ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 31 มี.ค.63 ปิดที่ 1,125.86 จุด บวก 38.04 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 56,906.16 ล้านบาท กองทุนในประเทศซื้อสุทธิ 5,923.28 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มอื่น นำโดยต่างชาติขายสุทธิ 1,648.90 ล้านบาท

หุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามต่างประเทศ และคาดหวังกองทุน SSF ช่วยหนุนสภาพคล่องตลาด ขณะที่กองทุนในประเทศลุยซื้อดักหน้าแล้ว แต่รายย่อย play safe ชิงขายทำกำไรตุนเงินสดในกระเป๋าไว้ก่อน

เปิดมุมมอง “ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ ประเมินตลาดเดือน เม.ย. ว่า ยังมีความเสี่ยงทั้งจากโควิด-19 ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบ และภัยแล้ง แต่มองหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดที่ 970 จุดไปแล้ว หากเป็นไปตามสมมติฐานว่าเศรษฐกิจไทยทำจุดต่ำสุดไตรมาส 2 เนื่องจากตลาดหุ้นมักปรับตัวล่วงหน้าเศรษฐกิจไปก่อนหนึ่งไตรมาสเสมอ

ปัจจัยหนุนดัชนี มาจาก 2 เหตุการณ์ คือการเริ่มโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน และการเริ่มขายกองทุน SSF ประเภทพิเศษ ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินราว 2 หมื่นล้านบาทไหลเข้ากองทุน SSF-X นี้

ประเมินดัชนีเดือน เม.ย. มีแนวต้านสำคัญ 2 บริเวณ คือ 1,130 -1,140 จุด และ 1,220 จุด โดยระดับ 1,130-1,140 จุด เทียบเคียง P/E ในกรณีล่างที่ 14.2 เท่า (อิงประมาณการ EPS ที่ 80 บาท) และเป็นระดับที่อิงการปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 8.9% จากดัชนีปิดต่ำสุด ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของการ Rally ในช่วงตลาดขาลง 3 รอบหลังสุด ส่วนดัชนี 1,220 จุด เป็นระดับที่อิง P/E กรณีฐานที่ 15.2 เท่า

ในสถานการณ์แบบนี้ยังคงแนะให้เลือกหุ้นที่แนะนำ หากดัชนีขึ้นไปแตะที่ 1,130-1,140 จุด แนะขายทำกำไรบางส่วนและหากยังเดินหน้าไปต่อถึง 1,220 จุด จะเป็นจุดขายหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ

เลือกหุ้น 5 กลุ่มเป้าหมายกองทุน SSF คือกลุ่มโรงไฟฟ้า เลือกหุ้น BGRIM-GPSC-GULF-EGCO-RATCH กลุ่มสื่อสาร ปันผลสูงผันผวนต่ำและได้ประโยชน์จากการใช้ดาต้าสูง ชอบ ADVANC-INTUCH กลุ่มสินค้าที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงมาตรการเพิ่มเงินในกระเป๋า เลือก MAKRO-BJC เด่น

กลุ่มบริหารสินทรัพย์ ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยลด ทำให้ต้นทุนการเงินถูกลงและมีโอกาสซื้อหนี้ในราคาถูก เชียร์ BAM กลุ่มอาหารที่มีการ Turn around ของกำไร คือ CPF–TU!!

อินเด็กซ์ 51