May 4, 2024   1:34:29 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นไทยยังไม่ดับวูบ ได้ข่าวดี "บีโอเจ"
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 09/03/2006 @ 19:15:31
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ตลาดหุ้นไทยยังไม่สิ้นหวัง
หลังBOJ เล็งขึ้นดบ.เร็วๆนี้
หนุนเม็ดเงินไหลเข้าเอเซีย[/color:6f0bad6b5e">





อนาคตหุ้นไทยยังไม่ดับวูบ ได้ข่าวดี บีโอเจยกเลิกผ่อนปรนนโย
บายการเงินที่ใช้มาถึง 5 ปี เล็งอาจปรับอัตราดอกเบี้ยเร็วๆนี้ หลังเศรษฐกิจ
ญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่องหลังจีดีพีปี48 โต 2.8% เงินเฟ้อเดือนม.ค.เพิ่มถึง
0.5% จากก่อนหน้าที่ประสบภาวะเงินฝืดมานาน ดัชนีนิกเกอิขานรับทันที
พุ่งกว่า 400 จุด ขณะที่หุ้นไทยกระเตื้องหลังจากลดลงเกือบ 30 จุดใน 2
วัน แม้มีข่าวบึ้มหน้าบ้านป๋าเปรมก็ยังยืนแดนบวกได้ วงการเชื่อข่าวดัง
กล่าวเป็นยาชูกำลังให้ปัจจัยการเมืองบรรเทาลง เหตุเม็ดเงินจะไหลเข้าเอ
เซียแน่หากขึ้นดอกเบี้ย ด้านหุ้นแบงก์ วิ่งหน้าตั้งขึ้นยกแผงเช่นกัน BBL-
KBANK นำทีมได้แรงหนุนดีทั้งดอกเบี้ยขาขึ้น และแจกปันผล โบรกไทย-
เทศ เชียร์สุดฤทธิ์ โดยเฉพาะ KBANK-SCIB-BAY

เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีทีเดียวสำหรับธนาคารกลางของประเทศญี่
ปุ่นหรือ บีโอเจ (BOJ)ในการประกาศยกเลิกนโยบายทางการเงินแบบผ่อน
ปรนพิเศษ เมื่อวานนี้ (9 มี.ค.) ซึ่งการประกาศดังกล่าวทำให้จากนี้ไปบีโอเจอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้รัฐ
บาลดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยใกล้เคียง 0% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศในหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืด
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือบีโอเจประกาศยก
เลิกนโยบายทางการเงินแบบผ่อนปรนพิเศษที่ดำเนินมากว่า 5 ปี พร้อมระบุ
ว่า จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปรวมถึงจะทยอยลดระดับ
สภาพคล่องส่วนเกินในระบบธนาคาร หลังเศรษฐกิจญี่ปุ่นส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจนแล้ว อย่างไรก็ตามบีโอเจยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระ
ดับใกล้เคียงระดับ 0% ต่อไประยะหนึ่ง พร้อมกับจะทยอยลดสภาพคล่องที่
เสริมเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของบีโอเจในวันนี้
มีมติ 7 ต่อ 1เสียงเห็นชอบให้ยุตินโยบายทางการเงินแบบผ่อนปรนพิเศษ
โดยกำหนดว่าจะยังคงติดตามภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ในระหว่างที่จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ บีโอเจได้คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นมีแนวโน้ม
เพิ่มขึ้นหรือทรงตัวโดยบีโอเจจะไม่เร่งปรับอัตราดอกเบี้ยจนกว่าอัตราเงิน
เฟ้อจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่เคยติดลบมานานกว่า 7
ปี



