วันนี้แม้แต่ เสริมสิน สมะลาภา ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แนเชอรัล พาร์ค (เอ็นพาร์ค) ที่มีต้นทุนการถือครองหุ้นต่ำเพียง 1 บาท ยังยอมรับว่า ผมเองก็ขาดทุนเหมือนกัน..ผมเองก็เดือดร้อนไม่น้อยกว่าทุกคน 440 ล้านหุ้นของผม แม้ต้นทุนจะต่ำกว่า (คนอื่น) แต่ด้วยจำนวนหุ้นที่มาก เงินที่หายไปนั้นก็ไม่ใช่น้อย

เสริมสินประกาศกลางที่ประชุมผู้ถือหุ้น ถึง ภารกิจอันดับแรก ของเขาในตอนนี้ก็คือ การมุ่งความสนใจไปที่ราคาหุ้นให้มากที่สุด ทว่าจุดขายครั้งนี้ไม่ใช่การดำเนินธุรกิจของบริษัทเองอย่างที่แล้วมา

แต่เป็นเรื่องของมูลค่าหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่ เอ็นพาร์ค ไปลงทุนทั้ง 5 บริษัท ซึ่ง เสริมสิน มองว่า ยังน่าจะมี อัพไซด์ ที่จะช่วยดันให้หุ้น N-PARK ตอบสนองได้

เสริมสินบอกว่า ขณะนี้ได้โฟกัสไปถึงปัญหาราคาหุ้นของบริษัททั้ง 5 แห่ง ได้แก่ หุ้นแสนสิริ (SIRI) จำนวน 362.72 ล้านหุ้น สัดส่วน 24.61% หุ้นแปซิฟิค แอสเซ็ทส์ (PA) จำนวน 211.74 ล้านหุ้น สัดส่วน 63.40% หุ้นฟินันซ่า (FNS) จำนวน 22.50 ล้านหุ้น สัดส่วน 18% และ หุ้นรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BMCL) จำนวน 1,066 ล้านหุ้น สัดส่วน 13.94% รวมไปถึง หุ้นซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) ที่แฝงอยู่ในนามของ ริชชี่ เวนเจอร์ส โฮลดิ้ง

หุ้นเหล่านี้เปรียบเสมือน ขาโต๊ะ ของเอ็นพาร์ค ที่เสริมสินเชื่อว่า หากราคาหุ้นเหล่านี้ปรับตัวขึ้น หุ้นเอ็นพาร์คก็จะปรับตัวขึ้นด้วย

ปัญหาขณะนี้มันอยู่ที่ว่า หุ้นของเราราคามันต่ำกว่าความเป็นจริงเมื่อเทียบกับราคาหุ้นของบริษัทอื่นในกลุ่มเดียวกัน

ในส่วนของหุ้น SIRI เอ็นพาร์คมีต้นทุนการถือครองเฉลี่ย 6.26 บาทต่อหุ้น ปัจจุบันซื้อขายที่ 3.98 บาท ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท 5.30 บาท ซึ่งหากนำไปเทียบกับคู่แข่งที่อยู่ในไลน์ธุรกิจเดียวกัน อย่าง LPN ซึ่งซื้อขายที่ 2 เท่าของมูลค่าทางบัญชี จะพบว่ามูลค่าที่เหมาะสมของแสนสิริ ก็ควรจะอยู่ที่ 11 บาท

หุ้น PA ก็เช่นเดียวกัน เอ็นพาร์ค มีต้นทุนประมาณ 8 บาท ราคาซื้อขายปัจจุบัน 3.80 บาท ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัทที่ 8.21 บาท ซึ่งมองว่าราคาเหมาะสมของ PA ควรซื้อขายที่ระดับ 1.5 เท่าของมูลค่าทางบัญชี หรือราคา 12 บาท

แปซิฟิค แอสเซ็ทส์ มีเงินสด 700 ล้านบาท เฉพาะเงินสดอย่างเดียวหุ้นละ 2 บาท แล้วนะครับ...ราคาวันนี้ถูกมาก ซื้อหุ้น PA วันนี้แค่โรงแรม เชดี เชียงใหม่ ก็คุ้มแล้ว ถ้าเทียบกับเซ็นทรัลที่ทำโรงแรมราคาเทรด 2 เท่าของ Book แต่เราขอแค่ 1.5 เท่า ราคาก็น่าจะไป 10 กว่าบาท

ในฝั่ง FNS บริษัทมีต้นทุนสูงถึง 40 บาทต่อหุ้น แต่ปัจจุบันซื้อขายที่ 15-16 บาท หรือเพียง 0.65 เท่าของมูลค่าทางบัญชีที่ 25 บาท หากเทียบกับผู้ร่วมธุรกิจอย่าง บล.กิมเอ็ง กับ บล.เอเชียพลัส ซื้อขายกันที่ 2.5-3 เท่าของ Book ราคาหุ้น FNS ก็ควรอยู่ที่ 50 บาท

เช่นเดียวกับ SYNTEC มีมูลค่าทางบัญชี 0.88 บาท หากคิดมาตรฐานเดียวกันกับหุ้นในหมวดเดียวกัน ราคาต้องประมาณ 2 บาท

