???? สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 1,238 | วันที่: 24/02/2006 @ 19:52:07 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต จับตาการตัดสินใจของ ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น กับการถือหุ้น 30% ใน โลตัส เซียงไฮ้ ภายหลังบริษัทแบกภาระขาดทุนมาโดยตลอด ขณะที่ในปีนี้บริษัทอาจจะต้องรับซื้อหุ้นคืนจาก ไชน่ารีเทลฟันด์ อีก 24% ซึ่งจะบั่นทอนผลกำไรให้หดลงมากขึ้น [/color:50f6647571">
ท่ามกลางการเติบโตอย่างสวยงาม ของธุรกิจในประเทศไทยของ ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น (CP 7-11) กลับถูกบั่นทอนโดยการถือหุ้นใน โลตัส เซียงไฮ้ ที่กำลังขาดทุนอย่างหนัก
บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า ในปี 2548 เซเว่นฯ อาจจะต้องรับรู้ส่วนที่ขาดทุนของ โลตัส เซียงไฮ้ ที่ถืออยู่ในสัดส่วน 30% ประมาณ 1 พันล้านบาท และคาดว่าปี 2549 นี้ก็อาจจะยังขาดทุนอีกประมาณ 1 พันล้านบาท หากยังถือครองหุ้น โลตัส เซียงไฮ้ ในสัดส่วนเท่าเดิม
ทั้งนี้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศจีนที่ขยายตัวค่อนข้างสูง ส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติต่างเข้ามาแข่งขันกันอย่างรุนแรง
ขณะที่ โลตัส เซียงไฮ้ มีนโยบายขยายสาขาอย่างต่อเนื่องปีละ 10-15 สาขา แม้ว่ากิจการจะประสบภาวะขาดทุน โดยในปี 2548 มีสาขาเปิดใหม่ 10 สาขา ส่งผลให้มีสาขาทั้งสิ้น 38 สาขา ขณะที่ยอดขายสาขาเดิมลดลงประมาณ 20%
ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ ในปีนี้ เซเว่นฯ อาจจะต้องเพิ่มสัดส่วนในการถือครองหุ้น โลตัส เซียงไฮ้ เพิ่มขึ้น เนื่องจากได้ทำสัญญา Put Option ให้สิทธิแก่ ไชน่ารีเทลฟันด์ ซึ่งถือหุ้นใน โลตัส เซียงไฮ้ สัดส่วน 24% สามารถขายหุ้นคืนให้กับ CP7-11 (หากโลตัส เซียงไฮ้ประสบผลขาดทุนต่อเนื่องหรือไม่สามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ประเทศจีนได้) ภายใน เดือนมีนาคม 2549 โดยสัญญาต่ออายุได้อีก 6 เดือน
ทั้งนี้หาก ไชน่ารีเทลฟันด์ ขายหุ้นนี้คืนให้กับ CP7-11 จริง ก็หมายความว่า CP7-11 จะต้องมีหุ้น โลตัส เซียงไฮ้ ในสัดส่วนที่สูงถึง 54% ทำให้บริษัทจะต้องรับภาระขาดทุนมากขึ้นตามสัดส่วนหุ้นที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า หากบริษัทขายหุ้นโลตัส เซียงไฮ้ ออกไป (ทั้งก้อน) CP7-11 จะมีกำไรสุทธิในปี 2549 จำนวน 2,734 ล้านบาท แต่หากยังถือหุ้นโลตัส เซียงไฮ้ในสัดส่วน 30% ต่อไป จะบั่นทอนกำไรของบริษัทลดลงเหลือ 1,924 ล้านบาท
ประสิทธิ์ ฉกาจธรรม รองผู้จัดการทั่วไป ประจำสำนัก CEO บุคคลใกล้ชิดกับ ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น ให้ความเห็นกับ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า บริษัทจะยังไม่ขาย โลตัส เซียงไฮ้ ออกไปอย่างแน่นอน
