดือนมี.ค. ดังนั้น ในระยะแรกผลการดำเนินงานอาจไม่โดดเด่น แต่จะเห็นผลในช่วงไตรมาส 2 อย่างไรก็ดี มองว่าหุ้น GSTEEL ยังคงน่าลงทุนเพราะสถานการณ์ราคาเหล็กเริ่มคลี่คลาย ดังนั้น ให้ราคาเหมาะสมของ GSTEEL ที่ระดับ1.96 บาทต่อหุ้น
ปัจจุบันสถานการณ์ราคาเหล็กเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากที่ปีก่อนเจอปัญหาวิกฤตราคาต่ำที่สุดในรอบหลายปี ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการหลายราย แต่ยังมีผู้ประกอบการเหล็กอย่าง GSTEEL ยังโชว์ผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และมีกำไรสวนทางกับผู้ประกอบการอีกหลายรายที่ประสบปัญหาขาดทุน โดย GSTEEL เป็นผู้ผลิตเหล็กรีดร้อนที่มีคุณภาพสูงและมีกำไรมาก
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#3 วันที่: 11/05/2006 @ 09:57:14 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
TRTประเดิมวันแรก หวิดหลุดจอง5.75บ. ย้ำพื้นฐานแข็งแกร่ง ยอดขายปีนี้1.3พันล.
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:08

TRT เทรดตลาดใหม่วันแรกเปิดปริ่มจอง 5.80 บาท จากราคาไอพีโอ 5.75 บาท ผู้บริหารฟันธงปีนี้อัตรากำไรสุทธิสูงกว่า 8% เหตุโกยยอดขาย 1.3 พันล้านบาท ขณะที่ต้นทุนการขายทรงตัวอานิสงค์งานในมือ 1.28 พันล้านบาท ย้ำมีสิทธิจ่ายปันผลปี 49 แต่ขอนำรื่องเข้าบอร์ดเดือนหน้าก่อนสรุป ระบุอีก 3 ปีข้างหน้ายอดขายทะลุ 2 พันล้านบาทแน่
วานนี้ (10 พ.ค.) หุ้นบริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าได้เข้าซื้อขายในตลาดเอ็มเอไอ (mai) เป็นวันแรก โดยเปิดตลาดที่ระดับ 5.80 บาท จากราคา IPO 5.75 บาท ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 5.40 บาทสูงสุด 5.90 บาท ต่ำสุด 5.25 บาท มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 288 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขายทำกำไรของนักลงทุนแม้ว่าบริษัทจะมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีรวมถึงตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวอยู่ในระดับดีก็ตาม
นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRTเปิดเผยว่า ในปี 49 บริษัทอาจมีอัตรากำไรสุทธิสูงกว่า 7-8% เพราะบริษัทมียอดขายสูงขึ้น ขณะที่ต้นทุนการขายอยู่ในระดับทรงตัวโดยคาดว่าจะมียอดขายประมาณ 1,350 ล้านบาท หรือเติบโต 25-30% จากปีก่อนที่มียอดขายจำนวน 1,100 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 77 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้จากงานในมือที่มีจำนวน 1,285 ล้านบาท ประมาณ95% ส่วนที่เหลือจะรับรู้รายได้จากการเข้าประมูลงานใหม่ในปีนี้
ล่าสุดเตรียมร่วมประมูลงานในการไฟฟ้านครหลวงการไฟฟ้าในประเทศเวียดนามและอินเดีย มูลค่าประมาณ 600-700 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีมาร์จิ้นในธุรกิจดังกล่าวประมาณ 7-8% ซึ่งคาดว่าในอนาคตมาร์จิ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่คงต้องขึ้นอยู่กับภาวะตลาดโดยรวม
ทั้งนี้หากดูจากผลประกอบการทั้งปีมีความเป็นไปได้ที่บริษัทจะประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปี 49 ซึ่งถือเป็นการจ่ายครั้งแรกให้กับผู้ถือหุ้นโดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ คาดว่าจะประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวในเดือนหน้าอย่างไรก็ดีผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรกอาจดีกว่าที่ผ่านมาซึ่งบริษัทจะประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันที่ 12 พ.ค.นี้ เพื่อพิจารณาตัวเลขก่อนประกาศตลาดหลักทรัพย์
บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวน 172 ล้านบาท ไปขยายขนาดหม้อแปลงเป็น 300 MVA เพราะหม้อแปลงขนาดดังกล่าวประเทศไทยต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศรวมถึงนำไปปรับโครงสร้างหนี้ซึ่งจะทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับต่ำกว่า 1.8 เท่า จากเดิม 4 เท่า ที่เหลือจะใช้เป็นเงินหมุนเวียนนายสัมพันธ์ กล่าว
นายสัมพันธ์ กล่าวต่อว่า ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าบริษัทตั้งเป้ามียอดขายมากกว่า 2,000 ล้านบาท โดยจะมีรายได้มาจากงานต่างประเทศ 50% และงานในประเทศ 50% จากปัจจุบันที่มีรายได้จากงานต่างประเทศ 70% และในประเทศ 30% เพราะความต้องการใช้ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียมีอัตราเติบโตประมาณ 7-8% รวมถึงจะมีรายได้จากหม้อแปลงขนาดใหญ่ 50% และหม้อแปลงขนาดเล็ก 50% จากเดิมที่รับรู้รายได้จากหม้อแปลงใหญ่ 70%และหม้อแปลงเล็ก 30%
ปัจจุบันบริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ธุรกิจหม้อแปลงขนาดใหญ่ 30% โดยมีคู่แข่งเป็นบริษัทข้ามชาติที่ดำเนินธุรกิจผลิตหม้อแปลงขนาดใหญ่ 2 ราย คือ ในประเทศยุโรป และญี่ปุ่น ขณะที่มีมาร์เก็ตแชร์ธุรกิจหม้อแปลงขนาดเล็ก 15% ซึ่งมีคู่แข่งขนาดใหญ่ในไทยประมาณ 4 ราย จากทั้งหมดอาจมีในไทย 20 รายนายสัมพันธ์ กล่าว
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#4 วันที่: 11/05/2006 @ 09:57:56 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
CPFเมินกำไรร่วง ใจป้ำจ่ายปันผลQ1 หุ้นละ5สตางค์
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:08

CPF ใจดียังแจกปันผลไตรมาสแรก 0.05 บาท แม้ราคาไก่ตกต่ำ แถมได้รับผลกระทบหวัดนกในตุรกีฉุดยอดขายร่วง เผยงบ Q2 สวย ราคาไก่ฟื้น มั่นใจทั้งปีโกยรายได้ 1.3 แสนล้าน โบรกฯ แนะช้อนซื้อเมื่ออ่อนตัว
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ในอัตราหุ้นละ 0.05 บาท
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/2549 บริษัทมีรายได้ 28,177.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.83%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 24,117.67 ล้านบาท และมีกำไร 549.64 ล้านบาทลดลง 57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 1,272.01 ล้านบาท
สาเหตุที่กำไรสุทธิของบริษัทลดลงเกิดจากกำไรขั้นต้นของบริษัทและบริษัทย่อยลดลงจากปีก่อนที่ระดับ 15.7% มาอยู่ที่ระดับ 13.2% อีกทั้งราคาเฉลี่ยของสินค้าเนื้อสัตว์ที่จำหน่ายในประเทศและประเทศตุรกี อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2548ประกอบกับต้นทุนในการผลิตสินค้าสัตว์น้ำของกิจการในประเทศไทยอยู่ในระดับที่สูงกว่าระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน
นายอดิเรก กล่าวว่า มั่นใจผลประกอบการไตรมาส 2 จะดีกว่าไตรมาส 1 มาก รวมถึงไตรมาสที่เหลือของปีนี้จะดีเช่นกัน เนื่องจากปกติไตรมาส 2 เป็นช่วงที่ทำรายได้ให้บริษัทสูงสุด ประกอบกับปัญหาไข้หวัดนกรวมถึงสถานการณ์ในภาคใต้เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี และราคาไก่ปรับตัวสูงขึ้นถึงจุดที่ CPF สามารถทำกำไรได้
ผมยังตั้งเป้ารายได้ทั้งปีที่ 1.3 แสนล้านบาท โตขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 10-15%จากที่มีรายได้ประมาณ 1.16 แสนล้านบาท ขณะที่ภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่าไม่ค่อยกระทบกับบริษัท เพราะเรามีการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์มากเช่นกัน จึงได้รับผลดีจากค่าเงินบาทแข็ง ชดเชยที่สูญเสียจากการส่งออก นายอดิเรก กล่าว
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.ยูไนเต็ด ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการของ CPFไตรมาสที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้นแม้ราคาไก่เฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 29.50-30 บาทต่อกิโลกรัม ลดลงจากปีก่อนที่มีราคาไก่เฉลี่ยอยู่ที่ 33 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากประเมินว่าไตรมาส 1/2549 เป็นจุดต่ำสุดของธุรกิจโดยประมาณการรายได้รวมปีนี้อยู่ที่ 124,000ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,727 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำรอซื้อเมื่ออ่อนตัวหลังจากขณะนี้ราคาเต็มมูลค่าที่ 5.60บาท อย่างไรก็ดี CPF เป็นธุรกิจขยายตัวดีและมีการจ่ายเงินปันผลทุกไตรมาส
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#5 วันที่: 11/05/2006 @ 09:58:36 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
ITDไล่ราคาก่อนออกหุ้นกู้ -ระบุระดมทุนไตรมาสหน้าผุดโรงปูนเฟส2
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:07

บิ๊ก ITD จ่อคิวคลอดหุ้นกู้อายุ 10 ปีในไตรมาส 3 ระดมทุนผุดโรงปูนเฟส 2 ไม่ต่ำกว่า4 พันล้าน ดันกำลังผลิตเพิ่มปีละ 2 ล้านตัน เผยรับงานก่อสร้างเพิ่ม 2 โครงการใหม่ที่อินเดีย-เขมร มูลค่ากว่า 2 พันล้าน
ช่วง 2-3 วันทำการที่ผ่านมา ราคาหุ้นบมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ หรือITD ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง โดยคาดว่าเป็นการปรับฐานใหม่เพื่อรองรับการออกหุ้นกู้จำนวน200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยราคาขึ้นมาจากระดับ 7 บาท เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม มายืนอยู่ที่ 7.55 บาทในวันที่ 9 พฤษภาคม
นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานกรรมการบริหารบมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์หรือ ITD กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้จำนวนดังกล่าวอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยประมาณ 7% ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้จะนำมาก่อสร้างโรงปูนเฟส 2 ที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 4,000 ล้านบาท และมีกำลังการผลิต 2 ล้านตันต่อปี
เราจะนำเงินที่ได้จากการการออกหุ้นกู้ส่วนหนึ่งประมาณ 1,500 ล้านบาท มาเพิ่มทุนจดทะเบียนให้กับบริษัท ภูมิใจไทยซีเมนต์ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ส่วนที่เหลือจะกู้จากสถาบันการเงินอีก 2,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าปีนี้จะสามารถสรุปการก่อสร้างได้ โดยจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 14 เดือน
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะเข้าไปลงทุนทำเหมืองแร่โปรแตสที่จ.อุดรธานี หลังจากที่ผ่านมาได้เข้าไปเทคโอเวอร์กิจการเหมืองแร่ดังกล่าว จากผู้ประกอบการแคนาดาประมาณ80 ล้านเหรียญสหรัฐ ล่าสุดได้ตั้งเป็นบริษัท สินแร่ไทย ทุนจดทะเบียนประมาณ 3,000ล้านบาท โดย ITD ถือหุ้น 90% และรัฐบาลไทย 10%
การลงทุนในโครงการเหมืองแร่เพื่อเป็นการสร้างรายได้เสริมให้กับ ITD และคาดว่าในอนาคตจะสร้างรายได้และกำไรให้กับบริษัท เพราะมาร์จิ้นของแร่โปรแตสสูงกว่างานก่อสร้าง นอกจากนี้บริษัทมีแผนจะลงทุนในเหมืองแร่ดังกล่าวอีก 2 หมื่นล้านบาท ระยะเวลา 2 ปี โดยเงินลงทุนทั้งหมดจะขอกู้จากสถาบันการเงินคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายใน 1 ปี
สำหรับงานในมือ (Backlog) นั้น นายเปรมชัย กล่าวว่า ปัจจุบันมีงานในมือประมาณ 1.2 แสนล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 2 ปี และจากการที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นทำให้ต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้น 6-7%
ล่าสุด บริษัทได้ลงนามสัญญาก่อสร้างจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข NH-31C Package EWII (WB-1) ในรัฐ West Bengalประเทศอินเดียมูลค่า 2,284,312,043 อินเดียนรูปี (เทียบเท่ากับ 2,516,316,416.61 บาท อัตราแลกเปลี่ยนวันที่ 20/04/06 1 บาท) ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน โดยลักษณะงานขยายคันทางเดิม และก่อสร้างคันทางใหม่จาก 2 ช่องจราจร เป็น 4 ช่องจราจรพร้อมก่อสร้างผิวทางเป็นของใหม่ทั้งหมดจาก กิโลเมตร 228 ถึง 255 ระยะทาง27 กิโลเมตร พร้อมสะพาน ท่อลอด ทางลอด และรายการเบ็ดเตล็ด
และโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ขนาด 2,500 ตันต่อวันประมาณกัมพูชาของบริษัท กัมปอตซีเมนต์ จำกัด มูลค่า 28,019,654.91 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 5เดือน โดยลักษณะงานก่อสร้างอาคารเพื่อติดตั้งเครื่องจักร Pre-heater TowerFoundation, Kiln Foundation และ Clinker Cooler
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#6 วันที่: 11/05/2006 @ 09:59:15 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
คอลัมน์หุ้นอินเทรนด์ : TRUE
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:07

บล.เคจีไอเรามองว่าถ้า TRUE ชนะคดีนี้โดยไม่ต้องมีการจ่ายค่าเชื่อมสัญญาณจะทำให้ DTAC และADVANC ได้ผลประโยชน์ในรูปแบบที่คล้ายกันโดยมีการลดค่าใช้จ่ายลง ซึ่งคนที่จะต้องเสียประโยชน์มากที่สุดก็คือ TOT ซึ่งถือหุ้นใหญ่โดยรัฐบาล
บล.นครหลวงไทยคาด Q1/49 กำไรจากค่าเงิน 1,173 ล้านบาท ช่วยให้มีกำไร 36 ล้านบาท SCISประเมินรายได้ใน Q1/49ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้รวมผลการดำเนินงานของUBC เข้ามาแล้วก็ตาม
บล.กรุงศรีอยุธยาAYS คาดว่ารายได้ 4Q48 ของ TRUE มีแนวโน้มใกล้เคียงกับ 3Q48 แต่จะยังคงลดลง 6.8% YoYสาเหตุจากรายได้ที่ลดลงของธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐาน แม้รายได้ของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจ Broadband จะยังคงเติบโตแต่ไม่สามารถทดแทนการลดลงของรายได้ของธุรกิจโทรศัพท์ พื้นฐานในไตรมาสนี้
บล.เกียรตินาคินสำหรับธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์สาธารณะน่าจะยังมีแนวโน้มที่ชะลอตัวลงอีกจากผลกระทบทางอ้อมของการแข่งขันของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่วนการเข้าซื้อ UBC ซึ่งคาดจะมีกำไรในระดับ 1,100 ล้านบาท แต่จะถูกหักล้างโดยการตัดจำหน่ายค่าความนิยมและค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเพื่อซื้อบริษัทดังกล่าวด้วย
บริษัทหลักทรัพย์ ซื้อ ขาย ถือ ราคา/บาทบล.เคจีไอ - / - 8.50บล.นครหลวงไทย - - / 9.80บล.กรุงศรีอยุธยา - / - 10.80บล.เกียรตินาคิน - / - 9.27
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#7 วันที่: 11/05/2006 @ 09:59:57 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
สัญญาณหุ้น
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:07