* วงการเงินเชื่อ BOJ เลิกผ่อนปรนนโยบายการเงินหนุนหุ้นไทยไม่ร่วงมาก
แหล่งข่าวจากวงการการเงิน รายหนึ่ง กล่าวกับ efinancethai.com
ถึงการประกาศยกเลิกนโยบายดังกล่าวของบีโอเจ ว่าข่าวดังกล่าวน่าจะเป็น
ข่าวดีทั้งต่อตลาดการเงิน และตลาดทุนของไทยพอสมควร เพราะหากบีโอเจปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อไหร่ก็จะส่งผลดีต่อเม็ดเงินที่จะไหลเข้ามายังภูมิภาคเอ
เซียซึ่งไทยก็จะได้รับอานิสงส์ดังกล่าวด้วย และก็ถือว่าหากบีโอเจปรับขึ้น
ดอกเบี้ยก็จะทำให้เป็นไปตามทิศทางดอกเบี้ยของโลก หลังจากทั้งธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา(เฟด) ธนาคารกลางยุโรป ซึ่งถือเป็นธนาคารกลางของ
12 ในกลุ่มอียูที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลัก ต่างก็ปรับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานขึ้นกันไปแล้วก่อนหน้า
นอกจากนี้ยังมองว่าการประกาศยกเลิกการผ่อนปรนนโยบายการเงิน
ยังแสดงให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวของญี่ปุ่นอีกด้วย โดยล่าสุดตัวเลขจีดีพีของปุ่นในไตรมาสที่4 ปี 2548 ขยายตัวถึง 5.5% ขณะที่ทั้งปี
ขยายตัว 2.8% สูงสุดในรอบ 5 ปี 5.5% ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคหรือ
เงินเฟ้อในเดือนมกราคมปีนี้เพิ่มขึ้น 0.5% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2541 และเป็น
การเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันอีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงทำให้บีโอ
เจ ไม่มีความจำเป็นต้องผ่อนปรนหรือรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับ0% อีกต่อ
ไป
เขากล่าวว่า ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีนิกเกอิเมื่อวานนี้ปิดเพิ่มขึ้น
กว่า 400 จุด เนื่องจากนักลงทุนตอบรับข่าวดังกล่าวเพราะมองว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังฟื้นตัวอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังส่งผลดีมาถึงตลาดหลักทรัพย์ใน
ภูมิภาคเอเซียรวมไปถึงตลาดหลักทรัพย์ไทยด้วยเช่นกัน หลังจาก 2 วันที่
ผ่านปรับลดลงไปเกือบ 30 จุด ซึ่งมองว่าข่าวนี้น่าจะมีส่วนช่วยบรรเทาข่าวความร้อนแรงของสถานการณ์การเมืองในประเทศขณะนี้ไปได้บ้าง หลังจาก
มีแนวโน้มดีว่าเม็ดเงินอาจจะไหลเข้ามายังตลาดเอเซียหลังจากนี้
ข่าวนี้แม้จะไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีทีเดียวที่ช่วยให้บรรยา
กาศในตลาดหุ้นบ้านเราสดใสขึ้นมาบ้างหลังจากปรับตัวลดลงค่อนข้างหนัก
ใน 2 วันที่ผ่านมา โดยจะเห็นได้ว่าวานนี้ขนาดมีข่าวร้ายอย่างการวางระเบิดหน้าบ้านองคมนตรี เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งน่าจะทำให้ตลาดฯควรจะปรับตัว
ลดลงจากผลกระทบทางจิตวิทยาค่อนข้างมาก กลับกลายเป็นไม่มีผลกระ
ทบอะไรมากนักเพียงแต่ทำให้ดัชนีปรับลดลงเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถยืนในแดนบวกได้ยู่ ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นข่าวเรื่องแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของบีโอ
เจ ดังนั้นเรื่องนี้จึงมีผลให้ปัจจัยการเมืองบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง แหล่งข่าว
กล่าว