เท่าที่ฟังนโยบายล่าสุด เมื่อ 2 เดือนก่อน ผมไม่ได้ยินนโยบายจากเครือมาเลย ส่วนท่านประธานเครือซี.พี. ธนินท์ เจียรวนนท์ ก็ยังคงให้ความสำคัญที่จะมีฐานค้าปลีกอยู่ในประเทศจีน
ประสิทธิ์ บอกว่า หาก ไชน่ารีเทลฟันด์ ต้องการขายหุ้นคืน ทางบริษัทก็ยังคงมีทางออก คือ หาพันธมิตรเข้ามาซื้อหุ้นต่อ
ส่วนในกรณีที่ CP7-11 จะขายหุ้นก็จะเป็นในลักษณะการแบ่งขายให้กับพันธมิตร เพื่อเสริมศักยภาพความเข้มแข็งเท่านั้น ไม่ใช่การขายหุ้นทิ้งหมด
อย่างไรก็ตามแนวโน้มของ โลตัส เซียงไฮ้ ถือว่ามีโอกาสที่จะดีขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ขณะเดียวกันทาง CP7-11 ก็ได้ปรับให้สาขามีบทบาทมากขึ้น จากเดิมส่วนกลางจะเข้าไปมีบทบาท ส่วนการขาดทุนนั้น ถือว่า เป็นเรื่องปกติของการลงทุน เพราะการสร้างสาขานั้นจะต้องลงทุนมหาศาล
แม้โลตัส เซียงไฮ้ จะขาดทุน แต่ประเทศจีน ก็ถือว่าเป็น กลุ่มประเทศดาวรุ่ง จำเป็นต้องยึดพื้นที่ หากช้าพื้นที่ก็ถูกจองหมด นี่คือ เหตุผลที่เราตัดสินใจขายหุ้นโลตัสในไทยช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ และ รักษาโลตัสที่จีนไว้
วัดกันง่ายๆ ที่บอกว่า โลตัสที่จีนขาดทุน แต่ ทรู คอร์ปอเรชั่น (ธุรกิจโทรศัพท์ในเครือซี.พี.) ไม่ขาดทุนเยอะกว่าหรือ ทำไมเราไม่เลือกขายตัวที่ขาดทุนเยอะ เพราะเรามองเป็นกลยุทธ์อะไรอีกหลายอย่างในอนาคต
อย่าง ตัวของธุรกิจค้าปลีกเซเว่นฯ เองก็เหมือนกัน เราขาดทุนอยู่หลายร้อยล้านกว่าจะทำกำไรขึ้นมามากขนาดนี้ ที่จริงตอนขาดทุนทุกคนบอกให้ขายทิ้ง แต่ท่านประธานไม่ยอม
เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ เซเว่นฯ จะยังมีปัญหาคาราคาซังด้านนี้ก็ตาม แต่กองทุนต่างประเทศกลับให้ความสนใจเก็บหุ้น CP7-11 เพิ่มขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมา โดย กองทุนรัฐบาลสิงค์โปร์ (GIC) เข้าเก็บหุ้น CP7-11 อีก 3.48% ในราคาสูงสุด 5.7 บาทต่อหุ้น ปัจจุบันมีสัดส่วน 6.26%
ส่วน T.Rowe Price Associates Inc&its affiliates เข้าเก็บหุ้นในปีที่ผ่านมา 1.70% ในราคาสูงสุด 6 บาทต่อหุ้น ปัจจุบันถือหุ้นในสัดส่วน 5.06%
ประสิทธิ์ บอกว่า นี่คือบทสะท้อนการเติบโตของบริษัท ซึ่งมีอัตราการเติบโตในปี 2548 เป็นตัวเลขถึง 2 หลัก โดยคาดว่าจะมียอดขายประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรสุทธิของบริษัทปกติจะอยู่ประมาณ 2% อย่างไรก็ตามสำหรับตัวเลขที่แท้จริงนั้นจะประกาศหลังจากประชุมคณะกรรมการวันที่ 27 ก.พ.นี้
