ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 24 ก.ค.62 ปิดที่ 1,725.44 จุด บวก 0.57 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 52,833.06 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 57.50 ล้านบาท

นักลงทุนรอติดตามการแถลงนโยบายรัฐบาลประยุทธ์ 2 วันที่ 25 ก.ค.

หุ้นมูลค่าการซื้อขายสูงสุดนำโดย JAS ปิด 6.25 บาท ลบ 0.05 บาท, PTT ปิด 47.75 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, TRUE ปิด 6.55 บาท บวก 0.15 บาท, AOT ปิด 72.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง และ CPALL 87.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

บลจ.ไทยพาณิชย์ แนะจัดพอร์ตการลงทุนช่วงนี้ว่าให้กระจายลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพสูง ทนต่อความผันผวนจากเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน มี 4 กลุ่ม คือ 1.หุ้น Quality Stock ที่มีแนวโน้มเติบโต 2-3 ปีข้างหน้า ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐ ทั้งจากโครงการ EEC และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือหุ้นที่ได้ประโยชน์จากแผนผลิตไฟฟ้าประเทศ (PDP) เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า, นิคมอุตสาหกรรม, รับเหมาก่อสร้าง, พาณิชย์ และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง

2.หุ้น Growth Stock ที่มีแนวโน้มเติบโตช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า เช่น กลุ่มน้ำมัน, การเงิน 3.หุ้น High Dividend Yield แนวโน้มปันผลสูง ความผันผวนต่ำ 4.หุ้นที่มีความยั่งยืนหรืออยู่ในดัชนี THSI

โดย บลจ.ไทยพาณิชย์ มีกองทุนหุ้นไทยที่แนะนำ 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เซ็ท อินเด็กซ์ ฟันด์ (SCBSET) กองทุนประเภท Passive ที่มีนโยบายลงทุนให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับ SET Index มากที่สุด

และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ (SCBSE) กองทุน 5 ดาว ประเภท Thailand Fund Equity Large-Cap ของมอร์นิ่งสตาร์ และมีผลดำเนินงานที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง!!

ทั้งนี้ ไทยพาณิชย์มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย เพราะครึ่งปีหลังมีทิศทางดีขึ้น จากแรงหนุนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมวันที่ 30-31 ก.ค.นี้ และตลาดมองว่าปี 62 อาจลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง ส่งผลต่อเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น และแนวโน้มราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง จากการที่สหรัฐฯแทรกแซงการรับซื้อน้ำมันจากอิหร่าน และการลดกำลังการผลิตของโอเปกกดดันตลาด

ขณะที่ในประเทศ การเมืองไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น หลังการแต่งตั้ง ครม. คาดว่าจะเห็นนโยบายต่างๆ ทยอยออกมาช่วยฟื้นภาพเศรษฐกิจไทย คาดว่านโยบายการกระตุ้นการบริโภคผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐยังคงเป็นแผนหลัก รวมทั้งการพยายามฟื้นราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้น ถือเป็นผลบวกต่อรายได้เกษตรกร.

อินเด็กซ์ 51