April 27, 2024   3:28:07 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ครึ่งปีหลังได้เห็นดัชนีฯ 1600 จุด
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 23/06/2015 @ 08:26:02
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

วงการบล.-บลจ. ประสานเสียง หุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ฟันธงมีโอกาสเห็น 1,600 จุดอีกครั้งในครึ่งปีหลัง จากการลงทุนใหญ่ภาครัฐ ทำเม็ดเงินสะพัด ขณะที่ภาคท่องเที่ยวมีแนวโน้มดีขึ้น มอง ICAO ขึ้นธงแดง - ไวรัสเมอร์ส กระทบจิตวิทยาช่วงสั้น พร้อมคาดภาคส่งออกฟื้นตัวหลังเงินบาทอ่อนค่า ดันกำไร บจ.ปีนี้ยังโตได้ 15-20% แนะนักลงทุนฉวยจังหวะเก็บหุ้นหากดัชนีฯต่ำกว่า 1,500 จุดในสัปดาห์นี้

แม้ว่าหุ้นไทยในช่วงปลายไตรมาส 2/58 จะออกอาการเซไปบ้าง จนดัชนีฯปรับตัวลดลงหลุด 1,500 จุดหลายครั้ง สาเหตุจากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้บรรดานักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ออกมาปรับลดคาดการณ์ดัชนีฯปีนี้ลงจากที่เคยมองถึงระดับ 1,700 จุด เหลือเพียงแค่ 1,500 จุดปลายๆ ถึง 1,600 จุดต้นๆเท่านั้น ยิ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีปัจจัยลบซ้อนเข้ามาถึง 2 เรื่อง ทั้งกรณีองค์กรการบินระหว่างประเทศ (ICAO) ที่ปักธงแดงกรมการบินพลเรือน (บพ.) ของไทยสู่สาธารณะ ว่ามีมาตรฐานการบินไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล และการพบผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สในประเทศไทย ทำให้เกิดความกังวลขึ้นอีกครั้งว่าดัชนีฯในระดับที่ถูกปรับลดลงมาแล้วคือ 1,600 จุด จะมีโอกาสไปถึงหรือไม่

** บลจ.ฟันธงครึ่งปีหลังได้เห็น 1,600 จุด
จากการรวบรวมความเห็นของผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) พบว่าส่วนใหญ่ต่างมองว่าหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งมีโอกาสที่ดัชนีฯจะปรับขึ้นเหนือระดับ 1,600 จุดอีกครั้ง
โดยนายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ. ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะปรับตัวดีกว่าครึ่งปีแรก โดยมองกรอบดัชนีอยู่ที่ประมาณ 1,500-1,600 จุด เนื่องจากจะได้รับปัจจัยบวกจากภาครัฐมีความชัดเจนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ มากขึ้น และจะเริ่มมีการประมูลหลายๆโครงการ
ส่วนการท่องเที่ยวมีการเติบโตที่ดีจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวจำนวนมาก แม้ขณะนี้อาจจะได้รับผลกระทบจากไวรัสเมอร์ส แต่จะกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนระยะสั้นเท่านั้นมองว่าจะไม่ร้ายแรง และเชื่อว่ากระทรวงสาธารณสุขไทยสามารถควบคุมได้
ขณะที่เงินบาทที่อ่อนค่าลง จะส่งผลดีต่อการส่งออกให้เพิ่มขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจะส่งผลดีทำให้ต้นทุนในการลงทุนของผู้ประกอบการลดลง โดยแนะนักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวที่ได้รับผลดีจากการท่องเที่ยวและโครงการภาครัฐที่จะเกิดขึ้น
"ในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก มองว่าดัชนีไม่น่าจะลงไปต่ำกว่า 1,470 จุด โดยคาดกรอบดัชนีน่าจะแกว่งตัวอยู่ที่ 1,500-1,600 จุด แต่ขึ้นอยู่กับภาครัฐจะมีการผลักดันการลงทุนได้ออกมามากน้อยแค่ไหน" นายบุญชัย กล่าว
นายพงศ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย มองดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ 1,650 จุด บนพื้นฐาน P/E ที่ 16-17 เท่า จากปัจจุบัน P/E ที่ 20 เท่า ซึ่งคาดว่าจะลดลงมาในระดับดังกล่าวได้ เนื่องจากมองว่าตลาดหุ้นครึ่งปีหลังอาจจะทรงจากปัจจุบัน แต่การที่ระดับดัชนีฯ มีการปรับตัวลดลงนั้นถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะซื้อสะสมระยะยาว 5-10 ปี
อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องของรัฐธรรมนูญและกรอบระยะเวลาในการเลือกตั้งที่ยังไม่มีความชัดเจนหากเกิดความชัดเจนตรงนี้ได้จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างประเทศที่ขณะนี้มีการขายสุทธิไปมากพอสมควร

