ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 21 มิ.ย.62 ปิดที่ 1,717.14 จุด ลบ 0.68 จุด มูลค่า การซื้อขาย 81,233.98 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 4,589.09 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 49 บาท บวก 0.25 บาท, AOT ปิด 74.50 บาท บวก 0.25 บาท, PTTEP ปิด 135 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, BEM ปิด 11.30 บาท ลบ 0.10 บาท และ CPALL ปิด 85.50 บาท บวก 0.50 บาท

ตลาดแกว่งผันผวนทั้งในแดนบวกและลบ หลังเด้งรับ-รับรู้ปัจจัยบวกไปค่อนข้างมากแล้ว และตัวเลขส่งออกไทยเดือน พ.ค.ยังหดตัวต่อเนื่อง

ขณะที่ บล.เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า วัฏจักรดอกเบี้ยโลกที่เป็นขาลงชัดเจน โดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐฯ ทำให้ Dollar Index มีแนวโน้ม อ่อนค่าต่อเนื่อง ในทางตรงข้ามทำให้ค่าเงินในสกุลเอเชียแข็งค่า โดยเฉพาะค่าเงินบาท/ดอลลาร์แข็งค่ามากสุดในภูมิภาค ล่าสุดอยู่ที่ 30.86 บาท ต่ำสุดในรอบ 5 ปี 11 เดือน และหากนับตั้งแต่ต้นปีแข็งค่าราว 5.12% ytd

ทั้งนี้ เงินบาทเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 31.65 บาทต่อดอลลาร์ ต่ำกว่าสมมติฐานที่เอเซียพลัสคาดปี 62 ที่ 32 บาท ซึ่งแนวโน้มเงินบาทที่มีโอกาสแข็งค่าต่อเนื่อง น่าจะกดดันประสิทธิภาพการทำกำไรหุ้นส่งออก คือ ชิ้นส่วนฯ และเกษตร-อาหาร

โดยกลุ่มเกษตรและอาหาร เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้สกุลเงินสหรัฐฯ มากกว่าต้นทุนในการผลิต โดยต้นทุนส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินบาท จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยพบว่าทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าจากสมมติฐานค่าเงินบาทเฉลี่ยปี 62 ที่ 32 บาท จะกระทบต่อแนวโน้มกำไรสุทธิกลุ่มเกษตร-อาหาร ปี 62 ให้ลดลง 4.6% จากคาดการณ์ปัจจุบัน

โดยหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากสุด เรียงตามลำดับคือ STA (FV@B13) (ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรสุทธิลดลง 7.2%) ตามด้วย KSL (FV@B3.88) กระทบกำไร 6.7%

ส่วน TU (FV@B23) ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรสุทธิลดลง 5.5% เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯราว 69% ของรายได้รวม ขณะที่มีต้นทุนการผลิตเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯราว 50% ของ รายได้รวม ซึ่งต้นทุนที่แพงขึ้นไม่สามารถชดเชยด้วยการปรับขึ้นราคาขายได้

ส่วน CPF (FV@B31.5) สัดส่วนรายได้ที่มีจากการส่งออกของ CPF ราว 5% ของรายได้รวม และมีรายได้เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯเพียง 4% โดยทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรสุทธิลดลง 4.6%

ขณะที่ BR (SWITCH FV@B3.2) ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรสุทธิลดลง 2.7%, GFPT (FV@B16.95) ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรสุทธิลดลง 2.4%.

อินเด็กซ์ 51