April 26, 2024   11:01:52 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ลุยพลังงาน-อาหาร-โรงพยาบาล งบแจ๋ว
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 21/10/2016 @ 08:15:17
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

โบรกฯ คาด SET วันนี้เริ่มอ่อนแรง แต่มองเป็นจังหวะเข้าเก็บหุ้น ใหกรอบ 1,480 - 1,500 จุด พร้อมจับตากลุ่มอุตสาหกรรมผลประกอบการเด่น ทั้งพลังงาน - ปิโตรฯ - อาหาร และโรงพยาบาล น่าสนใจ ฟากปัจจัยนอกยังต้องติดตามเพียบ หลัง ฮิลลารี่เต็งเป็นปธน.สหรัฐฯ - ประชุม ECB จ่อใช้นโยบายดบ.ติดลบ และปัญหาฟองสบู่อสังหาจีนที่ยังไม่จบ แนะหุ้นเด่น CPF - TACC - PTTGC - IVL - BCH- ERW

ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสไปต่อ หลังนักวิเคราะห์ ประเมินว่าหลังจากหมดรอบการประกาศผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หุ้นกลุ่มที่จะได้รับความสนใจตามมา คือกลุ่ม พลังงาน - ปิโตรเคมี - อาหาร และโรงพยาบาล ที่คาดว่างบไตรมาส 3/2559 จะโดดเด่น และอาจจะดีต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 4/2559
โดยวานนี้ ตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายที่ระดับ 1492.73 จุด เพิ่มขึ้น 6.45 จุด หรือ 0.43% มูลค่าการซื้อขาย 51,214.62ล้านบาท โดยสัดส่วนการซื้อขายสุทธิ นักลงทุนสถาบัน - บัญชีหลักทรัพย์ - ต่างชาติ ซื้อสุทธิ 1,207.89 498.37 และ 1,223.51 ล้านบาทตามลำดับ ส่วนนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,929.77 ล้านบาท

*** คาด SET เริ่มอ่อนแรง - แต่เป็นจังหวะรอซื้อ
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า หุ้นไทยวันนี้มีโอกาสแกว่งตัวผันผวนในกรอบแคบและมี Upside จำกัดมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะย่อตัว ด้วยแรงกดดันตามที่กล่าวข้างต้น ขณะที่งบ Q3/59 มองว่าไม่ได้ทำให้ภาพรวมดัชนีฯ ดูดีมากนัก มีเพียงหุ้นรายตัวเท่านั้นที่จะโดดเด่น
นอกจากนี้ แรงขายของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา แม้จะมองว่าเป็นเรื่องปกติที่มักจะขายออกมาก่อนเดือน ธ.ค. ที่เป็นช่วงหยุดยาว และเมื่อเทียบกับช่วงที่ซื้อหนักในเดือน มิ.ย.-ส.ค. กว่า 1 แสนล้านบาท ยังถือว่าขายออกมาน้อย แต่ก็ส่งผลกระทบเชิงลบในแง่จิตวิทยาพอสมควรเช่นกัน
"โดยภาพรวมแล้วงบไตรมาสสามไม่ได้ทำให้ดัชนีฯ โดดเด่น มีเพียงหุ้นรายตัว ไม่ใช่รายกลุ่มด้วย ควรรอซื้อเมื่อราคาย่อตัวในหุ้นรายตัวที่งบไตรมาสสามโดดเด่น" นายสมชายกล่าว
ด้านกลยุทธ์ แนะรอซื้อหุ้นรายตัวที่คาดว่างบ Q3/59 ออกมาดี ในจังหวะที่ราคาย่อตัว พร้อมกับประเมินแนวรับ 1,480 จุด +/- แนวต้าน 1,500 จุด +/-

