May 6, 2024   1:50:38 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > นับถอยหลังเทรดหุ้น(ร้อน) ASK
 

Kuririn
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 26
วันที่: 23/08/2005 @ 08:47:35
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

วันที่ 25 สิงหาคมนี้ บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ASKผู้ประกอบธุรกิจ ลีสซิ่ง ครบวงจร จะเริ่มเข้าทำการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

หลังจากก่อนหน้าได้เสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) 23 ล้านหุ้นมูลค่าที่ตราไว้(พาร์)หุ้นละ 5 บาท ราคาจองหุ้นละ 8.90 บาท และจัดสรรหุ้นส่วนเกิน(กรีนชู ออฟชั่น) 3.45 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 3% ของทุนชำระแล้ว

ก่อนที่ ASK จะเข้าตลาดฯ ผู้บริหารของบริษัทฯ ได้ออกมาโชว์ถึงจุดแข็ง และจุดได้เปรียบทางธุรกิจ ทั้งการมีกลุ่มผู้ถือหุ้นคือ กลุ่มคู จากไต้หวัน และกลุ่มธนาคารกรุงเทพ ที่ต่างประสบการณ์ในธุรกิจลิสซิ่ง และฐานลูกค้า พันธมิตร ฯลฯ

เจมส์ โล กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง บอกว่า จะนำกลยุทธ์เจาะตลาดแบบกลุ่ม หรือ Segmentation ทำให้เราไม่มีคู่แข่งหลักชัดเจน เพราะแต่ละธุรกิจ จะซอยย่อยเพื่อเข้าถึงความต้องการของลูกค้าแต่ละตลาด ทำให้การแข่งขันของลดน้อยลงตามความถี่ที่ถูกแบ่งออกไป

ทั้งนี้ การดำเนินธุรกิจเพื่อเข้าถึงความต้องการลูกค้าแต่ละกลุ่มแบ่งออกเป็น
1.ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และเครื่องจักร คิดเป็น 67% ของรายได้รวม
2.ธุรกิจสินเชื่อลีสซิ่งประเภทเครื่องจักรและยานพาหนะ 11%
3.ธุรกิจแฟคตอริ่ง ทั้งที่เป็นแฟคตอริ่งภายในประเทศและระหว่างประเทศ 3.5%
4.ธุรกิจให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อแก่ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์รวมกัน 18.5%

วิธีการแบบนี้ ผู้ประกอบการรายใหญ่ ระดับซูโมคงไม่มีใครอยากลงมายุ่งกับฐานลูกค้าที่แบ่งย่อย เพราะไม่มีความถนัดเล่นในตลาดระดับดังกล่าว
นายเทียนทวี สระตันติ์ ผู้จัดการทั่วไป กล่าวเสริมว่า การเจาะตลาดเฉพาะ(กลุ่ม)ทำให้การต่อสู้ของเรามีความหลากหมายต่างจากคู่แข่งขัน ซึ่งได้เตรียมการไว้ก่อนหน้านี้แล้วเพราะมองว่า การแข่งขันในธุรกิจลีสซิ่ง ดีกรีความรุนแรงจะเพิ่มขึ้น และมั่นใจว่ามาถูกทาง

การสร้างตลาดเฉพาะได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาและสร้างกลยุทธ์มาช่วยทำวิจัย เพราะตลาดลีสซิ่งนับวันแข่งขันแรงขึ้น เราะค่อยๆ สร้างตลาดขึ้นมาทีละหนึ่งจุด และเป็นเช่นนี้ต่อเนื่อง เขากล่าวและว่า

ไม่คิดว่าจะมีผู้ประกอบการรายใดหันมาใช้กลยุทธ์เจาะตลาดเฉพาะเช่น ASK เพราะค่อนข้างมีความซับซ้อนและยากลำบาก ฉะนั้นจึงเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการรายอื่นเข้ามาได้ง่าย

เจมส์ กล่าวต่อว่า เหตุผลที่บริษัทฯ เจาะตลาดฐานลูกค้าแบบเป็นกลุ่มๆ เนื่องจากบุคลากรมีความรู้ความชำนาญในอุตสาหกรรมลีสซิ่ง มากกว่า 21 ปี อายุการทำงานของพนักงานเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10 ปีขึ้น ขณะที่อัตราการผลัดเปลี่ยนพนักงานถือว่าเกือบเป็น ศูนย์

ในทางกลับกันยังได้ขยายและเพิ่มบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีระบบการติดตามลูกหนี้ที่ดี สามารถตรวจเช็คข้อมูลของลูกค้าได้รวดเร็ว รวมถึงการมีบุคลากรตัดสินใจ Take Action ในกรณีอาจเกิดขึ้นกับลูกค้าได้อย่างทันท่วงที และทันการณ์ ซึ่งถ้าสามารถควบคุมได้ ถือว่าเป็นการบริหารความเสี่ย0งได้ในระดับหนึ่ง