* หุ้นปิดบวก 5.13 จุดจากที่รูดเหลือบวกแค่ 2 จุด ตื่นข่าวบึ้มบ้านป๋าเปรม
สำหรับภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวานนี้ ดัชนีตลาด
หลักทรัพย์ เปิดที่ระดับ 723.93 จุด โดยระหว่างวันปรับขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 732.60 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 7 จุด และลดลงต่ำสุดที่ระดับ 721.12 จุด ลดลงเหลือบวกกว่า 2 จุด เนื่องจากข่าวเหตุการณ์ระเบิดหน้าบ้านสี่เสาเทเวศน์
ก่อนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ระดับ 728.99 เพิ่มขึ้น 5.13 จุด มีมูลค่าการซื้อ
ขาย 13,043.19 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามปัจจัยการเมืองยังคงมีผลกระทบต่อภาวะการลงทุนในตลาดเช่นเดิมโดยทั้งฝ่ายค้าน และรัฐบาลยังคงเดินหน้าตามกติกาของพรรค
ตนเองต่อไป ส่วนความเคลื่อนไหวของม็อบพันธมิตรนั้นได้เคลื่อนไหวชุมนุม
ที่สถานฑูตสิงคโปร์และตลาดหลักทรัพย์ในช่วงบ่ายของเมื่อวานนี้ พร้อมเรียกร้องให้มีการบอยคอตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชินคอร์ปและประเทศสิงคโปร์ ในขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงลงพื้นที่ตามจังหวัดต่างๆ เพื่อพบปะ
กับประชาชน และยืนยันว่าจะไม่ถอดใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมเตรียม
ตั้งครม.ชุดใหม่ทุกเมื่อ
ส่วนเหตุการณ์ระเบิดวานนี้นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น.โดยได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บริเวณป้อมยามด้านหน้าบ้าน
พักสี่เสาเทเวศน์ ถนนศรีอยุธยา ท้องที่ สน.ดุสิต ซึ่งเป็นบ้านพักของ พล.อ.เปรม ติลลาสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยเบื้องต้นแรงระ
เบิดทำให้กระจกด้านข้างป้อมยามแตกละเอียด และทำให้รถยนต์ที่จอดอยู่ริมถนนถูกแรงระเบิดได้รับความเสียหายด้วย มีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นชาวต่างชาติ
2 ราย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีตลาดฯในช่วงบ่ายปรับลดลงจาก
ปิดบวก 7 จุด ลดลงเหลือเพียงแค่ 2 จุดเท่านั้นก่อนจะค่อยๆปรับตัวขึ้น


*นายกฯ สั่งล่าตัวผู้ก่อเหตุ ระบุสร้างสถานการณ์
ด้าน พ..ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะรัฐบาลรักษาการกล่าวถึงเหตุระเบิดดังกล่าวว่าในขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่แต่เจ้าหน้าที่จะ
ต้องดูแลอย่างเต็มที่ โดยคาดว่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวาย ทั้งนี้จะต้องติดตามหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้
ต้องไม่ปล่อยให้อันธพาลครองแต่ยอมรับว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่บ้าน
เมืองเหนื่อยล้ามาก แต่จะต้องดำเนินอย่างเต็มที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวกับผู้
สื่อข่าว
พลเอกธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลา
โหม กล่าวว่าได้รับรายงานเบื้องต้นจากเจ้าหน้าที่ว่าเหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว
เป็นฝีมือคนร้ายที่นำระเบิดแสวงเครื่อง ที่มีดินระเบิดแรงดันต่ำเป็นส่วนประ
กอบและนำมาวางไว้ในที่เกิดเหตุ
ได้สั่งการให้ทุกฝ่ายดูแลอย่างเต็มที่ โดยฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็สงสัยว่าคนร้ายมีจุดประสงค์อะไร เพราะเชื่อว่าการวางระเบิดครั้งนี้ไม่ได้ต้องการทำร้าย
ใครแต่เพียงต้องการเป็นข่าว ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างสอบสวนพนักงานทำความสะอาดที่อยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุในช่วงเวลาดังกล่าว
รมว.กลาโหม กล่าวว่า พลเอกเปรม ซึ่งอยู่ภายในบ้านพักในขณะเกิด
เหตุระเบิดนั้นไม่ได้รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือกังวลใด ๆ เพียงแต่สงสัยว่าทำไมจึงเกิดเหตุที่บริเวณนี้