*** อาหาร - โรงพยาบาล - ปิโตร น่าสนใจ
นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หุ้นกลุ่มที่ผลประกอบการน่าจะเติบโตโดดเด่นในไตรมาส 3 ปีนี้ ได้แก่ กลุ่มอาหาร กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มปิโตรเคมี
โดยในกลุ่มอาหารคาดว่าจะได้รับผลดีจากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัว ประกอบกับราคาเนื้อสัตว์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นตัวหนุนรายได้และกำไรในไตรมาส 3 เติบโตอย่างโดดเด่น แนะนำหุ้นเด่นของกลุ่มอาหาร CPF จากราคาเนื้อสัตว์เริ่มฟื้นตัวให้ราคาเป้าหมาย 35.50 บาท และ TACC จากการบริโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัว ให้ราคาเป้าหมายที่ 10.40 บาท
กลุ่มปิโตรเคมีแนะนำ PTTGC เนื่องจากธุรกิจเริ่มกลับมาเปิดใช้กำลังการผลิตได้มากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้มีปริมาณการขายมากขึ้น ให้ราคาเป้าหมายที่ 70 บาท และ IVL ที่มีทิศทางเติบโตตามยอดขายของกลุ่มค้าปลีก ให้ราคาเป้าหมาย 41 บาท
ด้านกลุ่มโรงพยาบาลเป็นกลุ่มที่เป็นช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 3 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนส่งผลให้มีจำนวนผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก สำหรับหุ้นเด่นในกลุ่มสุขภาพแนะนำ BCH รับผลดีจากการฟื้นตัวของโรงพยาบาลเวิล์ดเมดิคัลเซ็นเตอร์ที่บริษัทเข้าลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ให้ราคาเป้าหมายที่ 14.70 บาท

*** ท่องเที่ยว Q4/59 ยังไหว ยก ERW เป็นหุ้นเด่น
สำหรับหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะเติบโตโดดเด่นในไตรมาส 4/2559 นางสาวธีรดา แนะนำหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว แม้บรรยากาศการท่องเที่ยวจะยังไม่สดใสเนื่องจากมีข่าวลือความไม่สงบเข้ามากดดัน แต่น่าจะส่งผลเพียงระยะสั้นเท่านั้น และจำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย สำหรับหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเติบโตโดดเด่นในไตรมาส 4 แนะนำ ERW เนื่องจากในปีนี้ยังไม่มีปัจจัยความไม่สงบเข้ามากดดันมากนัก ทำให้รายได้และกำไรน่าจะกลับมาฟื้นตัวตามปกติ ให้ราคาเป้าหมายที่ 6.25 บาท
กลยุทธ์ในไตรมาส 4 แนะนำเก็งกำไรในลักษณะขึ้นขายลงซื้อ โดยแนะนำซื้อหากดัชนีฯไม่หลุดแนวรับที่ 1,440 จุด และขายทำกำไรเมื่อดัชนีฯเข้าใกล้ 1,500 จุด สำหรับการซื้อเพื่อลงทุนแนะนำ เข้าซื้อเมื่อดัชนีฯปรับตัวลดลงใกล้ระดับ 1,380 จุด เนื่องจากเป็นระดับที่เหมาะสม
อย่างไรก็ดีบรรยากาศที่ไม่เอื้อต่อการลงทุนในประเทศน่าจะเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้นเท่านั้น และคาดว่าจะไม่ส่งผลไปถึงการลงทุนในปีหน้า แนะนำนักลงทุนติดตามความผันผวนจากต่างประเทศมากกว่า