บล.เอเชียพลัสแนะนำขาย ATCราคาเป้าหมาย 27.25 บาทความคาดหวังเรื่องการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ โดยการทำ IPO ของ บ.โรงกลั่นน้ำมันระยองฯ (RRC) ในระหว่างวันที่ 18-19 พ.ค.49 นี้ว่าจะส่งผลดีต่อราคาหุ้นหรือช่วยเพิ่มมูลค่ากิจการของ ATC นั้น ฝ่ายวิจัยมีความเห็นว่าเป็นสิ่งที่เร็วเกินไปเนื่องจาก1) ATC ไม่ได้มีการถือหุ้นใน RRC แต่อย่างใด โดยทั้ง ATC และ RRC ต่างก็เป็นบริษัทในเครือของ PTT ซึ่งถือหุ้นอยู่ 49.84% และ 99.99% ตามลำดับ และ 2) แผนการควบรวมกิจการยังไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจากการสัมภาษณ์ผู้บริหาร ATC ที่ผ่านมา คาดว่าเร็วที่สุดน่าจะเป็นปี 2550 ตามแผนการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม PTT ที่แบ่งแยกการดำเนินธุรกิจเป็น 3 กลุ่ม อย่างชัดเจนคือ 1) กลุ่มสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ 2)กลุ่มโรงกลั่น และ 3) กลุ่มปิโตรเคมี โดย RRC จัดอยู่ในกลุ่มโรงกลั่นเช่นเดียวกับ TOPซึ่งการควบรวมกิจการของ RRC และ ATC จะมีลักษณะการดำเนินธุรกิจเช่นเดียวกับการที่TOP ถือหุ้นทั้งจำนวนในบ.ไทยพาราไซลีน (TPX) โดยหน่วยการผลิตสารอะโรเมติกส์จะรับวัตถุดิบซึ่งได้แก่ Reformate ที่ได้จาก Reformer Unit ของโรงกลั่นน้ำมันเพื่อไปผลิตต่อ ดังนั้น การควบกิจการจึงเกิด Synergyที่ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายฝ่ายวิจัยยังไม่ทราบแนวทางชัดเจนในรูปแบบการควบกิจการของ RRC และ ATC ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ก็ไม่น่าแตกต่างไปจากแนวทางการควบกิจการของ NPC และ TOC ซึ่งใช้วิธีการแลกหุ้น (Share swap) โดยให้น้ำหนักการประเมินราคาส่วนใหญ่จากราคาตลาดในขณะนั้น ทั้งนี้ BVS ของ RRC ภายหลังทำ IPO คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 15-16 บาท (อ้างอิงจากราคาเสนอขายในช่วง 18-20 บาท คิดเป็น 1.5-1.6 เท่า ของ BVS) โดยราคาหุ้น ATC ปัจจุบันมี PBV ราว 1.3 เท่า และจะลดลงเหลือ 1.1 เท่าในปี 2550
บล.กิมเอ็งแนะนำหลีกเลี่ยง ITVราคาเป้าหมาย 14.50 บาทเมื่อวานนี้ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 30ม.ค. 2547 ที่ตัดสินให้ ITV ชนะข้อพิพาทที่มีกับ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.)โดยศาลเห็นว่าคำชี้ขาดไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นคำชี้ขาดที่ไม่อยู่ในขอบเขตของอนุญาโตตุลาการ ดังนั้น ITV จึงต้องกลับไปอยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานเดิมโดยจะต้องจ่ายค่าสัมปทานย้อนหลังประมาณ 1,500 ล้านบาท และจ่ายค่าสัมปทานรายปีปีละ 1,000 ล้านบาทหรือ 44%% ของรายได้ (แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะมากกว่า) ในขณะที่ผังรายการจะต้องถูกจำกัดด้วยการมีสัดส่วนรายการด้านบันเทิงให้ไม่เกิน 30% จากปัจจุบันที่ 37% อย่างไรก็ดี ทาง ITV จะยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน โดยระหว่างนี้ สปน. จะยังคงยึดตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไปจนกว่าจะมีการตัดสินโดยศาลปกครองสูงสุดซึ่งถือเป็นที่สิ้นสุดคดี โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาพิจารณาไม่เกิน 6 เดือน ดังนั้นปัจจุบัน ITVจึงยังคงไม่มีการปรับผังรายการและยังจ่ายค่าสัมปทานเท่าเดิมคือ 230 ล้านบาท/ปี แม้ว่าเมื่อวานนี้ราคาหุ้นจะตกลงไปถึง 30% สะท้อนข่าวคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง แต่เรายังคงคำแนะนำ หลีกเลี่ยง เนื่องจากเชื่อว่าปัจจัยลบยังคงกดดันราคาหุ้นต่อเนื่องจนกว่าจะมีการตัดสินคดี ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันก็ยังคงสูงกว่าราคาที่เหมาะสมของเราที่ 5.20 บาทซึ่งประเมินภายใต้สมมติฐานว่า ITV แพ้คดี
บล.สินเอเชียแนะนำซื้อ SVIราคาเป้าหมาย 13.76 บาทวานนี้ประกาศผลกำไรไตรมาส 1 ปี 49 ออกมาดี กำไรปกติเติบโตถึง 82% YoY และกำไรสุทธิซึ่งรวมรายการกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเติบโต 52% YoY แม้ว่ารายได้จะปรับตัวลดลง12% YoY แต่ไม่เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ เพราะเป็นการเลิกการผลิตและจำหน่ายให้ลูกค้าบางรายที่ไม่มีกำไร พิจารณาได้จากอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นเป็น 8.4% เทียบกับ YoY ที่ 6.1%อัตราภาษีเงินได้ใน 1Q49 เกือบจะเป็น 0% ก็เนื่องจากมีการใช้การผลิตในโรงงานแห่งที่2 (SVI2) ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีจาก BOI เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ YoY อัตราภาษีเงินได้เป็น 8% ส่วนกำไรปกติและกำไรสุทธิใน 1Q49 ปรับลดลงถึง 42% และ 41%ตามลำดับ แต่ก็ไม่เป็นเรื่องน่ากังวล เพราะเป็นผลจากฤดูกาล ที่กำไรใน 4Q จะดีที่สุดในรอบปี ใน 1Q49 นี้เริ่มมีการบันทึกผลขาดทุนจากบริษัทย่อย ที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในจีน โรงงานตั้งอยู่ที่เมืองเทียนจิน โดยมีผลขาดทุน 5.4 ล้านบาท โดยเริ่มผลิตตั้งแต่มี.ค. 49 นี้ กำไรปกติใน 1Q49 คิดเป็นสัดส่วนเพียง 17% จากประมาณการกำไรปกติปีนี้ ดูเหมือนจะน้อย แต่คาดว่าผลการดำเนินการต่อจากนี้ไปจะดีขึ้นเรื่อยๆ ตามคำสั่งซื้อที่เพิ่มจากลูกค้า และบริษัทย่อยที่จีนกลับมาถึงจุดคุ้มทุนได้ในช่วงปลายปีนี้ มติคณะกรรมการบริษัทได้กำหนดให้มีการจัดสรรวอร์แรนท์ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 4 หุ้นเดิมต่อ 1 วอร์แรนท์ ไม่คิดมูลค่า อายุ 4 ปีราคาใช้สิทธิ์ที่ 10.00 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาหุ้นปัจจุบัน จึงอยู่ในภาวะที่มีกำไร หรือ Inthe Money แต่จะยังไม่เกิด Dilution Effect ในปีนี้
บล.เกียรตินาคินแนะนำซื้อลงทุน RCLราคาเป้าหมาย 25.00 บาทบริษัทประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 49 ออกมามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 812 ล้านบาทกำไรต่อหุ้น 1.22 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 13% QoQ แต่ลดลง 38% YoY ส่วนหนึ่งมาจากการบันทึกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 124 ล้านบาท หรือประมาณ 0.19 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานโดยรวมดีขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการขยายตัวของการส่งออกของประเทศจีน ที่เป็นปัจจัยบวกโดยตรงต่อธุรกิจเดินเรือคอนเทรเนอร์ ขณะที่บริษัทมีการขยายตัวของปริมาณขนส่งประมาณ 15% ในไตรมาส 2/49 อยู่ที่ 291,108 ตู้ อย่างไรก็ตามความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในไตรมาส 2/49 ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจากต้นทุนน้ำมันเดินเรือที่เพิ่มขึ้น การเติบโตของธุรกิจยังมี แต่ค่าระวางได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรง ผู้บริหารของบริษัทยังเชื่อว่าการเติบโตของธุรกิจเดินเรือคอนเทรเนอร์ยังมีความต้องการประมาณ 10% ในปี 49 ขณะที่ทางบริษัทมีการขยายเส้นทางเดินเรือใหม่ ได้แก่ Middle east และประเทศอินเดีย ซึ่งจะทำให้ค่าระวางเฉลี่ยของบริษัทเพิ่มขึ้น ในส่วนของระวางเรือยังได้รับผลกระทบจากการปรับตัวของบริษัทเดินเรือขนาดใหญ่ได่แก่ Maersk Line ที่เน้นกลยุทธ์ทางด้านราคาในช่วง Low seasonทำให้อัตราค่าระวางเรือในช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวลดลง ปัจจัยลบอีกประการหนึ่งที่เรามองว่า จะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการปี 49 คือ ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการแข่งขันที่รุนแรงทางด้านราคา ทำให้เรามองว่าบริษัทไม่สามารถผลักภาระดังกล่าวไปได้เต็มที่ ซึ่งจากเดิมที่เราคาดว่าต้นทุนในการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4.3% อยู่ที่ 165เหรียญต่อตู้
บล.เคจีไอแนะนำขายทำกำไร MCOTราคาเป้าหมาย 35.60 บาทเมื่อวาน MCOT ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 1/49 ที่ 316 ล้านบาท ขยายตัว 26% จากไตรมาส 1/48 และ 4% จากไตรมาส 4/48 ในขณะที่รายได้จากธุรกิจหลักอยู่ที่ 924 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 16% จากไตรมาส 1/48 แต่ลดลง 4% จากไตรมาส 4/48 ด้วยผลของฤดูกาลเป็นหลัก ผลประกอบการที่ประกาศมาถือว่าใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ ธุรกิจวิทยุเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ผลประกอบการที่ดีกว่าคาดเล็กน้อย เป็นผลมากจากธุรกิจวิทยุที่ดีกว่าที่เราคาด นอกจากธุรกิจโทรทัศน์ที่ยังมีผู้ชมที่หนาแน่นและการใช้จ่ายด้านโฆษณาของภาครัฐที่ยังคงแข็งแกร่งแล้ว เรามองว่าธุรกิจวิทยุของ MCOT เองก็มีฐานผู้ฟังที่ขยายอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยตอนแรกเราคาดการเติบโตของธุรกิจวิทยุไว้ที่เพียง 2% จากไตรมาส 4/48เท่านั้น แต่ออกมาธุรกิจวิทยุมีการเติบโตที่สูงถึง 10% ซึ่งดีกว่าที่เราคาดมากในไตรมาส 1/49 นี้อัตรากำไรขั้นต้นของ MCOT อยู่ที่ประมาณ 61% ซึ่งก็ยังคงดีอยู่อย่างต่อเนื่อง (เรามองว่าอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจโทรทัศน์และวิทยุที่ระดับ 60% ขึ้นไปเป็นระดับที่สูงมาก) ด้วยรายได้ที่โตขึ้นแต่ต้นทุนที่คงที่ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของ MCOT สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดการเติบโตดีทั้งปี เรามองว่าความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งจะอยู่กับ MCOT ไปตลอดทั้งปี ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นผู้ชมระดับกลางถึงสูง ความสามารถในการปรับค่าโฆษณา การเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะเกิดขึ้นและการใช้จ่ายด้านโฆษณาของภาครัฐ เราจึงมองว่ากำไรสุทธิของบริษัทน่าจะมีการเติบโตที่แข็งแกร่งถึง 28% ทั้งปี มาอยู่ที่ประมาณ 1.4 พันล้านบาท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#8 วันที่: 11/05/2006 @ 10:00:54 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
ปตท.รวยเฉียดหมื่นล้านบ. บุ๊คไตรมาส2กำไรขายRRC
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:05

ปตท.รวยไม่รู้จบ มีกำไรจากการขายหุ้นโรงกลั่นน้ำมันระยองเฉียดหมื่นล้านบาทงบไตรมาส2 มีแนวโน้มสวยหรูบันทึกกำไร และนอนกินปันผลที่ยังเหลือหุ้นถืออีก 49% ด้าน RRC เดินสายโรดโชว์ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป เอเชีย ก่อนเคาะราคาขายครั้งสุดท้าย ขณะนี้อยู่ระหว่าง18-23 บาท ส่วนแผนควบ ATC รอปีหน้า
บมจ.ปตท.หรือ PTT ได้ข่าวดีอีกแล้ว เพราะการที่บมจ.โรงกลั่นน้ำมันกลั่นระยองหรือ RRC เตรียมเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนกว่า 1,397ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นเดิมของปตท.รวมอยู่ถึง 877 ล้านหุ้น ที่เหลืออีก 520 ล้านหุ้นเป็นหุ้นใหม่ทั้งหมด
ดังนั้นจากการนำหุ้นเดิมออกขาย ทำให้ปตท.ได้กำไรจากการขาย เพราะมีส่วนต่างของต้นทุนที่ 10 บาทต่อหุ้น ขณะนี้ RRC กำหนดราคาขาย IPO อยู่ระหว่าง 18-23 บาทต่อหุ้น ทำให้บริษัทมีส่วนต่างของกำไรตั้งแต่ 8-13 บาท
ทั้งนี้หากคิดจากราคาขาย IPO ที่ 23 บาท ปตท.จะมีกำไรจากส่วนต่าง 13 บาทหรือประมาณ 11,401 ล้านบาท ถ้าขายที่ 20 บาทต่อหุ้น จะมีส่วนต่างกำไร 10 บาทหรือประมาณ 8,770 ล้านบาท และถ้าขายที่ 18 บาทต่อหุ้น จะมีกำไรจากส่วนต่าง 8บาท คิดเป็นกำไรประมาณ 7,016 ล้านบาท
ดังนั้นกำไรของปตท.จะดีมากในไตรมาส 2 อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับว่าบริษัทจะบุ๊คกำไรครั้งนี้ในควอเตอร์ใด เนื่องจากช่วงขายไอพีโอ RRC คาบเกี่ยวระหว่างไตรมาส 2และ 3 บริษัทจึงไม่มั่นใจจะลงบุ๊คช่วงใดดี นอกจากนั้นบริษัทยังถือหุ้นอยู่อีกราว 49% ยังได้รับผลดีจากเงินปันผล
แหล่งข่าวรายงาน ว่าบมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยอง(RRC) ได้กำหนดราคาขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป(IPO) จำนวน 1,397.5 ล้านหุ้น มูลค่าประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาทโดยกำหนดช่วงราคาเบื้องต้นไว้ที่ 18-23 บาท โดยจะเปิดจองระหว่างวันที่ 18-19พ.ค.นี้
ทั้งนี้หุ้นที่เสนอขายทั้งหมดเป็นหุ้นเดิมของบมจ.ปตท.จำนวนกว่า 870 ล้านหุ้น ส่วนที่เหลือเป็นหุ้นเพิ่มทุนใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้จะจัดสรรหุ้นส่วนเกินหรือกรีนชู อีกจำนวน 200ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายผ่านธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 3 แห่งรวมถึงแบงก์กรุงไทย
แหล่งข่าวกล่าวว่า ที่ปรึกษาทางการเงินและRRC จะเดินทางไปโรดโชว์ตั้งแต่สุดสัปดาห์นี้ไปจนถึงช่วงสุดสัปดาห์หน้า ในตลาดสหรัฐและยุโรป รวมทั้งเอเชีย หลังจากนั้นจะได้ข้อสรุปของนักลงทุนต่งประเทศและในประเทศเพื่อสรุปราคาขายครั้งสุดท้าย
อย่างไรก็ตามหากยังไม่ได้รับการอนุมัติการแบบเสนอขายหุ้น จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) หรือข้อมูลแบบเสนอขายหุ้นยังไม่สมบูรณ์เพียงพอ ก็อาจเลื่อนเวลาขายหุ้นออกไปได้อีก
ปัจจุบัน RRC เป็นผู้ดำเนินการโรงกลั่นน้ำมันขนาด 1.45 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยมีบมจ.ปตท.เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 100% โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการขายหุ้นครั้งนี้
ส่วนแผนควบรวมกิจการกับบมจ.อะโรเมติกส์ หรือ ATC คาดว่าจะเป็นปีหน้า เนื่องจากต้องรอความชัดเจนทั้ง 2 ฝ่าย และหลังจากควบรวมแล้วคาดว่าจะส่งผลดีทั้ง 2 ฝ่ายทั้งกับ RRC และ ATC
อย่างไรก็ตามหลังควบรวมแล้วคาดว่า ATC จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนในโรงงานอะโรเมติกส์ให้เหลือเฉพาะส่วนที่เป็นอะโรเมติกส์ คอมเพล็กซ์ 2 ส่วนหลักๆ ดังนี้1.Reforming Complex มีหน้าที่หลักผลิตสาร Reformate จากวัตถุดิบหลัก คือCondensate และ 2.Aromatic Complex มีหน้าที่สกัดแยกและเปลี่ยน Reformateให้เป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท คือ BTX ประกอบด้วย เบนซีน โทลูอีน และไซลีน
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#9 วันที่: 11/05/2006 @ 10:01:57 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
คอลัมน์ขี่พายุ : ปตท.ต้องเป็นเจ้าภาพใหญ่
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:07