* โกลเบล็ก มองศก.เอเซียยังได้ประโยชน์จากการไหลเข้าของเงินทุน
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลัก
ทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยในคอลัมน์ eFin
Columnists ว่า เศรษฐกิจเอเซียโดยเฉพาะในภาคการเงิน-ตลาดหุ้นได้ประโยชน์จากการไหลเข้าของเงินทุนโลกตั้งแต่เริ่มศักราชใหม่ 2549 ที
เดียวตลาดหุ้นเอเซียทำจุดสูงสุดใหม่กันแห่งละหลายครั้ง ทั้งนี้ก็มาจากปัจ
จัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเอเซียทั้งทวีปที่มีอัตราการขยายตัวสูงกว่าสห
รัฐและเขตเศรษฐกิจยุโรปเป็นอย่างมากอย่างน้อยในระยะ 5 ปีข้างหน้า
แต่ก่อนหน้านั้นเงินทุนโลกไม่เข้าเอเซียอย่างชัดเจนเพราะ Federal Reserve ของสหรัฐปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2544 ถึง
13 ครั้ง ในขณะที่ธนาคารกลางชาติอื่น ๆ อย่างของยุโรป ECBยังไม่เคยขึ้นดอกเบี้ยอ้างอิงเลยจนสัปดาห์ที่แล้วที่ปรับดอกเบี้ยขึ้นเป็นครั้งแรก+0.25%
มาที่ 2.5% ไม่ต้องพูดถึงธนาคารกลางญี่ปุ่น BOJ ซึ่งยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยเลย
มา 10 ปีแล้ว
ตอนปลายปี 2548 ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐหลายตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจชะ
ลอลงไปจากความเสียหายของพายุเฮอริเคน Katrina และการขาดดุลอย่างมหาศาลของสหรัฐอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการคาดคะเนกันใหญ่ว่า
Fed ใกล้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้วในตอนนั้น บรรดาผู้จัดการกองทุนทั้ง
หลายของโลกจึงแห่กันนำเงินมาลงทุนในเอเซีย ลดการลงทุนในสินทรัพย์
สกุลเงินดอลลาร์
อย่างไรก็ตามในสัปดาห์นี้ Fed กลับมามีมุมมองอีกว่าเศรษฐกิจสหรัฐ
กำลังจะขยายตัวด้วยอัตราเร่งจากตัวเลขการว่าจ้างงานและค่าจ้างแรงงาน
รายชั่วโมงที่สูงขึ้น จนทำให้คราวนี้กลับมาพูดกันอีกแล้วว่า Fed จะขึ้นดอก
เบี้ยอีกอย่างน้อย 3 ครั้ง ก็เลยทำให้เงินตราสกุลหลักไม่ว่าจะเป็นเยน และยู
โรกลับมาอ่อนค่าลงอีกครั้ง และดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 117.8 เยน จาก 115 กว่าๆ เมื่อสัก 1 เดือนก่อนหน้า และ 1.1954 ดอลลาร์ต่อยูโรจาก1.2100 ดอลลาร์เมื่อ 1 เดือนก่อน



* ชี้ หาก BOJ ขึ้นดบ.ส่งผลดีเม็ดเงินเข้าเอเซียระยะกลาง-ยาว
ดังนั้นมุมมองตลาดหุ้นเอเซียรวมทั้งบ้านเราน่าจะชะลอลงไปในระยะ
สั้นและกลาง อย่างไรก็ตามในระยะยาวเราก็ยังเชื่อมั่นว่าทิศทางการเคลื่อน
ย้ายเงินทุนโลกก็จะยังมุ่งเข้าสู่เอเซียในระยะกลาง-ยาวอยู่ดี เพราะปัจจัยเศรษฐกิจที่กล่าวในตอนต้น ยิ่งถ้าเมื่อใด BOJ ขึ้นดอกเบี้ยและ/หรือ ทางการ
จีนยอมให้ค่าเงินหยวนปรับตัวเคลื่อนไหวในกรอบที่กว้างขึ้น เมื่อนั้นดอลลาร์ต้องอ่อนค่าเพราะปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐ และธนาคารกลางอื่น ๆ ยังจะต้องนดอกเบี้ยกันอีกหลายครั้งแต่ Fed หากจะขึ้นไปเกินกว่า 5% (ปัจจุบันอยู่ที่4.5%) น่าจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงมากเกินไปด้วย
ซ้ำ นับว่าคุณปู่ Greenspan พ้นทุกข์ไปแล้ว Ben Bernanke มีงานรออยู่ข้างหน้าที่แทบไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นอะไร

