???????? สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 10 | วันที่: 01/03/2006 @ 15:53:05 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต มองมุมใหม่:ระบบกล่าวหากับระบบไต่สวน
1 มีนาคม 2549
ชำนาญ จันทร์เรือง
พลันที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติ 8 ต่อ 6 ไม่รับคำร้องของนายแก้วสรร อติโพธิ สมาชิกวุฒิสภาและคณะที่ประธานวุฒิสภาส่งไปให้วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 96 มาตรา 216 และมาตรา 209 หรือไม่นั้น นอกเหนือจากที่จะเป็นปัจจัยเร่งของการชุมนุมของฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับรัฐบาล จนในที่สุด ต้องยุบสภาดังที่ทราบกันทั่วไปแล้ว แต่ยังได้จุดประเด็นของการถกเถียงในปัญหาข้อกฎหมายขึ้นมาอีกอย่างกว้างขวาง โดยฝ่ายที่เห็นด้วยก็บอกว่าถูกแล้วเพราะเป็นดุลยพินิจของศาล ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็โต้แย้งว่าไหนว่าศาลรัฐธรรมนูญใช้ระบบวิธีพิจารณาคดีแบบไต่สวนไง ยังไม่ทันได้ไต่สวนหาข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ ก็มีมติไม่รับคำร้องเสียแล้ว
จึงอยากจะเรียนว่าในระบบวิธีพิจารณาคดีในศาลที่ใช้กันนั้น มีระบบวิธีพิจารณาคดีอยู่ 2 ระบบ เรียกว่า ระบบกล่าวหา (Accusatiorial System) กับระบบไต่สวน (Inquisitorial System) ซึ่งศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย ได้อธิบายไว้พอที่จะสรุปได้ว่า
ระบบกล่าวหานั้น มีที่มาจากประเทศอังกฤษและกลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมาย ระบบคอมมอนลอว์ (Common Law) เช่น สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ แคนาดา ฯ หลักการของระบบกล่าวหา มีวิวัฒนาการจากการแก้แค้นกันระหว่างผู้กระทำผิดกับผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายฟ้องคดีอาญาเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดด้วยตนเอง แล้วรวบรวมพยานหลักฐานมานำสืบความผิดของจำเลยในศาล
ส่วนศาลหรือผู้พิพากษาจะวางตัวเป็นกลางโดยเคร่งครัด เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมีแนวความคิดมาจากการพิจารณาคดีในสมัยโบราณ ซึ่งใช้วิธีทรมาน (trial by ordeal) และทำให้ทั้งสองฝ่ายต่อสู้คดีกันเอง (trial by battle) ส่วนศาลจะทำหน้าที่เป็นคนกลางหรือกรรมการ ต่อมาได้วิวัฒนาการมาเป็นการเอาพยานมาพิสูจน์ความผิดของจำเลย โดยฝ่ายโจทก์จะเอาพยานที่เป็นพรรคพวกของตนมาเบิกความกล่าวหาจำเลย ส่วนจำเลยก็เอาพวกของตนมาเบิกความรับรองความบริสุทธิ์ของตนให้ศาลฟังแล้วตัดสินคดีไปตามน้ำหนักพยานของแต่ละฝ่าย จากการที่ใช้วิธีการต่อสู้คดีกันนั้นเอง ระบบกล่าวหาจึงให้ความสำคัญอย่างสูงต่อหลักเกณฑ์ต่อไปนี้คือ
1. หลักการสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ให้ศาลเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดจริง
2. ถือหลักสำคัญว่าโจทก์และจำเลยมีฐานะในศาลเท่าเทียมกัน
3. ศาลจะวางตนเป็นกลางโดยเคร่งครัด ทำหน้าที่เหมือนกรรมการตัดสินกีฬาคอยควบคุมให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามกฎหมายลักษณะพยานโดยเคร่งครัดการปฏิบัติผิดหลักเกณฑ์อาจถูกศาลพิพากษายกฟ้องได้
4. ศาลจะมีบทบาทค้นหาความจริงน้อยมาก เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ของคู่กรณีหรือคู่ความจะต้องแสวงหาพยานมาแสดงต่อศาลด้วยตนเอง
