???? สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 1,238 | วันที่: 11/11/2005 @ 04:26:18 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นของไทยเดือนตุลาคมไม่ค่อยสดใสมากนัก จากต้นเดือนดัชนีอยู่ระดับ 723 จุด หลังจากนั้นนักลงทุนต่างชาติต่างเทขายหุ้นออกมาทำให้ดัชนีปรับตัวมายังระดับ 682 จุด ซึ่งใช้ระยะเวลาเพียงเดือนเดียว ก่อนจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นในเดือนพฤศจิกายน
ข่าวหุ้นธุรกิจ ได้รวบรวมข้อมูลความเคลื่อนไหวราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเพิ่มขึ้นสูงสุดและราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่ำสุดประจำเดือนตุลาคม 2548 จากหุ้นทั้งหมด 415 ตัว มีหุ้นราคาปรับเพิ่ม 99 ตัว ส่วนหุ้นราคาปรับลดมีถึง 285 ตัว อีก 31 ตัวเป็นหุ้นไม่มีอัตราเปลี่ยนแปลงของราคา
ทว่า ครั้งนี้ได้เลือกนำเสนอเฉพาะหุ้นมีราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเพียง 50 ตัวเท่านั้น
หุ้นที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนมากที่สุดประจำเดือนตุลาคม คือ IEC ราคาปรับเพิ่มขึ้น 43.94% จาก 1.32 บาท เป็น 1.90 บาท เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าพันธมิตรจะเข้ามาซื้อหุ้น จนบัดนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน แต่ก็มีแรงซื้อเข้ามาไล่ราคากันอย่างเนื่องแน่น ทำให้ราคาตลอดทั้งเดือนตุลาคมยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยทั้งสี่เส้นอย่างต่อเนื่อง
ผลประกอบการของ IEC ไม่ค่อยสวยนัก โดยประสบผลขาดทุน 3 ปีติดต่อกัน เพิ่งจะพลิกกลับมาทำกำไรได้ในปีนี้โดยมีกำไรสุทธิในงวดครึ่งปี 35 ล้านบาท ในขณะที่ D/ERatio ไม่ได้เลวร้ายมากนักคืออยู่ที่ 0.89 เท่า โดยภาพรวมของธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ถือว่าความต้องการเริ่มเพิ่มมากขึ้น
รองลงมาคือ BGH ราคาปรับเพิ่มขึ้น 25.15% จาก 16.70 บาท ปรับขึ้นไปที่ 20.90 บาท โดยราคาหุ้นปรับตัวยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยทั้งสี่ ได้มีการเพิ่มทุน และปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นโดยการเข้าซื้อหุ้นภายในกลุ่มบริษัท รวมทั้งแก้ไขปัญหาโครงสร้างการถือหุ้นที่มีลักษณะเป็นการถือหุ้นไขว้กันระหว่างบริษัท
BGH เป็นหุ้นพื้นฐานดี มีความสามารถในการทำกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีกำไรสุทธิในงวดครึ่งปีอยู่ที่ 408 ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะมีกำไรสุทธิเพิ่มมากกว่า 800 ล้านบาท จากช่วงสิ้นปีที่ผ่านมาทำกำไรสุทธิได้สูงถึง 623 ล้านบาท
ตามมาด้วย BTC มีราคาเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 23.40% จาก 1.88 บาท ปรับเพิ่มมาที่ 2.32 บาท โดยราคาปรับเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ต้นเดือน เป็นหุ้นที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง โดยมี D/E Ratio เท่ากับ 0.13ประกอบด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 1,532 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินรวมมีเพียง 205 ล้านบาท
ด้านผลการดำเนินงานของ BTC ไม่ค่อยดีมากนัก ในงวดครึ่งปีประปัญหาขาดทุน 6ล้านบาท ต่างจากสิ้นปีที่ผ่านมามีกำไรสุทธิสูงถึง 142 ล้านบาท เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ในบริษัทย่อยที่บริษัทได้ลดสัดส่วนการถือหุ้น ทำให้รายได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2548ลดลง 48% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ลำดับ 4 คือ AI ราคาปรับขึ้น 16.07% จาก 11.20 บาท ปรับมาที่ระดับ 13 บาทราคาไล่ขึ้นมาตั้งแต่ต้นเดือน โดยสามารถยื่นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยทั่งสี่ได้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวด 9 เดือนออกมาหุ้นละ 0.35 บาท โดยจะจ่ายในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้
ถือว่าเป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งสามารถทำกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยในงวด 9 เดือนสามารถทำกำไรสุทธิได้ถึง 198 ล้านบาท ด้านฐานะทางการเงินก็ดูดี โดยมีส่วนของผู้ถือหุ้นสูงถึง 1,640 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินมีเพียง 103 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าเป็นบริษัทมีความปลอดภัยจากภาระดอกเบี้ยจ่าย ซึ่งจะเป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้กำไรสุทธิเติบโตได้อย่างเต็มที่
อันดับ 5 คือ KSL หรือ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด(มหาชน) เป็นหุ้นน้องใหม่เพิ่งเข้าตลาดเมื่อไตรมาสแรกปีนี้ ดำเนินธุรกิจผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของประเทศไทย ราคาปรับเพิ่มขึ้น 15.70% จาก 6.05 บาทปรับมาที่ระดับ 7 บาท
ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ของ KSL ไม่ค่อยจะดีนัก โดยมีกำไรสุทธิสูงสุดเพียง 73 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 217 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะภัยแล้วในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้มีปริมาณอ้อยเข้าหีบลดลง ประกอบกับมีต้นทุนเพิ่มขึ้นตามสภาวะน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ D/E Ratio เท่ากับ 0.35 เท่า ถือว่าฐานะทางการเงินยังคงดูดี
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆ ที่ราคาปรับเพิ่มขึ้น ที่มีพื้นฐานดี และมีความสามารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่องได้แก่ TICON AMATA 4.07%,BH 3.88%, WORK 1.82, MINT 1.82%, PLE 0.71% และ EGCOMP 0.68%
จะเห็นได้ว่าหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นปรับตัวลดลง จะเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง และอัตราการปรับตัวจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยไม่หวือหวามากนัก ซึ่งความแข็งแกร่งดังกล่าวเป็นความแข็งแกร่งที่ยั่งยืน จะทำให้หุ้นสามารถปรับตัวยืนอยู่ได้ แม้ในยามไร้ปัจจัยบวก
ที่มา ข่าวหุ้นธุรกิจ[/color:8691d95092">
|