ผลกระทบจากการเมืองและราคาน้ำมันตอนนี้ แต่ภาวะเศรษฐกิจไทย ยังไม่ถึงขั้นจะล่มสลาย
เศรษฐกิจระดับมหภาค ยังดูดี เงินทุนสำรองของประเทศ อยู่ในระดับสูง ขณะนี้มีมากกว่า 5.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯแล้ว พอจะรองรับภาวะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างอ่อนๆได้สบาย
ค่าเงินบาท ยังไม่อยู่ในระดับน่าวิตกว่า จะถูกโจมตี นอกจากนั้น ยังมีเงินทุนไหลเข้ามาทั้งในตลาดหุ้นและการลงทุนในภาคการผลิต มากกว่าการไหลออก
แต่เศรษฐกิจระดับจุลภาค ที่เป็นรายสาขาในภาคธุรกิจต่างๆนี่สิ กำลังเผชิญกับการควบคุมต้นทุน และลดรายจ่ายกันอย่างหนักหน่วง
กำลังซื้อในท้องตลาด เริ่มหดตัวลง เพราะข้าวของแพง ดอกเบี้ยแพง ค่าใช้จ่ายในหมวดขนส่งและการเดินทาง สูงขึ้น
ทิศทางการลดผลกระทบ โดยการใช้พลังงานทดแทน เป็นทิศทางที่ถูกต้องแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมา ยังสะเปะสะปะ ไม่เข้าที่ดีนัก
แก๊ซโซฮอล์ ที่มีราคาถูกกว่าเบนซิน95 ลิตรละ 1.50 บาท ก็ช่วยลดผลกระทบด้านการครองชีพได้ในระดับหนึ่ง
เข้าทดแทนการใช้เบนซิน95ได้กว่า30%แล้ว แต่การจัดการในด้านของวัตถุดิบที่นำมาผลิตเอทานอล ยังไม่มีประสิทธิภาพนัก
ราคาขายส่งเอทานอล ยังขยับตัวในราคาสูงอยู่ตลอดเวลา จนไม่แน่ใจว่า นโยบายส่งเสริมแก๊ซโซฮอล์ จะล่มเข้าสักวันหรือเปล่า
ความหวังอีกทางหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนเชื้อเพลิงจากน้ำมัน มาใช้แก๊ซธรรมชาติNGV ซึ่งมีราคาถูกกว่าน้ำมันครึ่งต่อครึ่ง
เป็นความหวังจะช่วยลดผลกระทบได้มากกว่าแก๊ซโซฮอล์ซะอีก
ถือเป็นเรื่องดีแน่ๆ แต่ปัญหาที่ประสบอยู่ในเวลานี้ ก็คือ ประชาชนและภาคธุรกิจขนส่งพร้อมจะเสียเงินปรับแต่งเครื่องยนต์และติดตั้งถังแก๊ซเอ็นจีวี แต่ติดขัดที่ปั๊มแก๊ซ มีอยู่ไม่กี่แห่ง
ปตท.ช่วยอุดหนุนค่าติดตั้งถังแก๊ซคันละ 1 หมื่นบาท ก็ยังเกาไม่ถูกที่คัน เพราะปั๊มแก๊ซก็ยังขาดแคลนอยู่ดี
ข้อเสนอล่าสุด ที่ปตท.ในฐานะผู้ค้าแก๊ซรายใหญ่ เสนอต่อกระทรวงพลังงานเพื่อจูงใจให้มีการขยายสภานีบริการNGV ก็คือ เสนอค่าการตลาดแก่ผู้ค้าในอัตรา 1.40 บาท/กิโลกรัม ก็เป็นการจูงใจได้ในระดับหนึ่ง
อาจจะมีผลทำให้สถานีบริการน้ำมัน ซึ่งมีฐานะย่ำแย่กันเป็นส่วนใหญ่ หันมาจำหน่ายแก๊ซNGVก็เป็นได้ หากได้ค่าการตลาดที่สูงขึ้นกว่าการจำหน่ายน้ำมันในปัจจุบัน
ถ้าจะให้นโยบายส่งเสริมNGVบรรลุผลดี ปตท.ก็ควรจะเพิ่มแรงจูงใจผู้ค้า โดยกำหนดค่าการตลาดที่สูงกว่าค่าการตลาดน้ำมัน
นั่นก็เป็นทางหนึ่ง และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ปตท.ในฐานะบริษัทน้ำมันแห่งชาติ ที่มีผลกำไรในปีที่แล้วถึง 8 หมื่นกว่าล้านบาท ก็น่าจะใช้นโยบายร่วมลงทุนกับสถานีบริการแก๊ซNGVเปิดใหม่ให้มากขึ้น
ควรต้องร่วมลงทุนในสัดส่วนที่มากกว่าการลงทุนในสถานีบริการน้ำมันทั่วไป
ปตท.เป็นองค์กรที่มีเงินทุนมาก กำไรก็สูง การลงทุนเพียงแค่นี้ ก็เป็นเพียงส่วนเสี้ยวไม่มีทางจะทำให้ฐานะซวนเซได้หรอก
แต่ช่วยชาติ ช่วยประชาชนได้อย่างมหาศาล
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#10 วันที่: 11/05/2006 @ 10:03:38 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
คอลัมน์สังคมหุ้น :
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:05

-หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจฉบับ อยากเห็นชาติสงบสุข เมื่อไรแต่ละฝ่ายจะยอมถอยคนละก้าว ประชาชนรำคาญมาแล้วนะ ประจำวันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2549...@ เคยเขียนไว้แล้ววินาทีนี้ใครถอยก่อนชนะใจประชาชน ถ้าฝ่ายใดยังตะแบงหรือไม่ยอมเลิกราจะแพ้ในที่สุด @ เดือนหน้าชาติมีงานสำคัญ เฉลิมฉลองครองสิริราชสมบัติครบ60 ปี กษัตริย์จากหลายประเทศทั่วโลกทรงเสด็จมาร่วมงาน วันนี้เรายังไม่เห็นการเตรียมพร้อมเรื่องรักษาความปลอดภัย@ แตกต่างจากช่วงงานประชุมโอเปคไทยเป็นเจ้าภาพ รัฐบาลโชว์เต็มที่ซักซ้อมสร้างความมั่นใจ เรียกความเชื่อมั่นจนได้รับคำชมเชยจากทุกประเทศที่มา แต่เรายังไม่เห็นการเตรียมพร้อมงานใหญ่ของชาติที่มีในเดือนหน้านี้@ ดร.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกฯที่เป็นประธานการจัดงาน กลับไม่ร้อนใจ เสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่มีความพยายามเรียกร้องให้ ดร.ทักษิณ วางมือจากการเมือง เราคิดว่าริดรอนสิทธิกันมากเกินไป ปล่อยให้ประชาชนตัดสินใจดีกว่า ไม่ชอบไทยรักไทยก็อย่าเลือก อย่าลืมประชาชนไม่มีตัวเลือก คนที่ออกมาเดินต่อต้านดร.ทักษิณ ไม่ได้หมายความว่ารักประชาธิปัตย์@ วิหคเหินคิดว่าคนที่ออกมาเพื่อต้องการแสดงออกให้บทเรียนกับนายกฯ ปชป.เอาแต่ร่ายรำ ไม่เสนออะไรใหม่ ๆออกมาให้ประชาชนพิจารณา เรื่องอย่างนี้ต้องเห็นใจกันบ้าง ถ้า 5 แกนนำเรียกร้องมากเกิน คนดูจะรู้สึกถูกกดดันให้เลือกข้างใดอีกแล้ว ขอให้ขบวนการเลือกตั้งเป็นผู้ตัดสินดีกว่า@ เราเชื่อครั้งนี้น่าจะคุมเข้มได้มากกว่าทุกรอบที่ผ่านมา เพราะ 3 ศาลฯประสานมือเต็มที่ ทำหน้าที่เป็นทางออกให้ชาติ ไม่มีครั้งใดที่ศาลฯจะพูดชัดเจนเท่านี้ เรียกร้องให้กกต.ลาออกเพื่อเห็นแก่ส่วนรวมและถ้าไม่ออก ศาลฯจะคุมการเลือกตั้งเองโดยผ่านคณะกรรมการกลางอีกที ไม่มีใครไว้ใจกกต.แล้ว@ วิหคเหินมองเห็นอีกรูโหว่ ที่ทุกคนมองข้าม กองสลาก ของพล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์เพื่อนเลิฟของนายกฯ จุดนี้สำคัญมาก แม้ผอ.คนปัจจุบันจะย้ายไปอยู่ รฟม.ก็ต้องดูคนใหม่เป็นใคร มาแบบมีวาระซ่อนเร้นอีกหรือไม่ และผู้คุมการเลือกตั้งอย่าลืมเข้ามาดูจุดนี้ด้วย อย่าลืมกองสลากทำหน้าที่พิมพ์บัตรเลือกตั้ง @ ผีพรายกระซิบบอกตลาดหุ้นระยะนี้ไม่ใช่ของจริง เปรียบกับหน้าอกผู้หญิง ก็เหมือนไปทำนมเทียม วอลุ่มฝรั่งจำนวนมาก มาจากคนไทยหัวใจสิงคโปร์ ดันหุ้นที่มีอยู่แล้วในพอร์ต เช่น ปตท. ปตท.สผบ้านปู การท่าฯ ทำเพื่อจะออกของ รอบนี้เหมือนกับล้างพอร์ต@ เตรียมเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า หาทางหนีทีไล่ไว้ก่อน ถ้าตัดสินใจไม่อยู่แล้วประเทศไทย จึงดัน AOTเพื่อปล่อยของเดิมที่ติดแถว 57-58 บาท ใครจะเข้าช่วงนี้คิดให้ดี ดูราคาสมเหตุสมผลหรือไม่ @เรายอมรับหุ้นตัวนี้ปัจจัยพื้นฐานดี แต่วิ่งแรงอย่างนี้มันมากเกิน คำสั่งซื้อส่วนใหญ่มาจากธนชาติ และยูบีเอส คิดเอาเองรายใหญ่คนไหนที่สนิทกับ2 โบรกฯนี้มากสุด ทั้งได้ดีเพราะดีลขายหุ้นชิน @และนี่เป็นคำเฉลยทำไมเสี่ยซาละเปาบ้านคุณกบ จึงถูกส่งตรงมาจากทำเนียบรัฐบาลให้นั่งเก้าอี้นี้ @ มีเสียงคัดค้านมากเรื่องการแยกสนามบินออกเป็น 2 ส่วนคือ ดอนเมือง และสุวรรณภูมิ รัฐหวังให้ที่เก่าเป็นสนามบินของโลว์คอสต์ และชาร์เตอร์ไฟลท์ ขณะที่เรายังไม่มีรถไฟฟ้าเชื่อมต่อทั้ง 2สนามบิน ประเด็นนี้สร้างความลำบากให้กับผู้โดยสารมาก ลองคิดดูเวลาเดินทางต้องลากกระเป๋าจากสนามบินนี้ไปที่ใหม่ เห็นแล้วตลกดี ฝ่าย AOT ยิ้มร่าเพราะคิดว่า รายได้จะเพิ่มขึ้นจากบริหาร 2 แห่ง@ หุ้น FNS วิ่งฉิวเล่นข่าว ช่วงชัย นะวงษ์ คนหน้าเนื้อใจเสือจะไปนั่งกลางเดือนนี้ แต่เราคิดว่าคนดูแลทำราคา โหมโรงให้กับหุ้น เอสอี ซี ของปลัดแป๋งจะเทรดราว 18-19 พ.ค.นี้@ เด็กสร้างของ FNS และ บีฟิท เห็นแววรังษีอัมหิตปกคลุม แล้วอย่างนี้จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าทั้ง 2 แห่งไม่มีสายสัมพันธ์กัน วันหลังต้องเอาเฮียช่วงไปนั่งคุยกันต่อหน้าวัดพระแก้ว ดูซิฟ้าจะผ่าลงคนหรือตะพาบน้ำ@ วานนี้หุ้น KTPโผล่มาแวบเดียวออเดอร์มาจากบีฟิท อย่าไปรู้มันเลยว่าวิ่งเพราะอะไร รู้แค่ว่าใครลากขึ้นมาก็พอ @
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#11 วันที่: 11/05/2006 @ 10:04:39 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
RATCHลีลาเด็ด ดึงบ้านปูชิงIPP
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:06

