ทุกมุมเมืองขานรับมติศาลรธน.8:6 เลือกตั้งโมฆะ
ฟันธงจากนี้เศรษฐกิจ-ตลาดหุ้นไทยได้โงหัวซะที

ศาลรัฐธรรมนูญ ลงมีมติ 8 ต่อ 6 เสียง สรุปผลการเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย. ของ กกต. ขัดรัฐธรรมนูญ
และ 9 ต่อ 5 เสียงให้เพิกถอน ส.ส. ทั้งระบบบัญชีรายชื่อ และแบบแบ่งเขต โดยให้มีการเลือกตั้งใหม่
ขณะที่คนวงการตลาดเงินและตลาดทุนออกมาขานรับ การตัดสินดังกล่าวทำให้สถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น
รวมถึงเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้น เชื่อวันนี้เดินหน้าทะยานต่อจากเมื่อวานที่บวกไป 14.69 จุด

นายไพบูลย์ วราหไพฑูรย์ เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 6
เห็นว่าการจัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549 ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้ความเห็นในเรื่องการกำหนดระยะเวลา
สำหรับเตรียมการเลือกตั้งอันนำไปสู่การประกาศกำหนดวันเลือกตั้งในพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร
ไม่เหมาะสมและเที่ยงธรรม ขัดกับหลักการเรื่องความเป็นกลางในทางการเมือง ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
และขาดกับหลักการเรื่องการควบคุมและดำเนินการจัดให้มีการเลือกตั้ง ให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

ทั้งนี้ตุลาการเสียงข้างมาก ประกอบด้วย นายผัน จันทรปาน นายจิระ บุญพจสุนทร
นายนพดล เฮงเจริย นายปรีชา เฉลิมวณิชย์ นายมงคล สระฏัน
ศาสตราจารย์ ดร. เสาวนีย์ อัศวโรจน์ นายอภัย จันทนจุลกะ และนายอุระ หวังอ้อมกลาง

ส่วนตุลาการเสียงข้างน้อย ประกอบด้วยนายจุมพล ณ สงขลา นายมานิตย์ วิทยาเต็ม นายศักดิ์ เตชาชาญ
พล.ต.อ. สุวรรณ สุวรรณเวโช นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ และนายสุธี สุทธิสมบูรณ์

เขากล่าวต่อว่า มีคะแนนเสียง 9 ต่อ 5 ให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่
และเพิกถอน สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งระบบแบ่งเขต และระบบบัญชีรายชื่อ
เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการในการจัดการเลือกตั้งทั่วไป
โดยมติเสียงข้างมากของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ประกอบด้วย นายผัน จันทรปาน นายจิระ บุญพจสุนทร นายนพดล เฮงเจริย นายปรีชา เฉลิมวณิชย์
นายมงคล สระฏัน ศาสตราจารย์ ดร. เสาวนีย์ อัศวโรจน์ นายอภัย จันทนจุลกะ
และนายอุระ หวังอ้อมกลาง และนายมานิตย์ วิทยาเต็ม

ส่วนตุลาการเสียงข้างน้อย ประกอบด้วยนายจุมพล ณ สงขลา นายศักดิ์ เตชาชาญ
พล.ต.อ. สุวรรณ สุวรรณเวโช นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ และนายสุธี สุทธิสมบูรณ์

สำหรับคำร้องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 198
กรณีการดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2549 จนถึงปัจจุบัน และนำไปสู่คำวินิจฉัยวันนี้นั้นมี 4 ประเด็นสำคัญประกอบด้วย

1. กกต.ให้ความเห็นเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้งในพระราชกฤษฎีกายุบสภาโดยไม่เหมาะสมและไม่เที่ยงธรรม
ซึ่งเมื่อมีการกำหนดวันเลือกตั้ง 2 เมษายน ซึ่งห่างจากวันยุบสภาเพียง 35 วันเท่านั้น
ทั้งๆ ที่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 116 กำหนดกรอบระยะเวลาการจัดเลือกตั้งไว้ให้ดำเนินการภายใน 60 วันนับแต่วันยุบสภา
ซึ่งแสดงเจตนารมณ์ในการให้มีเวลาที่พอเพียงสำหรับจัดเลือกตั้งโดยไม่มีการกำหนดล่วงหน้ามาก่อน
ซึ่งการให้ความเห็นดังกล่าวของ กกต.แม้จะอยู่ภายใต้กรอบมาตรา 116 แต่เป็นการดำเนินการที่ไม่เที่ยงธรรม
เอื้อประโยชน์แก่พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจยุบสภา ซึ่งขัดกับหลักความเป็นกลางทางการเมืองของ กกต.
ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 136 และขัดหลักการจัดเลือกตั้งให้เป็นไปโดยบริสุทธิ์และเที่ยงธรรมตามมาตรา 144