ด้าน ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ เปิดเผยว่า ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งเป้าจะเปิดสาขาเซเว่นฯ ในประเทศให้ครบ 5,000 สาขา จากปัจจุบันที่ มีสาขาทั้งสิ้น 3,300 สาขา โดยจะวางเกมรุกเปิดสาขาอย่างหนักในปี 2549 ถึง 450 สาขา หรือคิดเป็นอัตราการเปิดสาขา 4 สาขา ใน 3 วัน คาดว่าจะใช้เงินสาขาละประมาณ 2 ล้านบาท โดยบริษัทจะใช้กระแสเงินสดของบริษัทปูพรหมเปิดเอง ไม่มีการกู้เด็ดขาด ก่อนที่จะนำสาขาที่เปิดมาขายต่อให้เป็นแฟรนไชส์อีกที
450 สาขาที่ตั้งไว้เราจะเป็นผู้หาทำเลเปิดเองทั้งหมด ก่อนคัดเลือกคนขายให้เป็นแฟรนไชส์ทีหลัง เพราะที่ผ่านมาหากคนมาขอแฟรนไชส์ 90% จะไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนอัตราการปิดสาขาของบริษัทต่ำมากเพียง 5% เท่านั้น
ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทมีนโยบายการเพิ่ม อัตราการหมุนเวียนสินค้าในร้านค้ามากขึ้น โดยได้กำหนดเกณฑ์ไว้ 1 เดือนจะต้องมีสินค้า 200-300 เอสเคยูใหม่เข้ามา จากเดิมอยู่ในหลักที่ไม่เกิน 100 เอสเคยู
ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้ค่าแรกเข้าสินค้ามากขึ้น แต่ทั้งนี้หลักการไม่ใช่เพราะบริษัทต้องการค่าแรกเข้า แต่เพราะอยากให้ลูกค้าพบความแปลกใหม่ในสินค้ามากกว่า พร้อมกันนี้ยังเน้นนโยบาย สินค้าอาหาร ให้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีมาร์จิ้นสูง
นอกจากนี้ในปีนี้บริษัทจะนำกลยุทธ์ใหม่ด้วยการเปิดร้านคูหาที่ 3 เพิ่มเติมจากร้าน 7-11 เดิม เพื่อกำหนด 2 แนวทางคือ 1) ร้านบุ๊คสไมล์ จะเปิด 150 สาขา และ 2) ร้านคัดสรร ขายสินค้าภายในบ้าน ราคาต่ำ ภายใต้ ?เฮ้าส์แบรนด์? จะเปิด 20 แห่ง จะช่วยให้มีส่วนแบ่งตลาด 50% ของร้านค้าสะดวกซื้อทั้งหมด
ไม่เพียงเท่านั้น บริษัท ไทยสมาร์ทคาร์ด ผู้ผลิตบัตรเงินสด สมาร์ทเพิร์ส ซึ่ง CP7-11 ถือหุ้น 32.24% จะมีการลงทุนในระบบซอฟต์แวร์ต่างๆ กับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่ออีก 400 ล้านบาท จากเดิมที่ลงทุนไปแล้ว 400 ล้านบาท เพื่อขยายให้บริการรับชำระเงินผ่านบัตร แทนเงินสด
ก่อศักดิ์ บอกว่าในส่วนของบัตรสมาร์ทเพิร์สนั้น ไม่ได้หวังกำไร แต่จะหาประโยชน์จากการเก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อนำไปประมวลผล วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ขณะเดียวกันก็จะมีการจูงใจด้วยคะแนนสะสมอีกทาง
ส่วนมาตรการห้ามวางบุหรี่ และสุราโชว์ ในร้านนั้น ประสิทธิ์ เผยว่า บริษัทเตรียมนำเสนอข้อมูลกับภาครัฐ ภายหลังยอดขายบุหรี่ในร้านเซเว่นฯ ยังคงเพิ่มสูง ว่าเป็นมาตรการที่แก้ไม่ถูกจุด
คณะเดียวกันข้อห้ามของกระทรวงสาธารณสุขยังขัดต่อหลักกฎหมาย ซึ่งหากทุกฝ่ายรับทราบ อาจจะทำให้ เซเว่นฯ กลับมาวางบุหรี่ได้อีกครั้ง
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ[/color:50f6647571">
|