RATCH เดินหน้าประมูลไอพีพี จับมือ บ้านปู-เชฟรอน-ไตรเอนเนอร์จี้เป็นพันธมิตร ปลุกผู้ถือหุ้นฟ้องศาลปกครอง หากชวดประมูล มั่นใจกำไรปีนี้โตรับรู้รายได้ TECO ภาระดอกเบี้ยจ่ายลด งบไตรมาส 2 สวย
นายณรงค์ สีตสุวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งจำกัด(มหาชน)หรือ RATCH เปิดเผยว่า ยืนยันจะเข้าร่วมโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่(ไอพีพี)ที่กระทรวงพลังงานจะเปิดให้เอกชนเข้าร่วมประมูลในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งหากเงื่อนไขระบุว่าห้ามไม่ให้บริษัทลูกของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)เข้าประมูล บริษัทมีแผนรองรับ คือ เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่จะเข้าร่วมประมูลไอพีพี ซึ่งล่าสุดมีบริษัท บ้านปู จำกัด(มหาชน) บริษัท ไตรเอนเนอร์จี้ จำกัด และเชฟรอน จากสหรัฐอเมริกา ที่สอบถามเข้ามาและต้องการเข้าร่วมทุนด้วย
เราเองก็รอดูทีโออาร์การเปิดประมูลครั้งนี้อย่างเป็นทางการว่าจะออกมาอย่างไรแต่ลึกๆ แล้วก็มีความหวังอยู่มากว่าจะร่วมประมูลได้ แต่หากไม่ได้ก็มีแผนรองรับไว้ คือหากลุ่มพันธมิตรเข้าร่วมทำโรงไฟฟ้าแทน ล่าสุดมีเชฟรอน บ้านปูและไตรเอนเนอร์จี้แสดงความสนใจต้องการเข้าร่วมทุนแล้ว ยกเว้นว่าเข้าไม่ได้ในทุกกรณีทางกลุ่มผู้ถือหุ้นอาจจะไปฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดก็ได้ ซึ่งก็เป็นสิทธิตามหน้าที่ แต่บริษัทเองคงไม่ดำเนินการเพราะต้องแล้วแต่นโยบายของผู้ถือหุ้นนายณรงค์ กล่าว
ทั้งนี้ ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นทั้งรายใหญ่และรายย่อยให้ความสนใจ และสอบถามเข้ามาเป็นจำนวนมาก ว่าบริษัทจะเข้าร่วมประมูลได้หรือไม่ เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อสถานะทางการการเงิน ตลอดจนแผนการลงทุน และนโยบายต่างๆ ของบริษัท ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่ เพราะวัตถุประสงค์ของการตั้งบริษัทก็เพื่อรองรับการเปิดไอพีพีเป็นหลัก หากไม่สามารถเข้าร่วมประมูลได้ไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตามทางบริษัทคงต้องเน้นการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก
โดยระหว่างนี้มีการพิจารณาถึงรายละเอียดของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุ ที่ระบุว่าห้ามไม่ให้กีดกันบริษัทที่เป็นของคนไทยเข้าร่วมประมูลและในส่วนของราชบุรีเองก็ถือว่าเป็นบริษัทของคนไทยเพราะได้กระจายหุ้นให้กับคนไทยเป็นหลักและมีต่างชาติถือหุ้นเพียง 8% เท่านั้น ดังนั้นจึงมั่นใจว่าจะมีสิทธิเข้าร่วมประมูล
ส่วนกรณีที่กำหนดให้บริษัทแม่ถือหุ้นไม่เกิน 25% นั้น จะต้องดูว่า กฟผ.มีนโยบายต่อราชบุรีอย่างไร จะลดสัดส่วนการถือหุ้นจากปัจจุบันที่ 45% ลงหรือไม่ และหากใช้เกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ที่กำหนดให้ต้องลดสัดส่วนลงให้เหลือไม่เกิน 10% ทางบริษัทอาจจะไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ เพราะทางเอ็กโก้ระบุว่าจะเพิ่มทุนเพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ.ลง เพราะเห็นว่าระเบียบดังกล่าวออกมาเพื่อป้องกันการฮั้วประมูลของบริษัทลูกเท่านั้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับการถือหุ้นของ กฟผ.แต่อย่างใด
นายณรงค์ กล่าวต่อว่า ปีนี้คาดว่ามีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่ 6.06 พันล้านบาทเพราะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าไตรเอ็นเนอร์จี้(TECO) เพิ่มขึ้น ซึ่งเดิมบริษัทถือหุ้นอยู่37.5%แต่ล่าสุดสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 50% อีกทั้งบริษัทมีภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงปีละประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท หลังจากทำรีไฟแนนซ์เมื่อปีก่อนมูลค่า 24,000 ล้านบาท
สำหรับไตรมาส 2 คาดว่ามีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่มีรายได้ 12,817.16 ล้านบาท และมีกำไร 1,933.79 ล้านบาท สาเหตุที่กำไรลดลง เพราะบริษัทมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาไฟฟ้าราชบุรี ซึ่งขณะนี้บริษัทหาแนวทางเพื่อลดค่าใช้จ่ายดังกล่าวโดยการลงนามสัญญาซื้ออุปกรณ์เพื่อซ่อมบำรุงระยะยาวเป็นเวลา22 ปี ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการจัดหาอะไหล่และการบริการจะแบ่งชำระในทุกไตรมาส ดังนั้นส่งผลให้ค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุงตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไปลดลง
เชื่อว่ากำไรปีนี้ไม่ต่ำกว่าปีก่อน เพราะเรามีการบริหารจัดการให้ต้นทุนลดลงและมีรายได้เพิ่มจากไตรเอ็นเนอร์จี้ที่เราเข้าไปถือหุ้นเพิ่ม อย่างไรก็ดีในปีหน้าคาดว่ายังไม่มีโครงการใหม่ยกเว้นกรณีเข้าไปซื้อหุ้นในกิจการที่ดำเนินการอยู่แล้วนายณรงค์ กล่าว
นอกจากนั้น ในปี 2551 บริษัทมีการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าราชบุรีเพาเวอร์ประมาณ500 ล้านบาท โดยคาดว่าทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด
โดยบริษัทมีแผนขยายการลงทุนทำโรงไฟฟ้าเพิ่มในประเทศเพื่อนบ้านนอกเหนือจากลาวอาทิพม่า กัมพูชา เป็นต้น อย่างไรก็ดีการลงทุนทำโรงไฟฟ้าในต่างประเทศหากมีสัญญาขายไฟฟ้าให้กับไทยก็ถือว่าการลงทุนดังกล่าวมีความมั่นคง แต่หากสัญญาดังกล่าวไม่ขายไฟฟ้าให้กับไทยนั้นคงต้องประเมินความเสี่ยงอีกครั้ง
สำหรับการลงทุนในประเทศลาวนั้นยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก ขณะนี้บริษัทกำลังเจรจาลงทุนเพิ่มแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ อย่างไรก็ดี ในประเทศลาวยังมีโครงการโรงไฟฟ้าอีกกว่า 10,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ
ส่วนความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 จะลงนามสัญญาในปลายเดือนพ.ค.นี้รวมถึงจะลงนามสัญญาเงินกู้ในโครงการดังกล่าวด้วย ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าน้ำงึม 3กำลังเจรจายังไม่ได้ข้อยุติเรื่องอัตราค่าไฟฟ้าแต่คาดว่าจะสรุปได้ภายในปี 2549
ขณะที่บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP ระบุว่าRATCH ยังคงมีแผนต่อเนื่องที่จะเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาว หลังจากขณะนี้มีความชัดเจนอยู่แล้ว 2 โครงการคือ น้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 ส่วนโครงการลงทุนใหม่ยังอยู่ระหว่างการศึกษา ถือว่าเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต
ทั้งนี้ มูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2549 โดยใช้วิธี DCF อยู่ที่หุ้นละ 51.79 บาท ปัจจุบันราคาตลาดมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 29% ยังคงแนะนำซื้อลงทุนทั้งจากรายได้ที่มั่นคงไม่ผันผวนตามสถาณการณ์ทั่วไป และการมุ่งเน้นที่จะขยายการลงทุนต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#12 วันที่: 11/05/2006 @ 10:05:42 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
BLSแต่งกับมอร์แกนแล้วได้ดี คุยลูกค้าสถาบันกระฉูด24%
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:06

บล.บัวหลวงเดินหน้าเพิ่มความร่วมมือทางธุรกิจกับมอร์แกน สแตนเลย์ หลังประสบความสำเร็จเกินคาด เซ็นสัญญาไม่ถึงปีช่วยดันสัดส่วนนักลงทุนสถาบันและต่างชาติกระฉูดจากระดับ 9% เป็น 24% เล็งออกโรดโชว์ต่างประเทศร่วมกันเพิ่มฐานลูกค้าฝรั่ง พร้อมรุกฐานลูกค้าแบงก์กรุงเทพมากขึ้น ช่วยเพิ่มค่านายหน้าและค่าฟีงานวาณิชฯ ด้านโบรกแนะซื้อราคาเป้าหมาย 17 บาท
แหล่งข่าวผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด(มหาชน) หรือ BLS กล่าวว่า หลังเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับกลุ่ม Morgan Stanley Dean Witter AsiaLimited (MSDWAL) ส่งผลให้บริษัทมีรายได้เติบโตขึ้นมาก โดยเฉพาะในส่วนของค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของกลุ่มลูกค้าสถาบันและต่างชาติ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าสถาบันและต่างชาติเพิ่มขึ้นมากจากระดับ 9.3% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมดในช่วงต้นปี 48 เป็น24.4% ไตรมาสแรกของปี 49 สอดคล้องกับภาวะของตลาดโดยรวมที่มีจำนวนนักลงทุนสถาบันและต่างชาติมากขึ้น
ทั้งนี้ BLS มีนโยบายที่จะเพิ่มความร่วมมือทางธุรกิจกับกลุ่ม Morgan Stanleyในการทำตลาดร่วมกันมากขึ้น จากเดิมที่ร่วมมือกันทางด้านบทวิเคราะห์เพียงอย่างเดียว โดยจะเดินสายออกนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ของบริษัทและหุ้นที่บริษัทรับเป็นที่ปรึกษาทางการเงินหรือผู้ร่วมจัดจำหน่ายในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศได้อีกมาก
นอกจากนี้บริษัทยังมีนโยบายเพิ่มความร่วมมือในการทำธุรกิจกับธนาคารกรุงเทพจำกัด(มหาชน)หรือ BBL ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BLS ให้มากขึ้น โดยจะเข้าไปรับทำงานวาณิชธนกิจในบริษัทที่แบงก์กรุงเทพต้องการจะลดสัดส่วนการลงทุนลงตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธ)ปท.) ในขณะเดียวกันก็จะเข้าไปชักชวนลูกค้ารายใหญ่ประเภทบุคคลของแบงก์ให้มาเป็นลูกค้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทมากขึ้น รวมทั้งนำฐานลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด คาดการว่าปีนี้ BLS น่าจะมีกำไรสุทธิ201 ล้านบาท ภายใต้สมมติฐานมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันในตลาดฯเท่ากับ 20,000 ล้านบาท ที่ระดับส่วนแบ่งตลาด 3.30% ขณะที่คาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมและบริการปี 49 จะเพิ่มขึ้น 15% จากจำนวนงานวาณิชที่มีมากขึ้น
โดยปัจจุบัน BLS ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์จำนวน 3 รายการเป็นที่ปรึกษาในการควบรวมกิจการ 4 ราย และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนอีกจำนวน 2-3 ราย ทั้งนี้บล.นครหลวงไทยแนะนำซื้อ BLS โดยให้มูลค่าที่เหมาะสมในปี 49 ที่ 16.79 บาท บนสมติฐานพีอี 15 เท่า
ขณะที่บทวิเคราะห์บล.กรุงศรีอยุธยา จำกัด ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 49 ไว้ที่203 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากปีก่อนหน้า จากการได้สิทธิลดหย่อนทางภาษีตามเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้อัตราภาษีจ่ายในปี 49 ลดลงเหลือ 25% ภายใต้สมมติฐานมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ย 1.9 หมื่นล้านบาทต่อวัน และส่วนแบ่งการตลาดที่ 3.6%
นอกจากนี้ คาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมในปี 49 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนจากการช่วยเพิ่มฐานลูกค้าในธุรกิจวาณิชธนกิจของแบงก์แม่อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ BLS จะหมดภาระชำระค่าBroker Seat ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 48 เป็นต้นไปแต่ก็มีค่าธรรมเนียมจ่ายให้กับ บริษัท มอร์แกน สแตนเลย์ทดแทน เป็นเหตุให้คาดว่าค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายจะสูงขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงคำแนะนำ ซื้อ โดยมีมูลค่าพื้นฐานที่17 บาท อิงกับพีอีที่ 15 เท่า บนศักยภาพในการทำกำไรที่อยู่ในระดับสูง แต่ราคาหุ้น BLSกลับซื้อขายในระดับพีอีปี 49 เพียง 12 เท่า หากเทียบกับกลุ่มที่ซื้อขายถึง 20 เท่า
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#13 วันที่: 11/05/2006 @ 10:06:54 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
PTTCHปีนี้รายได้6.3หมื่นล. -ราคาโอเลฟินส์ขาขึ้น-ควบTOC-NPCหนุน Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:05

PTTCH มั่นใจรายได้ปีนี้ถึง 6.3 หมื่นล้าน กำลังผลิตเพิ่ม 3% หลังควบรวม TOC-NPCราคาโอเลฟินส์ยังดี สเปรด 450-500 ดอลลาร์ต่อตันเท่าปีที่แล้ว ได้อานิสงส์กำลังการผลิตตะวันออกกลางไม่เข้าตามกำหนด ปี 50 รายได้ถึง 7 หมื่นล้าน รับรู้รายได้โครงการ MEG เต็มปี
นายอดิเทพ พิศาลบุตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH กล่าวว่า ในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปีนี้ราคาโอเลฟินส์ยังดีอยู่ เพราะกำลังการผลิตของทางตะวันออกกลางไม่เข้ามาตามกำหนดขณะที่ตลาดยังมีความต้องการสูง
โดยบริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 2-3% หลังการควบกิจการกับบริษัท ไทยโอเลฟินส์จำกัด (มหาชน) หรือ TOC และบริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NPCเมื่อปลายปี 48 โดยในครึ่งปีหลังบริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการโมโนเอทิลีนไกลคอล(MEG) จำนวน 120 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ โดยโครงการดังกล่าวจะแล้วเสร็จในเดือนก.ค. นี้ มีกำลังการผลิต 1.5 แสนตันต่อปี จากกำลังการผลิตเต็มที่ 3 แสนตันต่อปี
นอกจากนี้ส่วนต่างราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับราคาวัตถุดิบ (สเปรด) ในปีนี้ยังอยู่ในระดับ 450-500 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งเป็นระดับเดียวกับในปี 48จากเดิมที่เคยประมาณการว่าปีนี้ราคาสเปรดจะลดลง เพราะคาดว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะเป็นขาลง เนื่องจากโรงงานโอเลฟินส์ในอิหร่านแล้วเสร็จล่าช้ากว่าแผน
ส่วนในปี 2550 คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 7 หมื่นล้านบาท เนื่องจากจะรับรู้รายได้จากการขยายกำลังการผลิตแบบคอขวดของโรงโอเลฟินส์ โรงที่ 1 และรับรู้รายได้จากการดำเนินโครงการMEG เต็มปี โดยโครงการ MEG จะแล้วเสร็จในเดือน ก.ค. นี้
ปีที่ผ่านมา PTTCH มีรายได้ 5.74 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1.29 หมื่นล้านบาทโดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ถือหุ้น 50% บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ถือหุ้น 15%
แหล่งข่าว PTTCH ระบุว่า บริษัทอาจมีกำไรสุทธิประมาณ 4 พันล้านบาท สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1 เพิ่มขึ้น 18% เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 3,446ล้านบาท เนื่องจากจะมีสเปรดในระดับ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีสเปรดในระดับ 470 เหรียญสหรัฐต่อตัน
นอกจากนี้ช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทยังได้เดินเครื่องโครงการ HDPE เกือบเต็มกำลังการผลิต 2.5 แสนตันต่อปี เทียบกับปีก่อนที่มีกำลังการผลิต 2 แสนตันต่อปี
ทั้งนี้บริษัทอาจมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย โดยปัจจุบันมีหนี้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐประมาณ 58% หรือ 1.2 หมื่นล้านบาท ส่วนหนี้สกุลเงินบาทมีประมาณ 42% หรือ 8.8พันล้านบาท โดยบริษัทเตรียมชำระหนี้สกุลเงินบาทประมาณ 4.4 พันล้านบาท โดยใช้เงินจากผลประกอบการ ที่เหลือจะทยอยชำระภายใน 5 ปี ส่วนหนี้สกุลดอลลาร์จะชำระทั้งหมดในปี 2558
ในช่วง 4 ปีข้างหน้า บริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 4.4 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจและดำเนินโครงการต่างๆ โดยใช้เงินจากผลประกอบการและเงินกู้จำนวนหนึ่ง
วานนี้หุ้น PTTCH ปิดที่ 88 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 1.14% มูลค่าการซื้อขาย71.51 ล้านบาท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#14 วันที่: 11/05/2006 @ 10:08:02 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
PYLONตั้งเป้าปีนี้โตเกินร้อย Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:09