*ศก.ไทยแข็งแกร่งแต่คนขาดความเชื่อมั่นจากปัญหาการเมืองและน้ำมันแพง
นายวรุตม์ กล่าวว่า ปี 2548 เศรษฐกิจไทยเผชิญกับปัญหามากมาย
แม้กระนั้นหากดูจากตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจทั้งปีที่ +4.5%
ที่สภาพัฒน์ฯ ประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ก็ยังนับว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งทีเดียวปัญหาหนัก ๆ ในปี ที่แล้วผ่อนคลายไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการขาดดุลการค้า ?บัญชีเดินสะพัดที่สูงมาก ๆในต้นปี พอมาถึงครึ่งปีหลังและเริ่มต้น
ปี 49ก็ลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าจะเรียกว่าเป็นปกติกล่าวคือเดือนม.ค. 49ไทยขาดดุลการค้า 388 ล้านดอลลาร์ เทียบกับการขาดดุลสูงถึง 1.46 พันล้านดอลลาร์ เมื่อ ม.ค. 48 ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเป็นบวก 504 ล้านดอลลาร์ ด้วยซ้ำ จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการ เหตุหลักมาจากการลด
ลงของการนำเข้าน้ำมันและสินค้าประเภททุนที่ถือว่าเป็นการกักตุนเมื่อปีที่
แล้วแต่ปีนี้เข้าใจว่าปริมาณสินค่าคงคลังมีมากพอแล้ว ดังนั้นดุลยภาพภาย
นอกประเทศถือว่ากลับมาแข็งแกร่งสำรองเงินตราต่างประเทศพุ่งขึ้นมาอยู่ที่
ล่าสุด 5.32 หมื่นล้านดอลลาร์



*การบริโภคภายในประเทศไม่น่ามีปัญหา
หากดูจากยอดค้าปลีกปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและจักรยานยนต์
ตลอดจนสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าที่มีแนวโน้มชะลอลงแต่ก็ยังขยายตัว
อย่างยอดค้าปลีกเดือน ธ.ค.48 อันเป็นตัวเลขล่าสุดขยายตัวเพียง 0.1%
จากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าลดลงจาก 5.9% ในเดือน ส.ค. 4.9% เดือน ก.ย.0.1% เดือน ต.ค. และ 0.8% เดือน พ.ย. สาเหตุมาจากราคาน้ำ
มันปลีกที่สูงขึ้นกว่า 23% ในปี 48 ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานมาแย่งความสามารถในการบริโภคไปบางส่วน
อย่างไรก็ตามเรามีความเห็นว่าความมั่งคั่ง (wealth) ของคนไทยดี
ขึ้นกว่าช่วงเศรษฐกิจวิกฤติมากดูจากภาษีเงินได้ส่วนบุคคลของประชาชนที่
เก็บได้เพิ่มขึ้นทุกปี ปริมาณการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยต่อวันที่สูงขึ้น และอัตราผล
ตอบแทนจากเงินปันผลของบจ.ที่อยู่ในระดับสูง แต่ที่สำคัญน่าจะอยู่ที่ฐานะ
ทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบหลายปี เงินฝากธนาคารเดือนม.ค. 49 มาอยู่ที่ 6.185 ล้านล้านบาท ปัญหาไปอยู่ที่ความไม่
เชื่อมั่นต่ออนาคตของธุรกิจจากความวิตกเรื่องการเมืองและน้ำมันแพงมาก
กว่า ในแง่เสถียรภาพของระดับราคาสินค้า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือน
ม.ค. สูงขึ้น5.9% จากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนเร่งขึ้นจาก 5.8% เมื่อ
เดือน ธ.ค. 48 การคาดคะเนทิศทางขึ้นกับราคาน้ำมันเป็นหลัก เพราะเท่าที่พิจารณาจากดัชนีราคาพื้นฐานจะปรับสูงขึ้นในลักษณะคงที่ 2.3-2.6% ต่อเดือน

