May 4, 2024   6:32:29 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > การเมืองเดือดไม่ระคายผิวหุ้นอุปโภค-บริโภค
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 08/03/2006 @ 18:50:07
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

การเมืองร้อนไม่กระทบหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคภาคประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ เหตุส่วนใหญ่อยู่ในวัย 25-45 ปี ที่มีรายได้ประจำ และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการใช้ชีวิตประจำวัน แนะสะสมช่วงอ่อนตัวในหุ้นเด่น CP7-11, BIGC และ KTC[/color:613b6b1537">

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำวันที่ 8 มีนาคม 2549 ปิดที่ระดับ 723.86 จุด ลดลง 14.50 จุด หรือ 1.96% มีปริมาณการซื้อขาย 15,352.33 ล้านบาท ซึ่งหากนับตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2549 ที่ดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 750.81 จุด ถือเป็นการปรับตัวลดลง 2 วันถึง 26.95 จุด หรือคิดเป็นการปรับตัวลดลง 3.72% โดยดัชนีฯ ยังคงถูกกดดันจากปัจจัยทางการเมืองที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิดแรงเทขายหุ้นของนักลงทุน เพื่อปรับพอร์ตและเน้นถือเงินสดเป็นส่วนใหญ่

โดยแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติเริ่มมีเข้ามาให้เห็น หลังจากเหตุการณ์การเมืองเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยยังไม่มีทีว่าจะได้ข้อยุติในทิศทางใดส่งผลให้หุ้นบลูชิปที่มีอิทธิพลต่อภาพรวมตลาดฯ ได้ปรับลดลงอย่างแรง และต่อเนื่องไปยังหุ้นเล็กตัวอื่นๆ หลังจากมีความกังวลว่า ปัญหาทางการเมืองจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชะลอตัวลง

นายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST เปิดเผยว่า สถานการณ์ความร้อนแรงทางการเมือง จะมีผลกระทบไม่มากนักต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคของประชาชน
เนื่องจากปัจจุบัน ประชากรไทยส่วนใหญ่จะอยู่วัย 25-45 ปีค่อนข้างมากซึ่งไม่ได้มีเพียงเกษตรกรเท่านั้น แต่จะมีผู้มีรายได้ประจำที่แน่นอนค่อนข้างมากดังนั้น การบริโภคจึงไม่น่าจะลดลง รวมทั้งการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ที่ไม่น่าจะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ

สถานการณ์การเมืองขณะนี้ค่อนข้างมีการแบ่งขั้วที่ชัดเจน และแม้จะมีตัวแปรหลายปัจจัย แต่ค่อนข้างชัดเจนว่าพรรครัฐบาล และพรรคฝ่ายค้านจะดำเนินนโยบายอย่างไร จึงคาดว่าประเด็นทางการเมืองจะมีโอกาสจบได้เร็ว
ขึ้นอยู่กับว่าจะจบแบบไหนเท่านั้นเอง นายพงศ์พันธุ์ กล่าว

นายพงศ์พันธุ์ กล่าวต่อว่า หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคของประชาชน ยังสามารถทยอยสะสมได้ในช่วงราคาอ่อนตัว แต่หุ้นที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มอุปโภคบริโภคที่แนะนำให้ซื้อ คือ CP7-11 และหุ้นที่ให้บริการบัตรเครดิตที่โดดเด่นและแนะนำซื้อ คือ KTC โดยจะเห็นได้ว่าหุ้นดังกล่าวปรับตัวลดลงไม่มากนักเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในระยะนี้
ด้านผลการดำเนินงานของ CP7-11 ในปี 2548 ที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิ 1.5 พันล้านบาท และจะจ่ายปันผลในอัตรา 0.30 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 88% ของกำไรสุทธิ และคาดว่าปี 2549 จะมียอดขายโต 15-20% จากยอดขายปี 2548 ที่ 9 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ KTC มีกำไรสุทธิ 652.70 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 569.54 ล้านบาท พร้อมกับตั้งเป้าขยายสินเชื่อปีนี้ 25-30%และขยายบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 2.5 แสนบัตร เน้น กทม. และต่างจังหวัดในอัตราที่เท่าๆ กัน
พร้อมกันนี้ นายนิวัตต์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ KTC มั่นใจว่าสถานการณ์ทางการเมือง จะส่งผลกระทบต่อยอดผู้ใช้บัตรเครดิตในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากมองว่าผู้บริโภคยังคงมีกำลังซื้อและการบริโภคยังไม่มีการชะลอตามสถานการณ์การเมือง รวมทั้งการใช้ชีวิตประจำวันก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ด้านนางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงร้อนแรงและไม่มีข้อยุติในปัจจุบันนั้น ประเมินว่าหากรุนแรงมากขึ้นและขยายวงกว้างออกไปในอนาคต คาดว่า จะส่งผลกระทบธุรกิจของผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เกือบทุกแห่ง ยกเว้นบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (BIGC) และบริษัท ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด (มหาชน) (CP7-11)
เนื่องจากทั้งสองบริษัทประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีความสำคัญและจำเป็นในชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วไป ดังนั้น คงไม่ได้รับผลกระทบเท่าใดนัก

BIGC และ CP7-11 น่าจะได้รับประโยชน์ในช่วงที่การเมืองร้อนแรง เพราะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ประชาชนต้องใช้ในชีวิตประจำวันและขาดไม่ได้ ส่วนบัตรเครดิตอย่าง KTC ไม่น่าจะได้รับประโยชน์ เพราะต้องได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจใช้บริการออกไป เนื่องจากไม่แน่ใจเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นางสาวจิตติมา กล่าว

ทั้งนี้ BIGC และ CP7-11 ยังสามารถซื้อลงทุนได้ แต่อย่างไรก็ตามควรติดตามข่าวสารทางการเมืองด้วย เพราะเหตุการณ์ทางการเมืองมีการเปลี่ยแปลงตลอดเวลา และปัจจัยดังกล่าวนี้ ยังเป็นตัวแปรที่สำคัญต่อภาวะตลาดหุ้นไทยอีกด้วย





ที่มา efinancethai.com[/color:613b6b1537">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com