ไพลอน ได้ดี อานิสงค์โครงการภาครัฐทะลักจากผลการเมืองนิ่ง มั่นใจรายได้ปีนี้โตมากกว่า 100% โชว์แบ็คล็อคล้นมือ เล็งเซ็นสัญญาโครงการใหม่อีก 100 ล้าน แค่ 3 เดือนแรกรายได้พุ่ง 160%
นายบดินทร์ แสงอารยะกุล กรรมการรองผู้จัดการ บมจ. ไพลอน (PYLON) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ประมาณ 550-600 ล้านบาท เติบโตกว่า 100% จากปีก่อนที่มีรายได้ 289 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้บริษัทมีงานในมือ (backlog) เข้ามามากประมาณ 280 ล้านบาท
เช่น งานโครงการรับเหมาก่อสร้างอาคารพาณิชย์ 32 ยูนิต ที่ตักสิลานครประมาณ31.4 ล้านบาท งานคลองสุวรรณภูมิมูลค่า 100 ล้านบาท งานวงแหวนรอบนอกมูลค่า 15ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโครงการที่รอการเซ็นสัญญา ซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 100ล้านบาท ส่วนกำไรรวมมีเป้าหมายเติบโต 30% ทุกปี
สถานการณ์ทางการเมืองที่ความชัดเจนขึ้นในปัจจุบัน จะส่งผลดีให้กับบริษัท เพราะโครงการภาครัฐจะออกมามากขึ้น ส่งผลให้อัตราการทำกำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นด้วย แม้สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบกับต้นทุนของบริษัทพอสมควร นายบดินทร์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าจะรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทพยายามควบคุมดูแลการใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังรณรงค์ให้ประหยัดการใช้พลังงานอย่างจริงจัง และพยายามเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้
นอกจากนี้ บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากบริษัทยังมีเงินสดในมือพอสมควร และมียอดเงินกู้ระยะยาวจากธนาคารเพียงแค่ 13 ล้านบาท โดยปัจจุบันอัตราหนี้สินรวมต่อทุนของบริษัทนั้นต่ำมากเพียงแค่ 0.5 เท่า
ด้าน ผลประกอบการไตรมาส 1/49 มีรายได้รวม 170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 160%เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 13.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7ล้านบาท หรือ 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 120% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากมีงานฐานรากและงานก่อสร้างอาคารหอพักนักศึกษา ด้วยระบบชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป ซึ่งบริษัทได้เริ่มให้บริการงานประเภทนี้ปลายปี 48
จุดเด่นของบริษัท คือ 1. คุณภาพของงานเป็นที่ยอมรับในตลาด เพราะบริษัทได้ผ่านงานใหญ่ระดับประเทศมามาก ไม่ว่าจะเป็นงานฐานราก งานอาคารสูง ทางด่วน รถไฟฟ้ายกระดับต่างๆ โรงงานขนาดใหญ่ งานเขื่อน เป็นต้น อีกทั้งบริษัทยังได้รับงานบริเวณนิคมอุตสาหกรรมที่ต้องการระบบ Safety สูงมาก ซึ่งหลายบริษัทหวั่นจะรับงานประเภทนี้
2. บริษัทมีกำลังการผลิตสูงทำให้สามารถรับงานได้หลายงานพร้อมๆ กัน 3. ความแข็งแรงทางการเงินและมีวินัย ทำให้หนี้สินต่อทุนต่ำและหากจังหวะทางธุรกิจมา ก็ทำให้บริษัทสามารถจะขยายกำลังการผลิตได้ทันที อีกทั้งธุรกิจของบริษัทเป็นงานต้นน้ำ ซึ่งงานฐานรากเป็นงานเริ่มต้นของการก่อสร้างทุกชนิด ทำให้ความเสี่ยงในการไม่ได้รับชำระเงินต่ำกว่างานก่อสร้างส่วนอื่นๆ
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#15 วันที่: 11/05/2006 @ 10:08:56 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
ADAVNCโชว์ความแกร่ง -Q1ฝ่ากระแสการเมืองฟันกำไร5.2พันล้านบ.
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:09

AIS งบ Q1 ยังสวย มีกำไร 5.2 พันล้านบาท แม้เจอพิษการเมือง และต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ของระบบเหมาจ่ายให้ทีโอทีเพิ่มขึ้นจาก 25%เป็น 30% รวม 3 เดือนแรกมึลูกค้าใหม่ 2.25 แสนราย แม้จะน้อยแต่ยังดันรายได้เพิ่ม 3.3% การลงทุนระยะยาวโบรกยังมองแง่ดี ได้รับผลบวกจากเกณฑ์และใบอนุญาตใหม่จาก กทช. ไตรมาส 2 ยังห่วงสงครามราคาทำรายได้อ่อนตัว
นายสมประสงค์ บุญยะชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิสจำกัด (มหาชน)(ADVANC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/49 จำนวน 5.289 พันล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 5.3% หรือจาก 5.584 พันล้านบาท แต่ยังมากกว่าไตรมาส 4/48 ที่ทำได้ 4.955 พันล้านบาท
ทั้งนี้ คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.79 บาท ซึ่งลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่มี 1.90บาท อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิดังกล่าวถือว่าดีกว่าที่บรรดาโบรกเกอร์คาดการณ์ไว้ ซึ่งอยู่ที่4.9-5.1 พันล้านบาท
สิ้นไตรมาส 1 บริษัทฯ มีลูกค้าใหม่สุทธิ 225,000 ราย หรือเพิ่มขึ้น 1.4% จากจำนวนผู้ใช้บริการ ณ สิ้นปี 48 แต่ถ้าหากเทียบต่อไตรมาสตัวเลขดังกล่าวลดลง เพราะในไตรมาส 4/48 มีลูกค้าใหม่สุทธิ 315,700 ราย เนื่องจาก การทำตลาดลดลง เพราะเกิดความไม่สงบทางการเมือง
สำหรับฐานลูกค้ารวม ณ สิ้นไตรมาส 1/49 ประมาณ 16,633,900 ราย แบ่งเป็นระบบโพสต์เพดหรือ จีเอสเอ็ม แอดวานซ์ และ จีเอสเอ็ม 1800 จำนวน 1,918,000 รายและระบบพรีเพด วันทูคอล 14,715,900 ราย ทั้งนี้ ตลาดรวมอยู่ที่ 32.2 ล้านคน โดยมีผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ต่อจำนวนประชากร (penetration rate r) 50% เพราะการแข่งขันที่รุนแรง เช่น การตัดราคา การทำตลาดต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น
ถึงแม้จำนวนผู้ใช้บริการจะเพิ่มขึ้นน้อย แต่รายได้เพิ่มขึ้น 3.3% เป็น 21,267 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/48 เนื่องจากได้ปรับค่าบริการขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนม.ค.49
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีภาระต้นทุนด้านสัมปทานเพิ่มขึ้น เพราะต้องจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนรายปีให้ทีโอที ในส่วนของรายได้จากการให้บริการโพสต์เพดเพิ่มขึ้นจาก 25%เป็น 30% ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ต้นไตรมาส 4/48
ทั้งนี้ ต้นทุนด้านผลประโยชน์ตอบแทนรายปีและภาษีสรรพสามิตจึงเป็น 5,247 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 1.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ บริษัทฯ มีหนี้สินลดลง เนื่องจากหุ้นกู้และเงินกู้ยืมระยะยาวลดเหลือ 23,963 ล้านบาทจากไตรมาส 4/48 ที่มีจำนวน 25,451 ล้านบาทเนื่องจากมีการไถ่ถอนหุ้นกู้ระหว่างไตรมาส 1,500 ล้านบาท
ส่วนสภาพคล่องก็ดีขึ้น โดยมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานรับสุทธิ 12,684ล้านบาท ซึ่งเพียงพอสำหรับการลงทุนและการชำระหนี้ รวมถึงการจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งปีหลังของปี 48 เมื่อวันที่ 8 พ.ค.49 ด้วย
คณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) ได้มีมติให้แต่งตั้ง นาย สุรศักดิ์ วาจาสิทธิ์ เป็นกรรมการ กรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบของบริษัทฯ ตามที่คณะอนุกรรมการสรรหาเสนอซึ่งนั่งแทน นายบุญชู ดิเรกสถาพร ที่ลาออกไป พร้อมทั้งแต่งตั้ง นายอรุณ เชิดบุญชาติ เป็นประธานกรรมการตรวจสอบด้วย
นอกจากนี้ บอร์ดยังอนุมัติในหลักการให้บริษัทฯ เข้าร่วมลงทุนในบริษัทร่วมทุนซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการเกี่ยวกับการชำระค่าเชื่อมต่อเครือข่าย (InterconnectionClearing HouseJoint Venture) ซึ่งมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 50 ล้านบาท โดยบริษัทฯ จะลงทุน 10% ของทุนจดทะเบียน หรือ ราว 5 ล้านบาท
บล.กิมเอ็ง มีความเห็นว่าในไตรมาส 2 รายได้จะอ่อนแอลงเพราะสงครามราคาที่รุนแรงมาก อย่างไรก็ตาม ครึ่งปีหลังและในระยะยาว ADVANC ยังน่าลงทุน โดยมีราคาเหมาะสมที่ 121 บาท/หุ้น เพราะผลการดำเนินงานมีแนวโน้มฟื้นตัวที่ดีหลังสงครามราคาสิ้นสุด ประกอบกับแนวโน้มการได้รับประโยชน์ระยะยาวจากเกณฑ์ใหม่ที่ กทช.จะออกมารวมถึงใบอนุญาตโทรทางไกลต่างประเทศ 3จี และ ค่าเชื่อมโยง
บล.กรุงศรีอยุธยา แนะนำ ซื้อลงทุนระยะยาว โดยให้มูลค่าพื้นฐาน 110 บาทเพราะในแง่เงินปันผลหุ้นตัวนี้ยังสามารถจ่ายได้ในเกณฑ์ดี บล.ยูไนเต็ด แนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 106.50 บาท เนื่องจากเชื่อว่าสงครามราคารอบใหม่นี้รุนแรงน้อยกว่าปีก่อน
บล.สยามซิตี้ มองว่า ADVANC น่าจะจ่ายเงินปันผลปี 49 ได้ 6.3 บาท/หุ้น จาก 5.7 บาท/หุ้น เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการลงทุนของเทมาเซคที่กำหนดว่าต้องจ่ายขั้นต่ำ 6.3 บาท/หุ้น ทั้งนี้ ได้ให้มูลค่าที่เหมาะสมไว้ที่ 86.40 บาท และแนะนำขาย สำหรับ Q2เพราะการแข่งขันที่รุนแรง บล.เคจีไอ แนะนำ ขาย เช่นกันโดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่91.45 บาท บล.กสิกรไทย แนะนำ ขาย ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 92.50 บาท
วานนี้(10 พ.ค.)มีรายงานข่าวว่า เครือข่ายเอไอเอสล่มในช่วงเที่ยง ซึ่งบริษัทชี้แจงว่าเป็นเพราะระบบ ซิกแนลลิ่ง เกตเวย์ ซึ่งเป็นระบบภายในขัดข้องไม่ใช่ปัญหาโทรข้ามเครือข่าย ซึ่งใช้เวลาแก้ไขไม่เกิน 1 ชั่วโมง
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#16 วันที่: 11/05/2006 @ 10:09:47 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
อย่าตกใจSATTELขาดทุน ครึ่งปีหลังงบฯกลับมาสวย Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:10

แซทเทลไตรมาสแรกขาดทุนสุทธิ 58.20 ล้านบาทเพราะเริ่มหักค่าเสื่อมไอพีสตาร์ นักลงทุนไม่ต้องตกใจครึ่งปีหลังกลับมาสวยได้หลังลูกค้าไทยคม 4 จากอินเดียและจีนเข้าเต็มที่ ซีเอสแอล เผยกำไรสุทธิ 61 ล้านบาท รอรับใบอนุญาตเกตเวย์มาต่อยอดธุรกิจ
บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด(มหาชน) (SATTEL) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/49 เป็นขาดทุนสุทธิ 58.20 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ188.59 ล้านบาท
แม้จะเป็นไปตามที่โบรกเกอร์คาดไว้ แต่ก็ถือว่าตัวเลขขาดทุนยังสูงกว่าประมาณการโดยบล.กิมเอ็ง ระบุว่า SATTEL คงจะขาดทุนปกติในไตรมาสนี้ 192 ล้านบาท แต่คาดว่าจะจะบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 162 ล้านบาท ทำให้น่าจะขาดทุนสุทธิเพียง 30 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ผลการขาดทุนดังกล่าวไม่น่าตกใจเพราะเกิดจากเริ่มรับรู้การหักค่าเสื่อมของไอพีสตาร์เต็มที่ ซึ่งในครึ่งปีหลังน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจาก ลูกค้าจากจีนและอินเดียจะเข้ามาอย่างเต็มที่
นายอนันต์ แก้วร่วมวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีเอส ล็อกซ อินโฟร์ จำกัด(มหาชน) (CSL) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1/49 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 61 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย โดยมาจากธุรกิจอินเตอร์เน็ต 31 ล้านบาทและธุรกิจโฆษณาสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ (TMC) 30 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯได้เปลี่ยนมาใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ทำให้กำไรสะสมเพิ่มขึ้นจาก 487ล้านบาทเป็น 545 ล้านบาท ซึ่งจะไม่กระทบกับเงินปันผล
ขณะนี้ CSL กำลังรอรับใบอนุญาตการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตออกต่างประเทศ และใบอนุญาตลากสายไฟเบอร์ จาก กทช. ซึ่งได้ยื่นขอไปเมื่อ 1 เดือนก่อน ซึ่งคาดว่าจะได้รับประมาณเดือน ก.ค.
ใบอนุญาตดังกล่าวจะทำให้ไม่ต้องพึ่งเกตเวย์ของผู้ประกอบการรายอื่น ซึ่งทำให้ต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้น คุณภาพบริการ ความเร็วสูงขึ้น และยังทำให้สามาถขยายบริการได้เร็วอีกด้วย ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมเงินลงทุนสำหรับใบอนุญาตใหม่ไว้ 20 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าในไตรมาส 2 จะได้รับรู้กำไรจาก บริษัท ชินนี่ ดอทคอม จำกัดที่ถือหุ้นอยู่ 35% ซึ่ง CSL ได้พยายามผสมผสานธุรกิจเทเลอินโฟมีเดียเข้ากับธุรกิจของ CSLโดยเน้นทำคอนเทนต์ ซึ่งเชื่อว่าธุรกิจออนไลน์ในอนาคตจะเป็นสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัว
สำหรับปีนี้ คาดว่าจะมีกำไรสุทธิสูงกว่าปีก่อนที่มี 293.7 ล้านบาท แต่รายได้จะโตน้อยกว่าอุตสาหกรรม เนื่องจากไม่เน้นส่วนแบ่งตลาด ขณะนี้บริษัทมีเงินสดเหลือประมาณ 1พันล้านบาท
ก่อนหน้านี้ ดร.ดำรง เกษมเศรษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร SATTEL ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ CSL ระบุว่าหากต้องการซื้อหุ้นที่มีปันผล ควรจะลงทุนใน CSL
ขณะที่ บล. ยูไนเต็ด ระบุว่า ผลการดำเนินงานของ CSL ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ โดยเติบโตราว 86% จากงวดเดียวกันปีก่อน เพราะรับรู้รายได้จากสมุดหน้าเหลือง อย่างไรก็ตามขณะนี้ ราคาเต็มมูลค่าแล้ว จากเป้าหมาย 4.05 บาทประกอบกับภาวะธุรกิจอินเทอร์เน็ตมีการแข่งขันสูง
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#17 วันที่: 11/05/2006 @ 10:12:19 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
TOTไล่บี้TRUE หั่นราคาเน็ต จ่ายแค่290บ.
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:10