ส่วนระบบไต่สวนนั้นในทางทฤษฎียอมรับกันว่าระบบไต่สวนมีที่มาจากศาลทางศาสนาของคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิกในสมัยกลาง ซึ่งทางศาสนจักรโดยเฉพาะอย่างยิ่งสันตะปาปาแห่งกรุงโรม มีอิทธิพลเหนือฝ่ายอาณาจักรคือ กษัตริย์หรือเจ้าผู้ครองนครต่างๆ ในสมัยกลาง มีวิธีการพิจารณาคดีผู้กระทำผิดเกี่ยวกับกฎหมายของทางศาสนาด้วยวิธีการซักฟอกพยาน ในรูปของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับคดีโดยตรง คือ พระผู้ทำการไต่สวนกับผู้กระทำผิดที่เป็นผู้ถูกไต่สวน โดยไม่ต้องมีผู้พิพากษาเป็นคนกลาง
ดังนั้น ในศาลศาสนา ผู้ไต่สวนจึงต้องทำหน้าที่แสวงหาพยานหลักฐาน ซักถามพยานและชำระความโดยไต่สวนคดีด้วยตนเองตลอด และด้วยที่ศาสนจักรมีอิทธิพลเหนือฝ่ายอาณาจักร ระบบศาลของฝ่ายอาณาจักรจึงได้รับอิทธิพลและได้วิวัฒนาการมาเป็นระบบไต่สวนในปัจจุบัน
ตามระบบไต่สวน ศาลไม่ได้ทำหน้าที่วางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัดเหมือนระบบกล่าวหา แต่จะทำหน้าที่ค้นหาความจริงด้วยตนเอง ศาลจะมีบทบาทในการดำเนินคดีอย่างสูง ผิดกับในระบบกล่าวที่ศาลมีบทบาทน้อยมาก เพราะต้องวางตัวเป็นกลาง โดยที่ระบบไต่สวนเน้นในเรื่องการค้นหาความจริงเป็นหลัก ดังนั้น กฎเกณฑ์ในการดำเนินคดี เช่น การสืบพยาน การดำเนินการต่างๆ ในศาลจึงยืดหยุ่นกว่าระบบกล่าวหา
จากที่มาของระบบกล่าวหากับระบบไต่สวนที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น จะทำให้เราเห็นหลักการสำคัญที่ว่าเมื่อใดที่คู่ความหรือคู่กรณีมีสถานะเท่าเทียมกันแล้ว การใช้ระบบกล่าวหาจะเกิดความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย เพราะเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างต้องปกป้องรักษาสิทธิของตนเอง แต่ถ้าเมื่อใดที่คู่กรณีหรือคู่ความมีสถานะไม่เท่าเทียมกันแล้ว การใช้ระบบไต่สวนย่อมจะเหมาะสมและเป็นธรรมแก่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งอยู่ในสถานะเสียเปรียบ เช่น กรณีพิพาทระหว่างราษฎรหรือเอกชนกับรัฐ เป็นต้น เพราะพยานหลักฐานต่างๆ มักจะอยู่ในการครอบครองของฝ่ายรัฐเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นการยากที่ฝ่ายราษฎรจะนำสืบหรืออ้างพยานหลักฐานตามระบบกล่าวหาที่มีหลักว่า ผู้ใดกล่าวอ้าง ผู้นั้นนำสืบ โอกาสที่จะชนะคดีสำหรับราษฎรหรือเอกชน จึงเป็นไปได้ยาก
สำหรับประเทศไทยเรานั้นได้มีการใช้ระบบกล่าวหาสำหรับคดีแพ่งและคดีอาญา (เว้นในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง) และใช้ระบบไต่สวนในคดีที่ใช้อำนาจตามกฎหมายมหาชนในศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ฉะนั้น การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้องของนายแก้วสรรและพวกไว้วินิจฉัย โดยให้เหตุผลว่าคำร้องมิได้แสดงให้เห็นว่าการกระทำใดของนายกรัฐมนตรีเป็นการเข้าไปบริหาร จัดการเกี่ยวกับหุ้น ฯลฯ แต่มิได้ไต่สวนแสวงหาเท็จจริงจนเป็นที่ยุติเสียก่อน จึงสร้างความกังขาต่อบรรดานักกฎหมายทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักกฎหมายมหาชนเป็นอย่างยิ่งว่า ตกลงแล้วศาลรัฐธรรมนูญใช้ระบบกล่าวหาหรือระบบไต่สวนในการพิจารณาคดีกันแน่
เพราะการกระทำเช่นนี้เสมือนหนึ่งเป็นการตัดฟ้องหรือยกฟ้อง เพราะเหตุคำฟ้องเคลือบคลุมในระบบกล่าวหา ซึ่งไม่สามารถนำมาใช้ในระบบไต่สวนได้ จึงเป็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญควรจะต้องมีคำอธิบายให้กระจ่างชัดกว่านี้ นอกเหนือจากเพียงการยกข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นเหตุผลในการที่จะไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยเท่านั้น
|