มาร์เก็ตติ้งของบริษัทฯไม่ต่ำกว่าครึ่ง ผ่านช่วงวิกฤติเศรษฐกิจมาแล้ว ปัจจุบันยังไม่หนีหายจากกันไปไหน ทำให้ทีมงานมีความเข้าใจกันและกัน ประกอบกับมีประสบการณ์การทำงาน ช่วงที่เราได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกอย่างรุนแรง จึงมีความมั่นใจในทีมเวิร์ค

เขา บอกว่าเงินที่ได้จากการระดมทุนราว 204.70 ล้านบาท จะนำไปใช้ขยายพอร์ตสินเชื่อของบริษัทฯจำนวน 154.70 ล้านบาท และพัฒนาระบบสารสนเทศจำนวน 50ล้านบาท เพื่อใช้ในการตรวจสอบขั้นตอนการทำงานว่าอยู่ในระดับใด และสามารถตรวจเช็คได้ทันที

รวมถึงข้อมูลต้นทุนของบริษัทฯ ที่สามารถเปรียบเทียบกับต้นทุนของคู่แข่งได้ ในกรณีคู่แข่งได้ปรับลดราคาลง ถ้าบริษัทฯ จำเป็นต้องลดราคาเพื่อการแข่งขัน จะมีผลกระทบต่อต้นทุน และก่อให้เกิดประโยชน์มากน้อยเพียงใด ตรงนี้ทำให้บุคลกรสามารถตัดสินใจเพื่อปรับสภาพให้เข้ากับการแข่งขันที่เป็นไปอย่างรุนแรงในแต่ละเซ็นเตอร์ที่เป็นฐานของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

ระบบสารสนเทศของบริษัทฯที่กำลังจะทำให้เกิดขึ้นและสามารถใช้ได้ภายในองค์กรนั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้นกำลังจะเริ่มเพื่อพัฒนาไปสู่ขั้นตอนของการวางแผนกลยุทธ์ ในการวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง(SWOT Analsis) ธุรกิจที่บริษัทฯ กำลังจะไปข้างหน้า ตรงนี้ถือว่าเป็นการสร้างฐานความแข็งแกร่ง เพื่อจะออกไปแข่งขันกับคู่แข่ง รวมถึงการก้าวไปอนาคตของบริษัทฯ

ในสมัยก่อนเราไม่จำเป็นต้องมีระบบหรือการวางแผนเหล่านี้ก็สามารถไปข้างหน้าได้

เนื่องจากการแข่งขันยังไม่รุนแรง แต่ปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะถ้าไม่มีระบบความแน่นหนา และมีระบบที่ดี จะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้


สำหรับฐานลูกค้าของบริษัทฯจะแบ่งเป็น กลุ่มลูกค้าในประเทศประมาณ 80-85 %กลุ่มลูกค้าต่างชาติ(ชาวไต้หวัน)ประมาณ 15-20 % ทั้งนี้บริษัทฯ เป็นผู้ประกอบการที่มีฐานลูกค้าชาวไต้หวันมากที่สุด เนื่องจากความชำนาญและชื่อเสียงของกลุ่มคู ทำให้บริษัทฯสามารถดึงลูกค้ากลุ่มดังกล่าวเข้ามาไว้ในมือมากที่สุด

หลังจากได้รับเม็ดเงินในการระดมทุน จะทำให้บริษัทฯขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนกันยายน 2548 เป็นต้นไป จะส่งผลให้บริษัทมีรายได้และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น และเชื่อมั่นว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีและมีความสามารถในการทำกำไรให้เป็นที่น่าพอใจแก่นักลงทุนได้ โดยบริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% และไม่เกิน 70% ของกำไรสุทธิ

ในครึ่งแรกของปี 2548 บริษัทฯมีรายได้รวม 350 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2547 มากกว่า 40% โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 70 ล้านบาท ขณะที่ราคาไอพีโอที่ 8.90บาท คิดเป็นค่าพีอีปัจจุบันประมาณ 7 เท่า เปรียบเทียบกับบริษัทที่ใกล้เคียงกันในอุตสาหกรรมที่ซื้อขายที่พีอีเรโชประมาณ 9-12 เท่า

ด้าน บล.ซีมิโก้ ประเมินกำไรสุทธิปี 2548 อยู่ที่ 155 ล้านบาท หรือ 1.34 บาทต่อหุ้น ราคาเป้าหมายประมาณ 12.10-13.40 บาท ค่า P/E9 -10 เท่า หรือ P/BV 1.4-1.6 เท่า

ส่วน บล.เอเซียพลัส ประเมินกำไรสุทธิปี 2548 อยู่ที่ 149 ล้านบาท หรือ 1.15บาทต่อหุ้น ให้ค่า P/E ที่เหมาะสมอยู่ที่ระดับ 8.0-8.5 เท่า หรือ P/BV 1.30-1.35เท่า แต่ไม่ได้มีการประเมินราคาออกมา

บล.บัวหลวง ประเมินกำไรสุทธิปี 2548 อยู่ที่ 165.19 ล้านบาท ให้ค่าP/E ที่เหมาะสมอยู่ที่ระดับ 8-10 เท่า ราคาเป้าหมายประมาณ 11.5-14.5 บาท
บล.เคจีไอ ประเมินกำไรสุทธิปี 2548อยู่ที่ 159 ล้านบาท ให้ค่าP/Eที่เหมาะสมอยู่ที่ระดับ 7.10-8.50 เท่า ราคาเป้าหมาย 11.7 บาท

ภายหลังการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป กลุ่มคู จะเหลือสัดส่วนการถือหุ้น 63.72 % จากเดิมที่มีสัดส่วนการถือหุ้น 79.65 % กลุ่มธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)เหลือสัดส่วนการถือหุ้น 10.06 %จากเดิม 12.58 % และอื่นๆ อีกจำนวน 1.12 %จากเดิมที่เคยถือหุ้นสัดส่วน 1.40% และ ในส่วนของผู้บริหาร กรรมการ พนักงาน ถือหุ้น 5.10 %

ASK ถึงจุดอิ่มตัว?
บมจ. เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัดในปี 2527 และได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2546 ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียน 575 ล้านบาท เป็นทุนชำระแล้ว 460 ล้านบาท กลุ่มบริษัทประกอบด้วย บริษัทและบริษัทย่อย 1แห่ง ได้แก่ บริษัท กรุงเทพ แกรนด์ แปซิฟิคลีส จำกัด (มหาชน) บริษัทและบริษัทย่อยดำเนิน

1.)ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และเครื่องจักร ดำเนินงานโดยบริษัทและบริษัทย่อยโดยบริษัทจะเน้นการให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เพื่อการพาณิชย์และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่เป็นรถยนต์ใหม่และรถยนต์ใช้แล้วแก่บุคคลธรรมดาเป็นหลักและบริษัทย่อยจะเน้นการให้สินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักรแก่นิติบุคคลเป็นหลัก

2.) ธุรกิจสินเชื่อลีสซิ่งประเภทเครื่องจักรและยานพาหนะ ดำเนินงานโดยบริษัทย่อยซึ่งจะเน้นการให้สินเชื่อลีสซิ่งเครื่องจักรที่เป็นเครื่องจักรใหม่และเครื่องจักรใช้แล้วประเภทสัญญาเช่าการเงินแก่ลูกค้านิติบุคคลเป็นหลัก

3.) ธุรกิจแฟคตอริ่งทั้งที่เป็นแฟคตอริ่งภายในประเทศและแฟคตอริ่งระหว่างประเทศดำเนินงานโดยบริษัทย่อย และ

4.)บริการอื่นๆ ได้แก่ การให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อแก่ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ นอกจากนี้ บริษัทและบริษัทย่อยยังให้บริการอื่นๆ เช่น บริการรับจดทะเบียนรถยนต์การต่อภาษี และบริการเกี่ยวกับการประกันภัย เป็นต้น

ผลกรดำเนินนินงานไตรมาสแรก สิ้นสุด 31 มีนาคม 2548 มีกำไรสุทธิ 33,807ล้านบาท หรือ 0.37 บาทต่อหุ้น เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 37,214 ล้านบาท หรือ 0.53 บาท

ไตรมาสนี้มีรายได้จากดอกผลเช่าซื้อเพิ่มขึ้นเพียง 32% จากช่วงก่อนปีเดียวกันมีรายได้อยู่ที่ 85 ล้านบาท มาปีนี้เพิ่มขึ้นมาที่ 113 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการซื้อสิทธิเรียกร้อง รายได้จากสัญญาเช่าทางการเงิน รายได้ค่าเช่าตามสัญญาเช่าดำเนินงานเพิ่มขึ้นมา 24 ล้านบาท หรือคิดเป็น 14% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งช่วงเดียวกันของปีก่อนไม่มีรายได้ในส่วนนี้

ประกอบกับ ยังมีรายได้จากค่าปรับล่าช้า รายได้จากการแนะนำลูกค้าเกี่ยวกับประกันภัย และรายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้นรวม 39% ส่งผลให้ยอดรายได้รวมเพิ่มขึ้น 56%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ด้านต้นทุนการให้เช่าตามสัญญาเช่าดำเนินงานอยู่ที่ 0.84 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการรายและบริหารเพิ่มมาที่ 71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีเพียง 58 ล้านบาท

เนื่องจากมียอดหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นอีก 199% และมีดอกเบี้ยจ่ายสูงถึง 40ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 94% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ดึงกำไรให้ลดต่ำลง

หากมองดูสภาพคล่องในการดำเนินงานของ ASK พบว่า มีสินทรัพย์หมุนเวียน 2,829ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วยลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีสุทธิ 2,070ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นว่าบริษัทให้บริการสินเชื่อได้เพิ่มมากขึ้น

ขณะที่หนึ้สินหมุนเวียน 4,772 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีเงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินสูงถึง 4,414 ล้านบาท ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจลิสซิ่งที่ต้องเงินสำรองไว้ในจำนวนมาก

สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 641 ล้านบาท มีกำไรสะสมที่ยังไม่จัดสรรเพิ่มขึ้น 25%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 132 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 166 ล้านบาท ถือว่าเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นไม่น้อยทีเดียว[/color:b57d4852b9">

23 ส.ค.--ข่าวหุ้น

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com