ทีโอทีจี้ติดทรู ดั๊มพ์ราคาบรอดแบนด์ลุยตลาดล่าง เหลือแค่เดือนละ 290บาท โชว์จุดเด่นความเร็วสูงกว่าพร้อมแจกโมเด็มฟรี มุ่งเจาะตลาดต่างจังหวัด อดิศร์คุยยอดขายโตพรวด 20% นับแต่เริ่มแคมเปญฟุตบอล มั่นใจสิ้นปีฐานลูกค้าแตะ 2 แสนราย
นายอดิศร์ หะริณสุต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า ทีโอทีได้ออกแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือ บรอดแบนด์ราคาประหยัดเพื่อเร่งขยายฐานลูกค้าและชิงส่วนแบ่งตลาด เพราะเริ่มทำตลาดช้ากว่ารายอื่น
โปรโมชั่นดังกล่าว จะมีความเร็วสูงถึง 256 กิโลบิตต่อวินาที แต่คิดค่าบริการเพียง 290บาท/เดือน จากปกติ 500 บาท สามารถใช้งานได้นาน 30 ชั่วโมง ส่วนเกินคิดชั่วโมงละ12 บาท สูงสุดเฉลี่ยไม่เกินเดือนละ 585 บาท นอกจากนี้ยังมีรายการพิเศษสำหรับผู้ที่สมัครภายในวันที่ 1 มิ.ย.-31 ส.ค.นี้ สามารถใช้บริการได้ไม่จำกัดเวลาและรับโมเด็มฟรี
ทั้งนี้ บริษัทฯ ต้องการให้แพ็คเกจดังกล่าว ช่วยเจาะตลาดในต่างจังหวัด โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน และคนเริ่มใช้งานอินเทอร์เน็ตให้เติบโตมากยิ่งขึ้น รวมทั้งกระตุ้นลูกค้าที่ใช้อินเทอร์เน็ตแบบเดิม มีความต้องการใช้งานไม่มากนัก แต่ต้องการความเร็วเพิ่มขึ้น 5เท่าตัว หันมาใช้มากขึ้น เนื่องจากแพ็คเก็จนี้มีค่าบริการรายเดือนใกล้เคียงกับแบบเดิม
ทั้งนี้ ทีโอทีได้จัดโปรโมชั่นบรอดแบนด์มากขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ยอดขายบรอดแบนด์เติบโตขึ้นถึง 20-30% จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องทำได้ไม่น้อยกว่า 60,000รายจากแคมเปญฟุตบอล ออน ไฟร์
ทีโอทีประกาศรุกธุรกิจบริการบรอดแบนด์ให้เป็นรายได้หลัก โดยตั้งเป้ามีลูกค้าบรอดแบนด์เพิ่มอีก 2 แสนรายภายในสิ้นปีนี้ จากที่ปัจจุบันทีโอทีมีฐานลูกค้าอยู่ที่ 1 แสนราย แบ่งเป็นลูกค้าในเขตกรุงเทพ 30% และลูกค้าในต่างจังหวัด 70%
ขณะเดียวกันทีโอทีตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำในการให้บริการบรอดแบนด์ ซึ่งจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดไม่น้อยกว่า 60% ภายใน 3 ปีข้างหน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ได้ออกแคมเปญ บรอดแบนด์ราคาถูกเดือนละ 295 บาท ในชื่อ ทรู โนว์เลจ จูเนียร์ แพ็คเก็จซึ่งความเร็วเพียง 128 กิโลบิตต่อวินาที ช้ากว่าของทีโอที แต่นับเป็นการประเดิมลดราคาเป็นเจ้าแรกในตลาด
โดยลูกค้าที่สมัครใหม่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายแรกเข้า 500 บาทต่อเดือน และต้องจ่ายค่าเช่าโมเด็มในราคา 1 บาท/เดือนเป็นระยะเวลา 1 ปี
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#18 วันที่: 11/05/2006 @ 10:13:29 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 0.25% เป็น 5%

11 พฤษภาคม 2549 07:25 น.
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 0.25% เป็น 5% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นเป็นครั้งที่ 16 ติดต่อกัน

สำนักข่าวซินหัว ไฟแนนซ์ รายงานว่า ภายหลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (FOMC) ได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% และเฟดได้แถลงการซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่เฟดจะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย และตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ทีระดับ 5% สักระยะหนึ่ง

ซึ่งแถลงการณ์ของเฟดบ่งชี้ว่า ความเคลื่อนไหวก้าวต่อไปของเฟดจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่จะมีขึ้นตามมา โดยเฟดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯจะขยายตัวในระดับปานกลางควบคู่ไปกับอัตราเงินเฟ้อที่สามารถควบคุมได้
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#19 วันที่: 11/05/2006 @ 10:15:17 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
คอลัมน์เจาะกระดาน : เรื่องฉาวเกิดขึ้นอีกแล้ว!
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:11

*กลายเป็นเรื่องโอละพ่อ...เมื่อพันธมิตรคู่ใจของ SINGHA อย่าง WESTCOASTINTERNATIONAL TRADING COMPANY LIMITED ชิงเทขายออกไปถึง 0.69% ทำให้เหลือหุ้นอยู่ในพอร์ตเพียง 4.94% จนกระจอกข่าวต้องเช็คข่าวกันให้วุ่น และเป็นต้นเหตุให้ราคาหุ้นร่วงลงไปถึง บาท หรือ % ก่อนจะมาปิดที่ บาท ด้วยวอลุ่มที่แน่นขนัด...งานนี้ไม่จบง่ายๆ แน่นอน
*เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังลับมีดรอเชือด หากคำชี้แจงแถลงไขไม่เป็นที่พอใจ เพราะก่อนหน้านี้เฮีย สมจิตร โบว์เสรีวงศ์ ดันเอาหัวเป็นประกันว่า พันธมิตรรายนี้มีความจริงใจ และจะช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจของบริษัทเดินหน้าฉลุย...แล้วเหตุไฉนถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้
*โมนิก้า ไม่ใช่คนที่ชอบซ้ำเติมความพิดพลาดของคนอื่น แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ยอมไม่ได้จริงๆ เพราะองค์ประกอบหลายอย่างของบริษัทแห่งนี้ส่อพิรุธเป็นอย่างมาก ครั้นจะให้ปล่อยไปเลยตามเลย ก็ดูกะไรอยู่ เดี๊ยนถึงต้องออกมาตีโพยตีพาย และเรียกร้องให้ผู้บริหารของบริษัทออกมาแถลงข่าวถึงเหตุการณืดังกล่าวเป็นการด่วน
*เนื่องจากเรื่องนี้กระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของนักลงทุนรายย่อยเป็นอย่างมากและยังแสดงถึงนิสัยตลบตะแลงของพันธมิตรใหม่ได้เป็นอย่างดี เพราะการเซ็นสัญญาซื้อขายหุ้นให้กับ WESTCOAST INTERNATIONAL TRADING COMPANY LIMITED เพิ่งจะเสร็จสิ้นไปเมื่อปลายเดือน เม.ย. 49 แต่พอถึงต้นเดือน พ.ค. กลับเทขายหุ้นทิ้งอย่างไม่แยแสแบบนี้...เฮียสมจิตร อธิบายทีเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น
*ยิ่งมีเสียงร่ำลือในตลาดหุ้นกล่าวถึงการผ่องถ่ายเงินกันให้แซ่ด ยิ่งทำให้เดี๊ยนรู้สึกหวั่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะนึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะลุกลามกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตอย่างรวดเร็ว และทำให้หุ้นตัวนี้ขึ้นไปติดทำเนียบหุ้นอื้อฉาวแห่งปีอย่างเต็มตัวนะจะบอกให้
*ในรายของ ITV แม้จะมีแรงช้อนซื้อเข้ามาเป็นระยะ แต่นั่นก็เป็นเพียงแรงเก็งกำไรสั้นๆ ที่ไม่มีนัยสำคัญอะไรทั้งสิ้น และถือเป็นเหตุการณ์ปกติที่ทุกครั้งราคาหุ้นร่วงแรงมักจะมีการรีบาวนด์ตามหลังมาติดๆ ส่วนจะเด้งขึ้นมากน้อยเพียงก็ขึ้นอยู่กับขาใหญ่เข้ามาร่วมดันราคาหุ้นหรือไม่
*เพียงแต่ภาพที่ปรากฏให้เห็นวานนี้สะท้อนว่า ไม่มีใครอยากเสนอหน้าเป็นเจ้ามือราคาหุ้นถึงรูดไถลมาปิดที่ บาท ลบไป บาท หรือ % อย่างน่าอนาถใจ แถมนักวิเคราะห์สำหนักต่างๆ มองราคาหุ้นจะลงมาเท่ากับบุ๊ค(BV) 1.90 บาทแบบนี้...เดี๊ยนหวังว่าคงไม่มีใครเข้าไปรับหุ้นในจังหวะนี้นะจ๊ะ
*ทางด้าน TRT(ไม่ใช่ไทยรักไทย) แต่ออกอาการเมาหมัดเหมือนกันแบบนี้ โมนิก้าไม่อยากแสดงคอมเม้นท์อะไรมากมาย เพราะวานนี้คนที่จองซื้อหุ้นขาดทุนทันที 0.35 บาทหรือเงินหายวับไปกับตาถึง 6.09% ก่อนจะมาปิดที่ 5.40 บาท จากราคาจองซื้อ 5.75 บาทมันร้าวรานใจเกินจะพรรณา เดี๊ยนถึงไม่อยากแสดงความคิดเห็นอะไรอีก เพราะเกรงจะเป็นการซ้ำเติมคนที่ปล่อยของไม่ทัน
*ผิดคาดเป็นอย่างมากสำหรับหุ้น BEC และ MCOT เพราะจู่ๆ พร้อมใจกระชากขึ้นแรงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นดาวร่วงที่ไม่มีใครอยากเหลียวแล แต่พอผลประกอบการออกมาสวยหรู บวกกับมีข่าวดีเรื่องรายได้เข้ามากระตุ้น ราคาหุ้นเลยวิ่งระเบิดเถิดเทิงกันทั้งคู่ โดยรายแรกวิ่งขึ้นมาปิดที่ 16.20 บาท บวกไป 1.10 บาท หรือขึ้นไป 7.28% รายหลังปิดที่ 40.75 บาท บวกไป 3.25 บาทอย่างรวดเร็ว พร้อมกับทำnew high แบบนี้...ต้องเล่นตามน้ำแล้วหล่ะค่ะ
*เช่นเดียวกับในรายของ AOT ราคาหุ้นกระชากขึ้นมาปิดที่ 62.50 บาท บวกไป2.50 บาท ด้วยวอลุ่ม 530 ล้านบาท พร้อมกับทำ new high นับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น หากเดี๊ยนไม่แนะนำให้เล่นตามน้ำไปก่อน คงต้องเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอนจึงขอแนะนำให้พวกที่พร้อมเสี่ยง ตะลุยเล่นหุ้นตัวนี้เต็มที่เลยพะยะค่ะ
*SATTEL เร่งปล่อยข่าวดันราคาทั้งเรื่องลูกค้าจีน เวียดนาม ก่อนจะประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกขาดทุนยับกว่า 58.2 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 188.6 ล้านบาท แต่ราคาหุ้นยังไม่ไหวติงอยู่ที่ 13.80 บาท แถมระหว่างวันขึ้นไปที่ 13.90 บาทอีกต่างหาก
*ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะบริษัทเพิ่งจะมาประกาศผลการดำเนินงานเอาตอนที่ตลาดปิดแล้วใครที่ถือหุ้นไว้ตอนนี้คงร้อนใจน่าดู เพราะพรุ่งนี้ถ้าไม่ขายแหลกก็ถือว่าอภินิหารมากค่ะ แต่ถ้าใครอยากซื้ออนาคตอันยาวไกล เดี๊ยนก็ไม่ว่า แต่ขอบอกว่าหุ้นตัวนี้เหลี่ยมจัดพอตัวค่ะ
*ตรงข้ามกับ SPALI ที่ราคาหุ้นปรับตัวลง 0.06 บาท ปิดที่ 3.12 บาทหลังจากขึ้นมาต่อเนื่องนับเดือน แต่พอช่วงปิดตลาดกลับประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 เพิ่มขึ้นเป็น 353 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรเพียง 79 ล้านบาท ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้หุ้นจะวิ่งฉิวหรือเปล่า หรือว่านักลงทุนรับข่าวกันหมดแล้ว แต่ยังไงเดี๊ยนก็ยังเชียร์หุ้นตัวนี้ เพราะปีนี้มีเงินโครงการก่อนบุ๊คเข้ามาเพียบ
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#20 วันที่: 11/05/2006 @ 10:16:37 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
เทคนิคหุ้นเด่น
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:11