หุ้นที่เราถือทั้งหมดยังมีโอกาส (ขึ้น) ทั้งสิ้น แต่ปัญหาที่ยังคิดไม่ตก ก็คือ จะทำอย่างไรหุ้นที่เอ็นพาร์คถืออยู่จึงสะท้อนมูลค่าแท้จริง...เฉพาะหุ้นที่เราลงทุนหากราคาขึ้นตามเป้า ผมเชื่อว่ามูลค่าสินทรัพย์ของบริษัทอาจจะถึง 8-9 พันล้านบาท

..และพอขาโต๊ะ (หุ้น) เหล่านี้มันยืดขึ้น หุ้น เอ็นพาร์ค ก็จะขึ้นโดยอัตโนมัติ หมายความว่า ถ้าไม่รวมโครงการที่บริษัทลงทุน ราคาหุ้นเอ็นพาร์คก็ต้องบาทกว่า เสริมสินวาดความหวังให้ผู้ถือหุ้นฟัง

อีกแนวทางหนึ่งที่ เสริมสิน กำลังดำเนินการเพื่อเพิ่มมูลค่าหุ้น ก็คือ เร่งหาพันธมิตรต่างชาติ โดยจะตั้งทีมผู้บริหารต่างชาติ เป็นตัวแทนเจรจาหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุน

ผมพยายามหาทางทำให้ เอ็นพาร์ค สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงได้มากที่สุด เราไม่พูดถึงหุ้นจะสูง 9-10 บาทอย่างเดิม..คงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเราแสดงความเข้าใจกับนักลงทุน และแสดงให้เห็นถึงมูลค่าที่แท้จริง ราคาหุ้นมันน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ

ขณะเดียวกันอีกขาหนึ่งของเอ็นพาร์ค จะเร่งกวาดบ้านให้สะอาด สะสางปัญหาหนี้สินของบริษัท โดยยืนยันจะขายหุ้นรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BMCL) ที่ถืออยู่ 1,066 ล้านหุ้นออกไป ให้กับประชาชนในราคาไอพีโอ ซึ่งเชื่อว่าจะได้ราคาสูงกว่าต้นทุนที่ 1.52 บาทพอสมควร

เงินที่ได้จากการขาย BMCL จะนำไปชำระหนี้กับธนาคารนครหลวงไทย และธนาคารกรุงไทยมูลค่า 3,000 ล้านบาท โดยหนี้กับธนาคารนครหลวงไทย 1,400 ล้านบาท จะชำระได้ทั้งจำนวน สำหรับหนี้ธนาคารกรุงไทย จะชำระบางส่วน เพื่อนำเงินอีกส่วนหนึ่งไปเสริมสภาพคล่องให้กับบริษัท

พร้อมกันนี้ บริษัทยังคงนโยบายขายสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ออกไป แต่ทั้งนี้หลักการขายสินทรัพย์จะต้องได้กำไรไม่ต่ำกว่า 20%

นโยบายการขายสินทรัพย์ของเอ็นพาร์ค ก็ยังดำเนินต่อไป แต่ก็ต้องอยู่ในจุดสมดุล ไม่ใช่ว่าจะเร่งขายเกินไปจะถูกกดราคาได้ เราจะขายหมดหากได้ราคาดี ยกเว้นโครงการร้อยชักสาม ยืนยันว่าจะไม่ขายแน่นอน เพราะโครงการนี้ถือเป็นหน้าตาของบริษัท

เสริมสินบอกว่า แผนการขายสินทรัพย์ นอกจากเหตุผลเพื่อชำระหนี้แล้ว ยังต้องการเตรียมเงินสดไว้รอเทคโอเวอร์สินทรัพย์ (อสังหาริมทรัพย์) ราคาถูกในปี 2550 ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นช่วงที่ธุรกิจต่างๆจะวิกฤติที่สุด

อีกด้านขณะที่ทางฝั่งของผู้ถือหุ้นเอ็นพาร์ค ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ

โดยพบว่า สว่าง มั่นคงเจริญ ได้ปรับลดพอร์ตการถือครองหุ้น N-PARK เหลือเพียง 420 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 5.21% จากเดิม 720 ล้านหุ้น 8.94% โดยมี Morgan Stanley เข้ามาถือหุ้น จำนวน 659.54 ล้านหุ้น หรือ 8.19% เป็นอันดับ 2 แทน

ขณะที่ เสริมสิน กล่าวถึงกรณีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นของสว่าง ว่า เป็นเพียงการโอนหุ้นออกไปเพื่อให้สามารถ กู้เงิน ได้เท่านั้น

ส่วนที่ สว่าง รอดพ้นข้อกล่าวโทษของก.ล.ต.นั้น เสริมสินเชื่อว่าอาจส่งผล(ดี)ทางอ้อมให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจ เอ็นพาร์ค มากขึ้น แต่หุ้นที่จะได้รับอานิสงส์มากกว่าก็คือ บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น

.0008 .0008 ตกใจหมด นึกว่าท่านอาฟงขาดทุน

ขาดทุนกำไรมังคะ...??? ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3