2. การเลือกตั้ง 2 เมษายน กกต.ได้กำหนดการจัดคูหา
ในลักษณะที่บุคคลภายนอกสามารถสังเกตเห็นได้ว่าผู้เลือกตั้งใช้สิทธิเลือกตั้งหมายเลขใด
อันเป็นการละเมิดหลักการลงคะแนนเลือกตั้งซึ่งต้องดำเนินการโดยลงคะแนนโดยตรงและลับ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 104 วรรค 3

3. ผลการสอบสวนของอนุกรรมการสอบสวนกรณีพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ส่งผู้สมัครในทุกเขตทุกจังหวัด
ว่าจ้างให้ผู้สมัครจากพรรคการเมืองขนาดเล็กหลายพรรคส่งผู้สมัครลงแข่งขันเลือกตั้งตามที่พรรคการเมืองขนาดใหญ่กำหนด
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีผู้สมัครคนเดียวในหลายเขตเลือกตั้ง
จนเป็นเหตุให้ กกต.มีมติร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคการเมืองขนาดเล็กที่รับจ้างส่งผู้สมัคร
และดำเนินคดี อาญากับหัวหน้าพรคการเมืองขนาดเล็กที่เกี่ยวข้อง พฤติการณ์ดังกล่าว
นอกจากจะเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว.แล้ว
ยังละเมิดหลักรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 ที่กำหนดว่า
พรรคการเมืองจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตได้เพียงคนเดียวในเขตเลือกตั้งนั้นๆ
เพราะกรณีดังกล่าวหมายความว่า พรรคการเมืองขนาดใหญ่เป็นผู้ตัดสินใจและกำหนดและดำเนินการให้มีผู้สมัคร 2 คนนั่นเอง

4. การเลือกตั้งครั้งนี้ กกต.มีมติ สั่งการ ออกประกาศและออกคำสั่งในเรื่องต่างๆ
การสืบสวนเพื่อวินิจฉัยปัญหาข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ตลอดจนการพิจารณาประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง
โดยไม่ได้มีการประชุมปรึกษาหารือ หรือมิได้มีการปรึกษาหารือกันโดยกรรมการครบถ้วนตามจำนวนที่มีอยู่
รวมถึงการให้ความเห็นชอบกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน ตามหลักเกณฑ์ของ พร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่า
กกต.มาตรา 10 ประกอบกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 145 (6) และขัดแย้งกับหลักการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรกลุ่มตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 136

เขากล่าวต่อถึงมติของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะทำให้พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรถูกยกเลิกด้วยหรือไม่ว่า
อำนาจในการออกพระราชกฤษฎียุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นอำนาจโดยชอบธรรมของฝ่ายบริหาร
โดยนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภา
เพื่อถวายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย
โดยการกระทำของรัฐบาลในการประกาศร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาเป็นการใช้อำนาจในทางที่กฎหมายกำหนด
และอยู่ในดุลพินิจของฝ่ายบริหารโดยตรง ไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

ส่วนในการกำหนดวันเลือกตั้ง เป็นหน้าที่ของรัฐบาลซึ่งเป็นอำนาจฝ่ายบริหาร
จะต้องเป็นผู้ดำเนินการและรับพระราชโองการ
เพื่อจัดการเลือกตั้งภายหลังจากมีการออกพระราชกฤษฎียุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
โดยรัฐบาลจะต้องหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.
เพื่อกำหนดระยะเวลาและวันที่ในการจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดไว้
ส่วนในกรณีที่มีปัญหาถึงเรื่องความชอบธรรมในเรื่องของระยะเวลา ศาลรัฐธรรมนูญจึงจะมีอำนาจในการเข้าไปตรวจสอบความชัดเจนได้

วันนี้ (9 พ.ค. 2549) ศาลรัฐธรรมนูญจะจัดทำคำวินิจฉัยกลางของศาลฯ ให้แล้วเสร็จ เพื่อเผยแพร่ต่อประชาชน
โดยในคำวินิจฉัยกลางจะมีความชัดเจน มีข้อสรุปทั้งหมด
ซึ่งขอให้สื่อมวลชนติดตามคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญในวันพรุ่งนี้
ซึ่งคำวินิจฉัยกลางจะมีรายละเอียดและคำตอบของทุกประเด็นปัญหาอย่างชัดเจนครบถ้วน
สามารถแก้ไขปัญหา และหาทางออกของสถานการณ์ได้

อย่างไรก็ตามต่อข้อถามเรื่องของคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดปัจจุบัน
จะถูกเปลี่ยนแปลงในการจัดการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นั้น
เขากล่าวว่า เนื่องจากอำนาจของศาลเป็นเพียงคำวินิจฉัยต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ไม่สามารถให้คำตอบได้ โดยเพียงให้คำแนะนำแนวทางในการปฏิบัติเท่านั้น