TOP
เมื่อพิจารณาสัญญาณแท่งเทียนรายสัปดาห์จะพบว่า ราคาหุ้นยังเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าราคาหุ้นรายวันขณะนี้จะปรับตัวลงมากว่า 2 สัปดาห์ ที่ระดับ 67.00 บาท แต่เรามองว่าเป็นการปรับตัวในช่วงสั้นๆเท่านั้น หลังราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูง หากราคาหุ้นประครองตัวที่ระดับ 67.00 บาท ได้มั่นคง คาดว่าสัญญาณ RSI และ Stochastic ที่ปรับตัวลงมามากแล้ว น่าจะปรับตัวขึ้นได้ในระยะต่อไป ช่วงนี้จึงเหมาะที่จะทยอยซื้อลงทุนคำแนะนำ ทยอยซื้อลงทุน
MCOT
เมื่อมองการเคลื่อนตัวของราคาหุ้นจากแท่งเทียรายสัปดาห์จะพบว่า ราคาหุ้นปรับตัวเป็นขาขึ้นชัดเจน ขณะเดียวกันหลังจากราคาหุ้นรายวันประคองตัวตามเส้นค่าเฉลี่ยมานานกว่า 2 เดือน ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นเหนือแนวต้านทุกเส้นอย่างมีนัยสำคัญ ที่ระดับ 40.75บาท พร้อมด้วยวอลุ่มที่เข้ามาอย่างชัดเจน ดังนั้นหากสัญญาณ RSI และSlow Stochaticปรับตัวเป็นซื้อชัดเจนเช่นนี้ คาดว่าคาหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นได้อีกคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร
IRP
โครงสร้างแท่งทียนรายสัปดาห์เป็นขาขึ้นขัดเจน ขระเดียวกันราคาหุ้นรายวัน ยังประคองตัวเหนือแนวต้านทุกเส้นได้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งสัญญาณ RSI และ SlowStochastic ก็ยังปรับตัวเป็นสัญญาณซื้อ หากมีวอลุ่มเข้ามามากกว่านี้ คาดว่าราคาหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นอีก โดยมีเป้าหมายทดสอบแนวต้าน 7.00 บาท เป็นเป้าหมายสำคัญคำแนะนำ ซื้อเล่นสั้น
BGH
โครงสร้างแท่งเทียนรายสัปดาห์ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันราคาหุ้นรายวันก็ยังปรับตัวในทิศทางขาขึ้นเช่นกัน ที่ระดับ 31.25 บาท แต่เนื่องแรงซื้อที่เข้ามามากเกินไปส่งผลทำให้สัญญาณ RSI และ Slow Stochastic เริ่มปรับตัวเข้าเขตซื้อมากเกินไปดังนนั้นหากราหุ้นไม่สามรถผ่านแนวต้าน 31.50 บาทไปได้ช่วงนี้ คาดว่าราคาหุ้นน่าจะได้เวลาปรับฐานก่อนแน่นแนคำแนะนำ ขายทำกำไร
STA
เมื่อพิจารณาแท่งเทียนรายรายสัปดาห์พบว่า ราคาหุ้นยังเป็นขาลง แม้ราคาหุ้นรายวันจะปรับตัวขึ้นมาอย่างรุนแรงที่ระดับ 15.20 บาท แต่เนื่องจากแรงซื้อที่เข้ามาส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาทำให้สัญญาณ RSI และ Slow Stochatic บ่งบอกว่าแรงซื้อที่เข้ามามากเกินไป ดังนั้นหากราคาหุ้นไม่สามรถผ่านระดับ 15.50 บาท ไปได้ แนวโน้มหุ้นน่าจะได้เวลาปรับฐานบ้างแล้วคำแนะนำ หาจังหวะขาย
GSTEEL
ราคาหุ้นรายสัปดาห์ปรับตัวขึ้นมากว่า 2 เดือนที่ระดับ 1.49 บาท แต่เนื่องจากราคาหุ้นรายวันเริ่มมีทิศทางไม่สวย หลังไม่ผ่านแนวต้าน 1.50 บาท ขณะเดียวกันวอลุ่มที่เข้ามาเริ่มเบาบาง และทิศทางของ RSI และ Slow Stochatic ที่เริ่มเข้าเขตซื้อมากเกินไป อีกทั้งสัญญาณ Bollinger Band ที่บานมากบ่งบอกให้รู้ว่าราคาหุ้นสูงมากเกินไปดังนั้นช่วงนี้ควรจะหาจังหวะขายคำแนะนำ หาจังหวะขาย
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#21 วันที่: 11/05/2006 @ 10:17:46 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
คอลัมน์คุณค่าบริษัท : WORK กำไรคงที่
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:11

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่1. นายปัญญา นิรันดร์กุล 74,330,800 หุ้น 37.17%2. นายประภาส ชลศรานนท์ 40,000,000 หุ้น 20.00%3. INVESTORS BANK AND TRUST COMPANY 7,787,500 หุ้น 3.89%4. CREDIT AGRICOLE INVESTOR SERVICES BANK 6,500,000 หุ้น 3.25%5. นางศรีสุดา พานา 4,408,100 หุ้น 2.20%คณะกรรมการ1. นายปัญญา นิรันดร์กุล ประธานกรรมการ 2. นายประภาส ชลศรานนท์ รองประธานกรรมการ 3. นายนุวัทฐ จั่นบำรุง กรรมการ 4. นายพาณิชย์ สดสี กรรมการ 5. นางสาวมาลี ปานพชร กรรมการ
บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK ซึ่งเป็นผู้ผลิตเกมโชว์ที่ได้รับความนิยม และในปีนี้ได้รวมกับสหมงคลฟิล์มผลิตภาพยนต์ออกมาสู่สายตัวผู้ชมเป็นครั้งแรก ซึ่งก็ทำให้ผลการดำเนินงานในไตมาสแรกออกมาดีพอควร
โดย WORK ได้ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสแรกสิ้นสุด 31 มีนาคม 2549ปรากฎว่ามีกำไรสุทธิ 60.50 ล้านบาท หรือ 0.03 บาทต่อหุ้น ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 61.15 ล้านบาท หรือ 0.31 บาทต่อหุ้น
ยอดรายได้จากการผลิตรายการและโทรทัศน์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องมาที่ระดับ 271.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้ส่วนนี้ 233.02 ล้านบาทและมีรายได้เกี่ยวกับภาพยนตร์ 19.39 ล้านบาท ซึ่งเพิ่งมีการผลิตในปีนี้
นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการขายสิ่งพิ่มพ์และโฆษณา รายได้จากการผลิตหรือตัดต่อภาพ และรายได้อื่นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทำให้รายได้รวมปรับมาที่ 305.97 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 243.61 ล้านบาท
ขณะที่ต้นทุนขายปรับขึ้นมาเป็น 127.78 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 110.08ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เท่ากันกับอัตราส่วนเพิ่มขึ้นของรายได้จากการผลิตรายการและโทรทัศน์ ขณะที่มีต้นทุนเกี่ยวกับภาพยนตร์ 13.36 ล้านบาท ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 51% จาก 49.29 ล้านบาท มาอยู่ที่ 74.74 ล้านบาทซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่ฉุดกำไรสุทธิปีนี้ปรับตัวลดลง
ด้านสภาพคล่องในการดำเนินงานและฐานะทางการเงินไม่น่าจะมีอะไรให้น่าห่วงเพราะตลอดระยะเวลาที่ WORK เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นถือว่าเป็นไม่เคยมีปัญหาทางด้านสภาพคล่องให้เห็นเลยก็ว่าได้ แถผลประกอบการยังโตวันโตคืนอีกด้วย
ดูได้จากสินทรัพย์หมุนเวียน 793.24 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินหมุนเวียนอยู่ที่ 222.19ล้านบาท ได้ค่า Current Ratio อยู่ที่ 3.57 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับที่ดี และเชื่อเลยว่าบริษัทจะไม่ประสบปัญหาสภาพคล่องเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเงินที่ใช้หมุนเวียนในกิจการส่วนใหญ่เป็นเงินสดและบริษัทยังไม่มีการกู้ยืมทั้งเงินกู้ระยะยาวและเงินกู้ยืมระสั้นรวมทั้งเงินโอดีก็ไม่เห็นในงบการเงิน
ยิ่งดูโครงสร้างทางการเงินยิ่งทำให้มั่นใจในความมั่นคงของบริษัท ด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นซึ่งสูงถึง 1,001.01 ล้านบาท เป็นส่วนของกำไรสะสม 257.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 197.04 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้ทำให้ผู้ถือหุ้นผิดหวังแต่อย่างใดขณะที่หนี้สินมีเพียง 222.19 ล้านบาท ทำให้มั่นใจว่าในอนาคตกำไรสุทธิจะไม่ถูกฉุดลงโดยดอกเบี้ยจ่ายอย่างแน่นอน
แนวโน้มการเติบโตของ WORK คาดว่าจะไปได้สวย เนื่องจากการเติบโตของรายได้ค่าโฆษณาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากรายการทางโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมจำนวนมากประกอบกับยังมีธุรกิจภาพยนต์ และธุรกิจการผลิตและตัดต่อภาพซึ่งมีแนวโน้มว่าจะสามารถขยายตัวและสร้างรายได้ได้อย่างสวยงามในอนาคต
ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาที่ 25 บาท เป็นช่วงระยะเวลาแห่งการพักฐาน คาดว่าราคาจะทรงตัวอยู่ในระยะนี้อีกสักพัก สำหรับนักลงทุนที่อยากได้ไว้ในพอร์ตต้องอดใจรออีกนิดหนึ่ง
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#22 วันที่: 11/05/2006 @ 10:18:37 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
คอลัมน์สภาแมงเม่า : หุ้น PTTEP
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:11

คุณ ชินเวศน์ จาก อ. นครไชยศรี นครปฐม ถามมาว่า หลังจากแตกพาร์มาแล้วทำไมหุ้น PTTEP ซึมจัง ทั้งที่เวลาผ่านไปแล้วหลายวัน ในขณะที่หุ้นแม่อย่าง PTT และTOP กลับวิ่งต่อขึ้นไปรอบหนึ่งแล้ว ทำไมเป็นเช่นนั้น หรือว่า หมดรอบเสียแล้ว
หุ้นใหญ่ๆแบบหุ้นบลูชิพนั้น เวบลาที่ผ่านการเคลื่อนไหวใหญ่ไปสักครั้ง มันก็มักจะซึมยาวอย่างนี้แหละครับ จะไม่วิ่งบ่อยมากเหมือนหุ้นยอดนิยมแบบ TPI ซึ่งเป็นข้อยกเว้นนะครับขานั้น ไม่ต้องพูดถึง มีการเทรดติดอันดับนำทุกวัน ไม่ว่าฝนตะตกแดกจะร้อนจัด
ยังจำได้ไหมครับ ต้นปี 2546 ก่อนที่ตลาดหุ้นจะวิ่งฉิว ราคาหุ้น PTTEP อยู่ที่ 125บาทเศษ ตอนนั้น ยุยังไงยังไม่มีคนซื้อเลย แต่พอได้วิ่งขึ้นมา ก็ทะลุ 200 กว่าบาท แล้วมาแน่นิ่งที่ระดับ 250 อยู่นานหลายเดือน ตอนนั้นว่าแพงแล้ว แต่ต่อมาก็ยังวิ่งต่อยาว จนทะลุ 400 ก็ยังว่าแพงมากขึ้นไปอีก แต่ท้ายสุด ทะลุเกือบ 600 จุด ตอนที่มีข่าวแตกพาร์ จากนั้น แตกพาร์เสร็จ ก็วิ่งกลับมาที่ระดับ 125 บาทตอนนี้ ซึ่งหากพิจารณากันจริงแล้ว ถือว่า ซึมไม่นานนะครับ เพราะธรรมชาติของหุ้นตัวนี้ มันก็คล้ายกับหุ้น SCC นั่นแหละ บทจะซึมก็ยาวเลย แต่พอบทจะวิ่ง ก็ตามเก็บไม่ทันเหมือนกัน
ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะคนที่เก็บหุ้นบลูชิพเหล่านี้ เขาเป็นพวกเล่นหุ้นเน้นคุณค่า และถือยาวกัน ไม่ซื้อขายบ่อยครั้ง ดังนั้น จะให้หวือหวาบ่อยเหมือนหุ้นยอดนิยมทั้งหลาย มันก้คงไม่เป็นได้อย่างใจที่คุณว่ามาก
สมัยก่อน ผมยังจำได้ดีว่า มีหุ้นที่มีลักษณะคล้านกันนี้คือ NPC ที่มีรูปแบบการเคลื่อนของราคาใกล้เคียงกัยมากทีเดียว แต่ตอนนี้ นับแต่กลายเป็น PTTCH ก็กลับเป็นอีหย่างหนึ่งไปเลยครับ อันนี้ ก็ต้องดูกันอีกแบบหนึ่ง
เรื่องอย่างนี้ ต้องว่ากันเป็นรายตัวไปครับ สิ่งที่ผมอยากแนะนำก็คือว่า การซื้อหุ้นลักษณะนี้เข้าเก็บ มันต้องวิเคราะห์ให้ดีว่า เข้าเขตราคาต่ำกว่าพื้นฐานหรือยัง ก็ให้เข้าซื้อแต่หากวิ่งสูงกว่าพื้นฐาน ก็ต้องขาย ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า พื้นฐานของบริษัทไม่มีปัญหาอะไรและสอตรี่ที่จะมาดันราคาหุ้นก็ไม่มีบ่อยมากมาย
ลองคิดดูก็แล้วกันครับ บริษัทที่สำรวจน้ำมันและแก๊ส จะพบแก๊สหลุมใหม่ทุกเดือน มันก็กระไรอยู่ครับ แค่พบ 3-4 ปีครั้ง ก้ถือว่า ตื่นเต็นพอสมควรแล้ว
มันไม่เหมือนหุ้นขาปั่นนี่ครับ มีแต่ข่าวเปลี่ยนพันธมิตรกันทุกเดือน แต่ท้ายสุด ผลประกอบการไม่เอาไหน
คิดจะเล่นหุ้นใหญ่ ต้องหนักแน่นครับ และซื้อน้อยๆ โดยดูจังหวะให้ดีเป็นสำคัญ
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#23 วันที่: 11/05/2006 @ 10:19:40 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
TFEXทำสถิติทะลุ300สัญญา - นักลงทุนแห่เปิดบัญชี หนุนวอลุ่มกระเตื้อง
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:12

