ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 26 มิ.ย.62 ปิดที่ 1,722.21 จุด เพิ่มขึ้น 0.88 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 64,024.43 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 5,011.40 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด AOT ปิด 74 บาท ลบ 1 บาท, PTT ปิดที่ 48.50 บาท ลบ 0.25 บาท, KBANK ปิด 188.50 บาท ลบ 2.50 บาท, CPALL ปิด 85.75 บาท บวก 0.50 บาท และ SCB ปิด 137 บาท บวก 2.50 บาท

“เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส เผยในงานนักวิเคราะห์พบสื่อว่า ฝ่ายวิจัยหั่นเป้าดัชนีปีนี้ ลงเหลือ 1,699 จุด จากเดิม 1,705 จุด มองสงครามการค้ารุนแรงและยืดเยื้อ กว่าที่คาด และได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนปี 62 ลงมาที่ 1.03 ล้านล้านบาท จากเดิม 1.06 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) 103.32 บาท จากเดิม 106.5 บาท โต 5.59% จากเดิมคาดโต 8-9% จากปีก่อน

มองหุ้นไทยไตรมาส 3 ผันผวนในทิศทางขาขึ้น ได้แรงหนุนจาก Fund Flow ที่ยังไหลเข้าต่อเนื่อง ขณะที่การพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 63 ที่ล่าช้า กระทบการเติบโตเศรษฐกิจ จะเป็นตัวแปรที่ให้ตลาดผันผวนและเป็นตัวถ่วง แต่ผลจากการเมืองที่เปลี่ยนผ่านมาสู่การมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง การเพิ่ม NVDR เข้ามาคำนวณในดัชนี MSCI รวมถึงธนาคารกลางหันมาใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลให้เงินต่างชาติไหลเข้ามาหนุนให้ Earning Yield Gap ของตลาดหุ้นไทยกว้างขึ้น ล่าสุดอยู่ที่ 4.08%

ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก หนุนให้ Fund Flow มีโอกาสโยกจากตราสารหนี้มาตลาดหุ้นในระยะถัดไปได้มากขึ้น ทำให้ปรับ P/E หุ้นไทย เพิ่มขึ้นเป็น 16.45 เท่า จากเดิม 16 เท่า ระยะสั้นอาจขยับขึ้นไปที่ราว 17 เท่าได้

กลยุทธ์ลงทุนเน้นหุ้นที่มีความได้เปรียบด้าน Valuation ดังนี้ หุ้นที่กำไรเติบโต มีคุณภาพ BBL, BDMS, ROBINS, THANI, GPSC, RJH

หุ้นได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ CK หุ้นที่มีเงินปันผลสม่ำเสมอ ภายใต้ดอกเบี้ยขาลง EASTW, SCCC, MCS และหุ้นอาหารส่งออก ที่ถูกกระทบจำกัดจากสงครามการค้า TU!!

ส่วนการแข็งค่าของเงินบาท ส่งผลบวกต่อการนำเข้า เช่น กลุ่มที่ใช้ ต้นทุนอย่างน้ำมัน ยางมะตอย ถั่วเหลือง มองหุ้น PTTEP น่าสนใจสุด ส่วนกลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แนะลดน้ำหนัก ลงทุน ขณะที่กลุ่มอาหารและท่องเที่ยวได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ราคาหุ้นยังมีอัปไซต์ แนะให้ชะลอลงทุนในช่วงนี้ไปก่อน.

อินเด็กซ์ 51