อ่านกันเมื่อยเลยนะคะ.... .0008 .0008


มาเรื่องเศรษฐกิจกันบ้างดีกว่า... เนอะๆ .000A .000A

BBL ระบุผลตัดสินของศาล รธน.ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย

** นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL)
กล่าวถึงการตัดสินของศาลรัฐธรรรมนูญกล่าวกับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ว่า
ก็ได้ทำให้สถานการณ์ คลี่คลายมากขึ้นเพราะเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่จะทำให้การเลือกตั้งมีความสมบูรณ์แบบ
ซึ่งถ้าทุกอย่างคลี่คลายลงไปก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ ส่วนระยะเวลาที่ต้องเสียไปกับการเลือกตั้งใหม่ ถือว่าคุ้มกับการรอ

เขากล่าวต่อถึงเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังว่ามีความเสี่ยงมากขึ้นทั้งจากปัจจัยภายนอก
เช่นราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งจะทำให้เป็นปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
ดังนั้นนักธุรกิจก็ควรที่จะมีการปรับตัวให้รับกับสถานการณ์
เพราะปัจจุบันรัฐบาลที่บริหารประเทศยังเป็นรัฐบาลรักษาการซึ่งมีข้อจำกัดในการทำงาน

*** ในครึ่งปีหลังเป็นระยะของความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เห็นสอดคล้อง
ดังนั้นทุกคนก็ต้องปรับตัวรับกับความเสี่ยง ซึ่งการปรับตัวที่ผ่านมายังไม่เข้มข้นมากนักนายโฆสิต กล่าว[/color:20989ce43c">

TBANK ระบุคำตัดสินของศาล รธน.ให้เลือกตั้งใหม่จะส่งผลดีกับเศรษฐกิจ

** นายบัณฑิต ชีวะธนรักษ์ กรรมการ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)(TBANK) เปิดเผยว่า
จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมาเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ และให้เลือกตั้งใหม่
เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจและทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการลงทุนรวมทั้งทำให้ปัญหาการเมืองมีทางออกที่ดีขึ้น

ก็เคารพในคำตัดสินของศาล และเชื่อว่าจะทำให้ปัญหาต่างๆ คลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น
เศรษฐกิจก็น่าที่จะดีขึ้นซึ่งคงก็ส่งผลดีกับประชาชนอีกด้วย นายบัณฑิต กล่าว

*** อย่างไรก็ตามสำหรับปัญหาเรื่องราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง
อยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วยดูแลในส่วนนี้เพื่อแบ่งเบาภาระของประชาชน[/color:1cd78b85a7">

ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 มาฟังค่าย.. SYRUS กันบ้าง ...

SYRUS ประเมินส่งผลดีกับตลาดหุ้นไทยแน่ วันนี้ดัน SET INDEX บวกต่อ

นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ไซรัส จำกัด (มหาชน) (SYRUS)
เปิดเผยถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 198
กรณีการดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2549 จนถึงปัจจุบัน มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
โดยให้เพิกถอนการเลือกตั้ง และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่
ว่ากรณีดังกล่าวส่งผลดีต่อภาวะตลาดหุ้นเนื่องจากสถานการณ์การเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น

ส่วนดัชนีฯปีนี้ แหล่งข่าวรายเดิมคาดว่ามีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงระดับ 820 จุดได้
แต่การที่ดัชนีฯยังคงไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงระดับดังกล่าว เพราะยังคงมีปัจจัยลบต่างๆ เข้ามากระทบ
ทั้งในเรื่องของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงเป็นขาขึ้นรวมถึงความไม่แน่นอนด้านการเมือง
ราคาน้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งหากปัจจัยลบคลี่คลายลงก็เชื่อว่าดัชนีฯจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับดังกล่าวได้

ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย เปิดเผยว่า

หลังจากที่ประเด็นทางการเมืองมีความชัดเจนขึ้นรวมถึงค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงนั้นได้ส่งผลให้ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับปัจจัยทางการเมืองก็ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป
ว่าจะมีความคืบหน้าอย่างไรเช่นในเรื่องการการกำหนดวันเลือกตั้ง เป็นต้น
แต่ทั้งนี้มองว่าสถานการณ์น่าจะมีการคาดเดาได้ เพราะทุกอย่างถือว่าอยู่ในกติกา

ดัชนีหุ้นไทย เมื่อวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง จากการที่เม็ดเงินต่างชาติเข้ามา
รวมถึงการที่นักลงทุนคลายความกังวลจากประเด็นทางการเมืองที่มีความชัดเจนขึ้น
แต่ในวันนี้ ดัชนีฯคงปรับเพิ่มขึ้นไม่มากนัก มองว่าคงบวกและลบประมาณ 5 จุด นายสุกิจ กล่าว

สำหรับความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปิดตลาดที่ระดับ 782.91 จุด เพิ่มขึ้น 14.69 จุด
มีมูลค่าการซื้อขายรวม 20,549.00 ล้านบาท