ตลาดอนุพันธ์ส่อแววรุ่ง มูลค่าการซื้อขายคึกคักสุดนับตั้งแต่เปิดซื้อขาย มีปริมาณเทรด 340 สัญญา เดือนมิ.ย.ฮ็อตสุดเทรดกระฉูด 320 สัญญา ด้านนักวิเคราะห์ชี้เพราะนักลงทุนเปิดบัญชีได้มากขึ้นทำให้วอลุ่มกระเตื้อง ผสมโรงชมรมอนุพันธ์ดันมาร์เก็ตเมกเกอร์เพิ่มสภาพคล่องตลาด ส่งผลดีทางจิตวิทยาลงทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาวะการลงทุนในตลาดอนุพันธ์วานนี้(10 พ.ค.)คึกคักที่สุดนับตั้งแต่เปิดทำการซื้อขายเมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีปริมาณการซื้อขายรวม 340สัญญา แบ่งเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าดัชนีเซ็ท 50 ครบกำหนดเดือนมิ.ย.49 จำนวน 320สัญญา โดยดัชนีปิดที่ 543.40 จุด และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าดัชนีเซ็ท50 ครบกำหนดเดือนก.ย.49 จำนวน 20 สัญญา โดยดัชนีปิดที่ 543.10 จุด ส่วนสัญญาครบกำหนดเดือนธ.ค.49และเดือนมี.ค.50 ไม่มีการซื้อขาย
ขณะเดียวกันยังคงมีสัญญาล่วงหน้าที่ยังไม่ได้หักล้างกันหรือมีสถานะคงค้างจำนวนทั้งสิ้น 246 สัญญา แบ่งเป็นสถานะคงค้างของสัญญาครบกำหนดเดือนมิ.ย.49 จำนวน 189สัญญา สัญญาครบกำหนดเดือนก.ย.49 จำนวน 55 สัญญา และสัญญาครบกำหนดเดือนธ.ค.49จำนวน 2 สัญญา
นายธนวัฒน์ พาณิชเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายธุรกิจตัวแทนสัญญาซื้อขายล่วงหน้า บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า สาเหตุที่ปริมาณการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์เริ่มคึกคักขึ้นเป็นผลมาจากลูกค้า โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันเริ่มทยอยเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ได้มากขึ้น
โดยในช่วงเปิดการซื้อขายวันแรกๆโบรกเกอร์ส่วนใหญ่เพิ่งส่งหนังสือเชิญชวนไปยังนักลงทุนกลุ่มต่างๆให้เข้ามาเปิดบัญชี ซึ่งนักลงทุนก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ในการศึกษาข้อมูลและเตรียมตัวเข้ามาซื้อขาย ทำให้ในช่วงแรกของการเปิดตลาดจึงยังไม่มีวอลุ่มมากนัก แต่หลังจากที่เปิดบัญชีและพร้อมซื้อขายแล้วก็เริ่มมีการส่งวอลุ่มเข้ามาทำให้ตลาดคึกคักขึ้น ประกอบกับนักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าราคาซื้อขายสัญญาล่วงหน้าปัจจุบันยังต่ำกว่าที่ควรจะเป็นทำให้มีผู้สนใจที่จะเข้ามาซื้อลงทุนมากขึ้น
นอกจากนี้การที่ชมรมผู้ประกอบการธุรกิจซื้อขายสัญญาล่วงหน้าเร่งหารือกันเพื่อหาแนวทางเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด โดยอาจมีการทบทวนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย(คอมมิชชั่น) การจัดตั้งผู้ดูแลสภาพคล่อง(มาร์เก็ต เมกเกอร์)นั้นส่งผลดีทางจิตวิทยา ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจที่จะเข้ามาซื้อขายมากขึ้น หลังจากที่นักลงทุนส่วนใหญ่ค่อนข้างวิตกกังวลกับสภาพคล่องในการซื้อขายช่วงแรก
เชื่อว่านักลงทุนที่เข้ามาซื้อขายในช่วงนี้เป็นนักลงทุนสถาบันอย่างน้อย 70-80%เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความพร้อมมากที่สุด โดยเชื่อว่ามีทั้งการเข้ามาเก็งกำไร การป้องกันความเสี่ยง และการซื้อลงทุนระยะยาว ส่วนนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาซื้อขายน่าจะเป็นการเก็งกำไรมากกว่านายธนวัฒน์ กล่าว
ด้านนางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานชมรมผู้ประกอบการซื้อขายสัญญาล่วงหน้ากล่าวว่าเชื่อว่าไม่เกิน 1 ปีตลาดอนุพันธ์จะมีทิศทางที่ดี โดยสภาพคล่องน่าจะมีมากขึ้นเฉลี่ยอยู่ในระดับ 1,000 สัญญาต่อวัน เนื่องจากตลาดอนุพันธ์ถือว่าเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงที่ดี แต่ในช่วงนี้ตลาดอนุพันธ์ยังมีสภาพคล่องต่ำเพราะลูกค้ายังเข้ามาเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ไม่มาก เนื่องจากตลาดอนุพันธ์เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ขณะที่นักลงทุนสถาบันบางส่วนยังต้องรอทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)อนุญาตให้ซื้อขายเสียก่อน รวมทั้งมีนักลงทุนสถาบันบางส่วนรอให้ตลาดมีสภาพคล่องมากกว่าปัจจุบันจึงจะเข้ามาซื้อขาย
ระยะแรกต้องยอมรับว่าโบรกเกอร์ยังประสบผลขาดทุนอยู่ เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายในตลาด ยังเบาบางหากมูลค่าการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์อยู่ในระดับ 1 พันสัญญาต่อวันคาดว่าโบรกฯ จะใช้เวลา 2-3 ปี ที่จะถึงจุดคุ้มทุนนางภัทธีรา กล่าว
_________________
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#24 วันที่: 11/05/2006 @ 10:21:01 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
FNSเร่าร้อนก่อนช่วงชัยมา - ได้ขาใหญ่ช่วยสร้างข่าวดันราคา หวังออกของ
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:13

ฟินันซ่าร้อนแรงไม่เลิก ซื้อดักก่อนมาร์เก็ตแชร์พุ่ง เล่นข่าว ช่วงชัยย้ายรังพร้อมหอบมาร์เก็ตติ้งมาอีกเพียบ โบรกเกอร์เผยฟินันซ่าได้มาร์เก็ตแชร์เพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 1%ปีนี้มีงานวาณิชฯอีก 2 แห่ง จับตาขาใหญ่ดันราคาหุ้น หวังให้ใครบางคนได้ออกของ วันนี้บอร์ดฟินันซ่าประชุมผลประกอบการไตรมาสแรก
หุ้นบริษัทฟินันซ่า (FNS)ยังคงความร้อนแรงต่อเนื่องติดกัน 4 วัน นับตั้งแต่วันที่ 7พ.ค.เฉลี่ยอยู่ที่ 16-17 บาท มีสาเหตุมาจากนายช่วงชัย นะวงศ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.โกลเบล็ก จะย้ายมาอยู่ที่ บล.ฟินันซ่า ซึ่งก็มีผลทำให้เจ้าหน้าที่การตลาดตามนายช่วงชัยมาที่ FNS ด้วย วานนี้ระหว่างวันราคาหุ้นมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดติด 10 อันดับแรก ก่อนจะปิดที่ 17 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท
ทั้งนี้ นักลงทุนเข้ามาไล่ซื้อหุ้น จนราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสูงสุดที่ 17.30 บาท ก่อนจะขายทำกำไรในตอนท้ายตลาด จากการคาดการณ์ว่า บริษัทฟินันซ่า จำกัด (มหาชน)หรือ FNS น่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น
ส่วนไตรมาส 2 บริษัทจะมีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้บริษัทเอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส ที่จะเข้าซื้อขายในตลาดประมาณ18-19 พ.ค.นี้ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทจะได้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้อีก 2 บริษัท คือ กสท. และแผนควบรวมกิจการของธุรกิจปิโตรเลียม ซึ่งจะส่งผลให้รายได้วาณิชธนกิจปีนี้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ เป็นที่น่าจับตาราคาหุ้น FNS ที่ต่อไปนี้อาจจะมีขาใหญ่สร้างข่าวเพื่อดันราคาเนื่องจากขณะนี้ N-PARK ติดหุ้นฟินันซ่าอยู่ที่ 40 บาท และต้องการขายออก แต่ขายตอนนี้จะขาดทุน ดังนั้น อาจมีการดันราคาหุ้นเพื่อให้รายใหญ่ได้ออกของ
นักวิเคราะห์จากวงการหลักทรัพย์ กล่าววว่า ราคาหุ้น FNS ที่ปรับขึ้นวานนี้ น่าจะมาจากการเล่นข่าวเรื่องมาร์เก็ตแชร์ของบริษัทที่น่าจะเพิ่มขึ้น จากการที่นายช่วงชัยมานั่งทำงานที่นี่ โดยส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นไม่น่าจะต่ำกว่า 1%เพราะมีมาร์เก็ตติ้งที่ย้ายตามนายช่วงชัยมาด้วย
อย่างไรก็ตาม คงจะต้องติดตามกันต่อไปว่ามาร์เก็ตติ้งที่จะย้ายมาอยู่ FNS จะมีทั้งหมดเท่าไร เพราะมีปัจจัยที่ต้องดูหลายอย่าง เช่น มาร์เก็ตติ้งที่ย้ายตามนายช่วงชัยมามีวอลุ่มการซื้อขายของลูกค้ามากน้อยแค่ไหน และบัญชีลูกค้าซ้ำซ้อนกันหรือไม่ระหว่างโบรกเกอร์ทั้ง 2แห่งนี้
นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟินันซ่า จำกัด (มหาชน)หรือFNSกล่าวว่า ในวันพฤหัสนี้คณะกรรมการบริษัทจะประชุมเรื่อง ผลประกอบการไตรมาสแรกดังนั้น ในระหว่างนี้จึงไม่อยากจะพูดถึงแผนการดำเนินงานต่างๆ เพราะจะไปกระทบกับผลการดำเนินงานของบริษัท
นายณัฐวุฒิ เขมะโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทโกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเมนท์จำกัด (มหาชน)หรือ GBX กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการสรุปว่าจะปิดห้องค้าทั้งหมดเท่าไหร่ แต่คาดว่าจะปิดไม่ถึง 13 ห้องค้าตามที่เป็นข่าว เนื่องจากยังมีบางสาขาที่เจ้าหน้าที่การตลาดไม่อยากจะย้ายงานตามนายช่วงชัยไปส่วนที่มีข่าวว่าปิด 13 ห้องค้านั้น ถือเป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุด
ทั้งนี้ ยอมรับว่า หลังจากนายช่วงชัย ย้ายไปอยู่ที่ บล.ฟินันซ่า จะส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดของ GBX ปรับลดลง อย่างไรก็ตามภายใต้ข้อตกลงนั้น บัญชีลูกค้าจะยังเปิดอยู่กับ GBXและสามารถซื้อขายได้ทั้ง 2 แห่ง และทางบริษัทก็พยายามอย่างเต็มที่ในการรักษาฐานลูกค้าเดิมโดยเฉพาะการเสริมบริการอินเตอร์เนตเทรดดิ้งให้ลูกค้ารายย่อยสามารถซื้อขายได้สะดวก
นายช่วงชัย นะวงศ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ด้วยความเป็นมืออาชีพ เมื่อตนมารับงานในที่ใหม่ ก็คงจะต้องทำงานให้เต็มที่ในทุกๆ ด้าน ส่วนลูกค้าที่จะตามมาอยู่กับ บล.ฟินันซ่า ยังไม่สามารถประเมินได้เพราะจะต้องมาวางเป้าหมายและกลยุทธ์การทำธุรกิจก่อน
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#25 วันที่: 11/05/2006 @ 10:27:16 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
มึน .0008
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#26 วันที่: 11/05/2006 @ 18:44:29 : Re: re: ลอกข่าวมาให้ครับ
[quote:1fd0981353=บุคคลทั่วไป">มึน .0008[/quote:1fd0981353">

.0008 .0008 .0008

เห็นด้วยค่า...
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#27 วันที่: 12/05/2006 @ 10:48:26 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
ฟฟฟฟ3 .000A
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#28 วันที่: 12/05/2006 @ 12:02:24 : re: ลอกข่าวมาให้ครับ
ฮั่นแน่! .0008
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#29 วันที่: 06/02/2007 @ 12:21:09 : Re: re: ลอกข่าวมาให้ครับ
[quote:4c883eddc3=U">คอลัมน์ขี่พายุ : ปตท.ต้องเป็นเจ้าภาพใหญ่
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 11 May 2006 04:07

ผลกระทบจากการเมืองและราคาน้ำมันตอนนี้ แต่ภาวะเศรษฐกิจไทย ยังไม่ถึงขั้นจะล่มสลาย
เศรษฐกิจระดับมหภาค ยังดูดี เงินทุนสำรองของประเทศ อยู่ในระดับสูง ขณะนี้มีมากกว่า 5.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯแล้ว พอจะรองรับภาวะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างอ่อนๆได้สบาย
ค่าเงินบาท ยังไม่อยู่ในระดับน่าวิตกว่า จะถูกโจมตี นอกจากนั้น ยังมีเงินทุนไหลเข้ามาทั้งในตลาดหุ้นและการลงทุนในภาคการผลิต มากกว่าการไหลออก
แต่เศรษฐกิจระดับจุลภาค ที่เป็นรายสาขาในภาคธุรกิจต่างๆนี่สิ กำลังเผชิญกับการควบคุมต้นทุน และลดรายจ่ายกันอย่างหนักหน่วง
กำลังซื้อในท้องตลาด เริ่มหดตัวลง เพราะข้าวของแพง ดอกเบี้ยแพง ค่าใช้จ่ายในหมวดขนส่งและการเดินทาง สูงขึ้น
ทิศทางการลดผลกระทบ โดยการใช้พลังงานทดแทน เป็นทิศทางที่ถูกต้องแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมา ยังสะเปะสะปะ ไม่เข้าที่ดีนัก
แก๊ซโซฮอล์ ที่มีราคาถูกกว่าเบนซิน95 ลิตรละ 1.50 บาท ก็ช่วยลดผลกระทบด้านการครองชีพได้ในระดับหนึ่ง
เข้าทดแทนการใช้เบนซิน95ได้กว่า30%แล้ว แต่การจัดการในด้านของวัตถุดิบที่นำมาผลิตเอทานอล ยังไม่มีประสิทธิภาพนัก
ราคาขายส่งเอทานอล ยังขยับตัวในราคาสูงอยู่ตลอดเวลา จนไม่แน่ใจว่า นโยบายส่งเสริมแก๊ซโซฮอล์ จะล่มเข้าสักวันหรือเปล่า
ความหวังอีกทางหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนเชื้อเพลิงจากน้ำมัน มาใช้แก๊ซธรรมชาติNGV ซึ่งมีราคาถูกกว่าน้ำมันครึ่งต่อครึ่ง
เป็นความหวังจะช่วยลดผลกระทบได้มากกว่าแก๊ซโซฮอล์ซะอีก
ถือเป็นเรื่องดีแน่ๆ แต่ปัญหาที่ประสบอยู่ในเวลานี้ ก็คือ ประชาชนและภาคธุรกิจขนส่งพร้อมจะเสียเงินปรับแต่งเครื่องยนต์และติดตั้งถังแก๊ซเอ็นจีวี แต่ติดขัดที่ปั๊มแก๊ซ มีอยู่ไม่กี่แห่ง
ปตท.ช่วยอุดหนุนค่าติดตั้งถังแก๊ซคันละ 1 หมื่นบาท ก็ยังเกาไม่ถูกที่คัน เพราะปั๊มแก๊ซก็ยังขาดแคลนอยู่ดี
ข้อเสนอล่าสุด ที่ปตท.ในฐานะผู้ค้าแก๊ซรายใหญ่ เสนอต่อกระทรวงพลังงานเพื่อจูงใจให้มีการขยายสภานีบริการNGV ก็คือ เสนอค่าการตลาดแก่ผู้ค้าในอัตรา 1.40 บาท/กิโลกรัม ก็เป็นการจูงใจได้ในระดับหนึ่ง
อาจจะมีผลทำให้สถานีบริการน้ำมัน ซึ่งมีฐานะย่ำแย่กันเป็นส่วนใหญ่ หันมาจำหน่ายแก๊ซNGVก็เป็นได้ หากได้ค่าการตลาดที่สูงขึ้นกว่าการจำหน่ายน้ำมันในปัจจุบัน
ถ้าจะให้นโยบายส่งเสริมNGVบรรลุผลดี ปตท.ก็ควรจะเพิ่มแรงจูงใจผู้ค้า โดยกำหนดค่าการตลาดที่สูงกว่าค่าการตลาดน้ำมัน
นั่นก็เป็นทางหนึ่ง และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ปตท.ในฐานะบริษัทน้ำมันแห่งชาติ ที่มีผลกำไรในปีที่แล้วถึง 8 หมื่นกว่าล้านบาท ก็น่าจะใช้นโยบายร่วมลงทุนกับสถานีบริการแก๊ซNGVเปิดใหม่ให้มากขึ้น
ควรต้องร่วมลงทุนในสัดส่วนที่มากกว่าการลงทุนในสถานีบริการน้ำมันทั่วไป
ปตท.เป็นองค์กรที่มีเงินทุนมาก กำไรก็สูง การลงทุนเพียงแค่นี้ ก็เป็นเพียงส่วนเสี้ยวไม่มีทางจะทำให้ฐานะซวนเซได้หรอก
แต่ช่วยชาติ ช่วยประชาชนได้อย่างมหาศาล[/quote:4c883eddc3">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com