????
สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238 |  วันที่: 17/03/2006 @ 09:00:13 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต ขาใหญ่ขาดทุนไล่หุ้นฉาว หลังตลาดสกัดดาวรุ่งคุมเข้มห้ามเน็ท-มาร์จิ้น เปลี่ยนใจหันเก็บวอร์แรนต์ทำราคา-วอลุ่มพุ่งกระฉูด หวังทำกำไรชดเชยผลขาดทุน เหตุเป็นหุ้นราคาต่ำดันง่าย ใช้เงินน้อย โบรกเตือนแมงเม่าอย่าแห่ตาม เสี่ยงติดยอดดอย[/color:c1ec94cb76">
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้นักลงทุนรายใหญ่ที่ชอบเก็งกำไรในหุ้นฉาว ต่างขาดทุนและติดยอดดอยจากการเก็งกำไรดังกล่าวจำนวนมาก เนื่องจากราคาหุ้นที่เข้าไปเก็งกำไรปรับตัวลดลงต่อเนื่องหลังจาก ที่ตลาดหลักทรัพย์ออกมาตรการห้ามซื้อขายในลักษณะหักกลบลบหนี้ในวันเดียวกัน(เน็ทเซ้ทเทิลเมนต์) และห้ามซื้อขายในบัญชีสินเชื่อ(มาร์จิ้น) ส่งผลให้ปัจจุบันนักลงทุนรายใหญ่เหล่านี้ ได้หันมาเก็งกำไรในหุ้นใบสำคัญแสดงสิทธิ เพื่อซื้อหุ้นสามัญ(วอร์แรนต์)แทนเพื่อหากำไรชดเชยผลขาดทุน
โดยสาเหตุที่เลือกเก็งกำไรในวอร์แรนต์ เนื่องจากเป็นหุ้นขนาดเล็กที่สามารถไล่ราคาได้ง่ายและได้กำไรเร็ว ทั้งนี้ หุ้นฉาวที่นักลงทุนรายใหญ่ชอบเข้าไปเก็งกำไรก่อนหน้านี้ประกอบด้วย ASL, IEC, EWC, EWC-W1,BNT, APURE-W1,APURE และ MME ซึ่งปัจจุบันหุ้นเหล่านี้ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง อาทิเช่นโดยปัจจุบัน ASL อยู่ที่ระดับ 10 บาท ขณะที่ก่อนหน้านี้เคยปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 15 บาท ส่วน IEC อยู่ที่ระดับ 3.33 บาท ขณะที่ก่อนหน้านี้เคยขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 7.65 บาท ด้าน EWC ปัจจุบันอยู่ที่ 13.8 บาท จากก่อนหน้านี้เคยขึ้นไปที่ 30 บาท และ BNT ปัจจุบันอยู่ที่ 0.63 บาท ขณะที่ก่อนหน้านี้เคยอยู่ที่ 1.40 บาท เป็นต้น
สำหรับหุ้นวอร์แรนต์ที่นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาเก็งกำไรในช่วงนี้จนทำให้มีวอลุ่มจำนวนมาก ประกอบด้วย MIDA-W1 โดยเฉพาะวานนี้(16 มี.ค.)มีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 125.63 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าซื้อขาย 99 ล้านบาท โดยราคาปิดที่ 0.81 บาท เพิ่มขึ้น 0.07 บาทคิดเป็น 9.46% ขณะที่ FNS-W1 มีปริมาณการซื้อขาย 93.49 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 191ล้านบาท โดยราคาปิดที่ 1.91 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือเพิ่มขึ้น 1.03%
นอกจากนี้ยังมี NSM-W1 มีปริมาณการซื้อขาย 71.5 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าการซื้อขาย15 ล้านบาท โดยราคาปิดที่ 0.21 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วน SGF-W2 มีปริมาณการซื้อขาย 71 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าการซื้อขาย 22 ล้านบาท โดยราคาปิดที่ 0.33 บาทเพิ่มขึ้น 0.06 บาท หรือเพิ่มขึ้น 22.22% ด้าน TT&T-W1 มีปริมาณการซื้อขาย 37.96ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 40.84
ล้านบาท โดยราคาปิดที่ 1.03 บาท ลดลง 0.04 บาท หรือลดลง 3.74%
ขณะที่ SPALI-W3 มีปริมาณการซื้อขาย 30.7 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 52 ล้านบาทโดยราคาปิดที่ 1.67 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วน BAY-W1 มีปริมาณการซื้อขาย 21.6ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าการซื้อขาย 119 ล้านบาท โยราคาปิดที่ 5.35 บาท ลดลง 0.20บาท หรือลดลง 3.60% ขณะที่ SPORT-W2 มีการซื้อขายกันทั้งสิ้น 21.065 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 15.45 ล้านบาท ขณะที่ราคาปิดที่ 0.73 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.15 บาท หรือคิดเป็น 25.86%
อย่างไรก็ตาม นอกจากนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้ามาเก็งกำไรแล้ว ยังมีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาผสมโรงด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากในช่วงนี้สถานการณ์ทางการเมืองกำลังตึงเครียด จนส่งผลให้ตลาดหุ้นซบเซาเนื่องจากนักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนทางการเมืองทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยทรงตัวไม่เคลื่อนไหวมากนัก ขณะที่มูลค่าการซื้อขายต่อวันก็เบาบางลงมาก ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้นักลงทุนรายย่อยเหล่านี้หันมาเล่นเก็งกำไรในหุ้นวอร์แรนต์แทน ยิ่งทำให้หุ้นเหล่านี้มีวอลุ่มคึกคัก จนบางตัวขึ้นไปติดกระดานหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดของวัน(โมสต์ แอ็กทีฟ) ขณะที่ราคาก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นและลดลงในลักษณะผันผวนตลอดทั้งวัน
ด้านแหล่งข่าวนักวิเคราะห์ กล่าวว่า การที่ช่วงนี้ราคาและวอลุ่มซื้อขายของหุ้นขนาดเล็ก โดยเฉพาะวอร์แรนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากหุ้นเหล่านี้ไล่ราคาได้ง่าย ใช้เงินน้อย และเมื่อราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นยิ่งทำให้มีนักลงทุนเข้ามาไล่ราคาตามขึ้นไปอีก โดยการไล่หุ้นประเภทนี้สามารถทำกำไรได้ง่ายกว่าหุ้นขนาดใหญ่
สำหรับสาเหตุที่นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กในช่วงนี้เป็นเพราะภาวะตลาดค่อนข้างซบเซา และมีความผันผวนสูง ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ต้องการลงทุนในหุ้นพื้นฐานเนื่องจากต้องใช้เงินทุนสูง ซึ่งหากขาดทุนก็จะขาดทุนสูงเช่นกัน อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ไม่แนะนำให้เข้าซื้อในหุ้นที่มีการเก็งกำไรสูงๆ เพราะมีความเสี่ยงมาก หากนักลงทุนรายใหญ่เลิกเล่นจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรง รวมทั้งหุ้นบางตัวมีสภาพคล่องในการซื้อขายต่ำเมื่อเข้าไปซื้อแล้วอาจขายออกไม่ทัน ซึ่งจะทำให้ติดยอดดอยได้
ที่มา ข่าวหุ้น[/color:c1ec94cb76">
|