*การลงทุนภาคเอกชน-รัฐชะลอแน่จากปัญหาทางการเมืองไม่ยุติ
อันที่จริงเศรษฐกิจไทยดำเนินมาถึงจุดที่ต้องการการลงทุนรอบใหม่
เพราะอัตราการใช้กำลังการผลิตล่าสุดมาอยู่ที่ 73-74% แล้วซึ่งหมายถึงมีหลายอุตสาหกรรมใช้กำลังการผลิตมากกว่า 90 % อย่างไรก็ตามปัญหาทางการเมืองทำให้ธุรกิจเอกชนไม่มั่นใจที่จะลงทุนต่อบริษัทจดทะเบียนเลือกที่
จะจ่ายปันผลในระดับสูงแทนที่จะนำเงินกลับไปลงทุน ส่วนเรื่อง mega-projects นั้นก็ได้มีการชะลอตัวไปโดยปริยาย
โดยสรุปปี 2549 เป็นปีที่เศรษฐกิจไทยพร้อมมากที่สุดในหลายปีที่
จะขยายตัวเดินหน้าไปแต่มาติดขัดตรงมีปัญหาทางการเมืองทำให้ทุกฝ่าย
หยุดรอดูว่าจะไปจบลงเมื่อใด อย่างไรก็ตามเรายังเชื่อมั่นว่าคงจะอีกไม่นาน
เรื่องน่าจะจบเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะขยายตัวราว 5% แต่ถ้าหากความขัดแย้งทางการเมืองยืดเยื้อไปยิ่งนานเท่าใดผลกระทบต่อเศรษฐกิจก็จะมีมากขึ้น
นายวรุตม์ กล่าว



* หุ้นแบงก์ขึ้นยกแผงรับอานิสงส์ พ่วงนลท.แห่เก็งกำไรข่าวปันผล
แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์รายหนึ่ง ให้ความเห็นเสริมว่า ข่าวดังกล่าว
ส่งผลต่อราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์วานนี้พอสมควร นอกเหนือการเข้า
มาเก็งกำไรเรื่องเงินปันผลของกลุ่มธนาคาร เพราะเชื่อว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นส่งผลดีต่อธนาคารพาณิชย์โดยตรงอยู่แล้วจากก่อนหน้าที่ธนาคารหลาย
แห่งเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น ตามการปรับขึ้นของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพราะฉะนั้นหากบีโอเจ และรวมถึงเฟดที่จะมีการประชุมในวันที่
28 มีนาคมนี้ประกาศขึ้น ดอกเบี้ยก็จะยิ่งส่งผลดีต่อธนาคารพาณิชย์มากขึ้น
วานนี้ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.7608% โดย
ดัชนีกลุ่มปิดที่ระดับ 277.40 จุด เพิ่มขึ้น 4.80 จุด โดยหุ้นตัวหลักอาทิเช่น
BBL ปิดที่ระดับ 111 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท มีมูลค่าการซื้อขาย 530.47 ล้านบาท หุ้น KBANK ปิดที่ 65.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท มีมูลค่าการซื้อขาย 578.44 ล้านบาท หุ้น SCB ปิดที่ 62 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มีมูลค่าการ
ซื้อขาย 892.88 ล้านบาท หุ้น TMB ปิดที่ 4.62 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท มีมูลค่าการซื้อขาย 124.16 ล้านบาท และหุ้น KTB ปิดที่ 11.90 บาท เพิ่ม
ขึ้น 0.40 บาท มีมูลค่าการซื้อขาย 422.68 ล้านบาท