*** บล.เอเซียพลัส แนะจับตากลุ่มพลังงาน ชี้โตได้ดีกว่ากลุ่มอื่น
บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า การประกาศงบฯ Q3/59 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ใกล้เสร็จสิ้นแล้ว หลังจากนี้ ก็จะเข้าสู่การรายงานงบฯ ของ Real Sector เริ่มจากกลุ่มพลังงาน (โดยเฉพาะธุรกิจน้ำมัน และโรงกลั่น) และกลุ่มปิโตรเคมี แม้ โดยคาดผลการดำเนินงานของผู้ประกอบธุรกิจน้ำมัน ใน Q3/59 จะลดลงจาก Q2/59 จากราคาน้ำมันดิบโลกที่อ่อนตัวลง (ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบ Q3/59 อยู่ที่ 43.30 เทียบกับ Q2/59 ที่ 43.47 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล) จึงไม่มีการบันทึกกำไรจากสต็อกน้ำมันในระดับสูงเช่นที่เกิดขึ้นในงวด Q2/59 (กระทบ PTT และโรงกลั่น TOP, IRPC, BCP, PTTGC) รวมทั้งปริมาณขายที่ลดลงตามความต้องการใช้ที่ชะลอตัว ขณะที่ต้นทุนมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น (กระทบต่อ PTTEP) เช่นเดียวกับธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี Q3/59 คาดจะถูกกดดันจากค่าการกลั่นที่ลดลงตามการเข้าสู่ช่วง low season, spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลง รวมทั้งการบันทึกกลับเป็นขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (TOP, IRPC, BCP, PTTGC)
แต่อย่างไรก็ตามคาดว่า 4Q59 จะฟื้นตัวดีขึ้น จากปัจจัยฤดูกาลที่จะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว (ความต้องการใช้น้ำมันและค่าการกลั่นให้ปรับตัวดีขึ้น) ทำให้กำไรสุทธิธุรกิจปิโตรเลียมปีนี้จะเติบโตราว 20%yoy นำโดย IRPC เติบโต 10%yoy, TOP เติบโต 9.7%yoy สวนทางกับ PTT กำไรปกติหดตัว 8.9%yoy และ PTTEP กำไรปกติหดตัว 31.7%yoy และ คาดว่าในปี 2560 จะกลับมาเติบโตได้ต่อเนื่อง ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบของฝ่ายวิจัยที่ 55 เหรียญฯต่อบาร์เรล โดย PTTEP จะกลับมามีกำไรและเติบโตมากสุด 42% รองลงมาคือ PTT กำไรเพิ่มขึ้น 15.3% และ BCP กำไรเติบโต 16.3%yoy
ภายใต้แนวโน้มจึงคาดว่า กลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี น่าจะเป็นกลุ่มหลักที่ยังเห็นการเติบโตได้ดีกว่ากลุ่มอื่นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ โดยฝ่ายวิจัยชอบ IRPC (FV@B6.50) มากที่สุด เนื่องจากยังมี upside สูงถึง 35% และ P/E ต่ำเพียง 10.6 เท่า และยังคาดหวังเงินปันผลได้สูงถึง 4.6% นอกจากนี้ ยังชอบ PTT และ PTTEP ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่แนะนำสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว

*** "ฮิลารี่" เต็งจ๋า ปธน.สหรัฐฯ - จับตาฟองสบู่อสังหาในจีน
นายชาตรี โรจนอาภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (KTBST) ประเมินภาพรวมต่างประเทศ ว่า การโต้วาที (Debate) ครั้งที่ 3 ของผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จบลงไป คะแนนนิยมของนางฮิลารี คลินตัน เพิ่มมากขึ้น เพราะคนเริ่มมองกันว่านโยบายของ นายโดนัล ทรัมป์ อาจทำได้ไม่จริง ดังนั้นการเลือกตั้งจริงในวันที่ 8 พ.ย. 2559 นี้ นางฮิลารี จึงมีโอกาสมากขึ้น ขณะเดียวกัน การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในเดือน ธ.ค.ยังมีแนวโน้มที่ปรับขึ้นอยู่ตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ส่วนกระแสข่าวที่พูดถึงความขัดแย้งของสหรัฐฯกับรัสเซียในซีเรียจนอาจเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 นั้น เชื่อว่า ความขัดแย้งดังกล่าวไม่น่าจะรุนแรงและบานปลายจนไปถึงขั้นเกิดสงครามโลกได้ เพราะผลประโยชน์ในซีเรียนั้นไม่มีมากถึงขนาดที่จะทำให้ทั้งคู่ก่อสงครามขึ้นจริง
ขณะที่ในเอเชีย ตัวเลข GDP ของจีนในไตรมาสที่ 3 ที่ออกมาอยู่ที่ระดับ 6.7% เท่ากับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ แต่ที่น่ากังวลคือราคาอสังหาฯที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นจำเป็นต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะอาจนำมาซึ่งปัญหาหนี้และฟองสบู่ได้
ส่วนทางด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจเห็นการส่งสัญญาณว่า ECB อาจจะใช้มาตราการอัตราดอกเบี้ยติดลบในเร็วๆนี้รวมถึงการปล่อยกู้ให้ฟรีในวงเงินกว่า 1.7 ล้านล้านยูโร เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
“ แนะนำทยอยสะสมหุ้นไทยจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทยอยขายทำกำไรหุ้นยุโรปจากปัญหาในกลุ่มธนาคารในยุโรป และการลงทุนในน้ำมันที่ปรับขึ้นทดสอบระดับสูงสุดของปี สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ KTBST ยังคงแนะนำให้สะสมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพยและโครงสร้างพื้นฐานและหุ้นกู้เอกชนไทย” นายชาตรี

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com