* UBS ชอบกลุ่มแบงก์ แนะซื้อ KBANK- SCIB
บทวิเคราะห์การลงทุนกลุ่มธนาคารไทยโดย ยูบีเอส ซีเคียวริตี้
หรือ UBS เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2549 ระบุว่า ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคล่าสุด
สนับสนุนการคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะถึงจุดสูงสุดที่ระดับ 4.75%
ในเดือนเมษายนนี้ โดยการขยายตัวของความต้องการภายในประเทศชะลอ
ลงจาก 6.6% ในQ43/48 มาอยู่ที่ 5.4% ใน Q4/48 ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริ
โภคลดลงจาก 5.9% ในเดือนมกราคม 2549 มาอยู่ที่ 5.6% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2549
ขณะเดียวกัน UBS คาดว่า การขยายตัวของสินเชื่อในปีนี้ยังอยู่ใน
เกณฑ์ดีต่อเนื่องจากปีที่ผ่านแม้จีดีพีจะขยายตัวเพียง4.3% แต่สินเชื่อสุทธิขยายตัวถึง 8.3% YoY ส่วนปีนี้คาดว่า ความต้องการภายในประเทศจะ
ขยายตัวในอัตรา 11.8% ในปี 2549 ซึ่งจะคาดว่าจะทำให้อัตราการขยาย
ตัวของสินเชื่ออยู่ที่ระดับ8.2%
นอกจากนี้ UBS ยังประเมินด้วยว่าอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเป็นผลดีต่อกลุ่มะนาคารของไทยโดยทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่ม
ขึ้นขณะเดียวกันหากมีการหยุดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อไร จะยิ่งเป็นการกระ
ตุ้นให้ความต้องการสินเชื่อขยายตัวได้อีก
ส่วนหุ้นในกลุ่มธนาคารของไทยที่ UBS เลือกแนะนำคือ KBANK
และ SCIB เนื่องจากราคายังต่ำกว่ามูลค่าเหมาะมากหุ้นตัวอื่นในกลุ่มเดียว
กันโดย KBANK มีราคาเป้าหมายอยู่ที่ 82 บาท พีอี 11.3 เท่า ขณะที่ราคา
เป้าหมายของ SCIB ที่อยู่ที่ 30 บาท พีอี 9.7 เท่า



* CLSA แนะซื้อ SCIB-BAY ราคาเป้าหมาย 32 บาท
ด้านเครดิต ลียองเนส์ (CLSA) ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 6 มีนา
คม 2549 ระบุว่า SCIB จะได้รับได้รับประโยชน์จากการไถ่ถอน AMC notes
ซึ่งให้อัตราดอกเบี้ยเพียง 2.5% (ซึ่งคิดเป็น 15% ของสินทรัพย์ที่ผลตอบ
แทนเป็นอัตราดอกเบี้ยของ SCIB) ในเดือนมิถุนายนปีนี้ ซึ่งจะทำให้ SCIB
มีความสามารถในการทำกำไรมากขึ้น จากการนำไปปล่อยสินเชื่อซึ่งให้อัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 6.75% ทำให้ประเมินได้ว่า SCIB จะมีกำไรก่อนภาษีเพิ่มอีก
2 พันล้านบาท
ขณะเดียวกัน CLSA คาดว่า การเติบโตของสินเชื่อของ SCIB จะฟื้น
ตัวอีกครั้งในปีนี้ หลังจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ไม่สด
ใสเท่าที่ควร โดยการปล่อยสินเชื่อเติบโตชะลอลงจากอัตรา 19% ในปี2547 มาอยู่ที่ 7%ในเดือนมกราคมปี 2549
อย่างไร CLSA คาดว่า การชะลอตัวของตลาดสินเชื่อผ่านจุดต่ำสุด
มาแล้วตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่วนในปีกลับมาขยายตัวได้ดีอีกครั้ง
และแนะนำซื้อ BAY โดยให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 22 บาท (จากเดิม
16 บาท) หลังประเมินกำไรปี 49 โต 25 % สะท้อนความสามารถในการทำ
กำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และการลดลงของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
โดย CLSA ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุนต่อ BAY จากระดับต่ำกว่าตลาด เป็น ซื้อเนื่องจากประเมินว่าความสามารถในการทำกำไรในธุรกิจหลัก
เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์เริ่มฟื้นตัวและจากการขยายเข้าสู่ธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่ม
ขึ้น 0.32 จุด มาอยู่ที่ 2.92% ส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 29%
หรือ คิดเป็น0.68% ของสินทรัพย์
ขณะเดียวกันตัวเลขเอ็นพีแอลของ BAY ได้ลดลงมาอย่างต่อเนื่องจาก
ปี 2002 ซึ่งอยู่ที่ 22% จนเหลือ14% ในขณะนี้
นอกจากนี้ BAY ยังเป็นธนาคารที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการ
ขายสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้โดยคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 44 พันล้านบาท
สูงกว่ามูลค่าเฉลี่ยของ 3 ธนาคารขนาดใหญ่ซึ่งสามารถขายออกไปได้เพียง
32 พันล้านบาท




*ฟาร์อีสท์ มองต่างมุมไม่เชื่อ BOJ ส่งผลดีตลาดฯ ชี้การเมืองยังมีอิทธิพล
นายศรันย์ ถวิลย์หวัง ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์
บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่ากรณีที่ BOJ ยกเลิกนโยบายการผ่อนปรนอัตราดอกเบี้ย
คาดว่าไม่น่าจะส่งผลดีต่อภาวะตลาดหุ้นไทยและทำให้เม็ดเงินลงทุนไหล
เข้ามาในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากนักลงทุนยังให้ความสำคัญกับประเด็นทาง
การเมืองและไม่มั่นใจว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะมีความรุนแรงและขยายวง
กว้างมากน้อยเพียงใด ดังนั้นในระยะนี้นักลงทุนอาจชะลอการลงทุนออกไป
ก่อน
BOJ จะยกเลิกการผ่อนปนอัตราดอกเบี้ย คงไม่มีนัยสำคัญต่อภาวะตลาดเท่าใด เพราะนักลงทุนให้ความสำคัญกับปัจจัยการเมืองมากกว่า
และที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้สัมพันธ์กับตลาดหุ้นต่างประเทศรวมทั้ง
ตลาดหุ้นของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถยืนในแดนบวก
ได้เพราะที่ผ่านมาดัชนีฯปรับลดลงมากจึงมีแรงซื้อกลับเข้ามารวมทั้งเข้ามา
เก็งกำไรเกี่ยวกับการจ่ายปันผลอีกด้วย นายศรันย์ กล่าว
นอกจากนี้การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 28 มีนา
คมนี้คาดว่าคงจะปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.25%ซึ่งปัจจัยดังกล่าวคงไม่มี
นัยสำคัญต่อภาวะตลาดหุ้นไทยเช่นกันเพราะรับรู้แล้วและน่าจะเป็นไปตาม
ที่คาดการณ์ไว้
ส่วนหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่น่าสนใจและลงทุนได้ประกอบด้วยธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด(มหาชน) หรือ SCB และธนาคารกรุงไทย จำกัด
(มหาชน) KTB เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานดีและมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องจาก
รวมทั้งยังมีสภาพคล่อง ดังนั้นจึงแนะนำ ซื้อ SCB และ KTB


* ฟิทช์ เชื่อจีนจะปรับขึ้นค่าหยวนอีกไม่เกิน 5% ในปีนี้
ทั้งนี้นอกเหนือจากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของบีโอเจ ในส่วนของ
การปรับเพิ่มความเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวนในกรอบที่กว้างขึ้นก็ยังส่งผล
ต่อเงินไหลเข้าในเอเซียด้วยเช่นกัน โดยวานนี้ นายเจมส์ แม็คคอร์แมค ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายจัดอันดับความน่าเชื่อถือในภูมิภาคเอเชีย
ของบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ คาดการณ์ว่า จีนจะปรับค่าเงินหยวนขึ้นไม่เกิน5% ในปีนี้โดยคาดว่าจีนจะปรับเปลี่ยนนโยบายในระดับปานกลาง และไม่คิดว่าจะ
มีการปรับขึ้นค่าเงินหยวนมากนัก
การปรับขึ้นค่าเงินหยวนในระดับปานกลางจะไม่ส่งผลกระทบในด้าน
ลบต่อเศรษฐกิจของจีนเนื่องจากจีนได้รับปัจจัยหนุนจากภาคการส่งออกที่มี
ข้อได้เปรียบด้านการแข่งขันเรื่องต้นทุน และประสิทธิภาพด้านการผลิตที่เพิ่มขึ้น



ที่มา efinancethai.com[/color:6f0bad6b5e">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com