**คาดกำไร บจ.โต 15-20%
นอกจากนี้มองว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปีนี้จะเติบโตได้ 15-20 % ซึ่งต้องติดตามการลงทุนโครงสร้างพื้นของภาครัฐ ที่จะส่งผลบวกต้องหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง หรือหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการภาครัฐอื่นๆ รวมไปถึงหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวด้วยแม้ปัจจุบันอาจจะโดนผลกระทบจากโรคเมอร์สและองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ที่ติดสัญลักษณ์ธงแดงหน้าประเทศไทยบนเว็บไซด์ของ ICAO แต่มองว่าปัจจัยดังกล่าวน่าจะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนระยะสั้นมากกว่า นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตร จะได้รับผลดีจากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้นจากภัยแล้ง
สำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF ยังเป็นที่น่าสนใจอยู่ มองว่าทางภาครัฐยังคงจะมีการต่ออายุของ LTF ไปอีก แต่อาจจะจำกัดการลดหย่อนให้น้อยลงเพื่อไม่ให้บางคนใช้ LTF เป็นโอกาสในการเลี่ยงภาษี

** หุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บลจ. ทิสโก้ เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยขณะนี้ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จึงมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 9% จากปัจจุบันที่ระดับ 1,500 จุด ไปอยู่ที่ 1,640 จุด เนื่องจากได้รับผลดีจากโครงการภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องระมัดระวังคือการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) หากปรับขึ้นดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปีนี้ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะไม่ผันผวนเพราะได้รับข่าวไปแล้ว เว้นแต่การปรับขึ้นนั้นมากกว่า 1-2 ครั้ง จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้น แต่ที่ผ่านมาพบว่า นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นไทยออกไปมากแล้ว หากเฟดขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดเชื่อว่าจะมีเงินไหลออกไม่มาก
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ช่วงที่เหลือของปีนี้ นักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นที่จะได้รับผลดีจากการลงทุนของภาครัฐ คือ วัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง กลุ่มแบงก์ โดยเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง เน้นลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) ที่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง คือหุ้นกลุ่มการบริโภคในประเทศ และส่งออก จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และประเทศต่างๆ ที่พยายามทำให้ค่าเงินของตัวเองอ่อนค่าลง ทำให้มีการแข่งขันทางด้านราคามากขึ้น
" ดัชนีตลาดหุ้นไทยจากนี้ คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 9% จะไปอยู่ที่ 1,640 จุดได้ จากปัจจัยการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งนักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง ในหุ้นขนาดเล็กเพราะให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งกองทุนทิสโก้ Small Cap จากต้นปีถึงปัจจุบันให้ผลตอบแทน 30% เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันปรับตัวขึ้นไม่ถึง 1% แต่นักลงทุนควรมีการกระจายการลงทุนไปต่างประเทศด้วย เพราะการลงทุนในต่างประเทศให้ผลตอบแทนที่ดีประมาณ 10%" นายธีรนาถกล่าว
นายกรวุฒิ ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.อเบอร์ดีน คาดว่า ดัชนีหุ้นไทยจากนี้ไป ไม่น่าจะปรับลงไปต่ำกว่านี้ หรือหากจะปรับขึ้นก็คงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากรอปัจจัยบวกเข้ามาหนุน คือเห็นความชัดเจนการลงทุนของภาครัฐ

**คาดปลาย Q2/58 - ต้น Q3/58 ยังย่ำอยู่ที่ 1,480-1,550 จุด
ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า มองแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,480 -1,650 จุด บนพื้นฐานการเติบโตการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนที่ 10% และมีระดับ P/E ที่ 15.5 เท่า แต่ในช่วงปลายไตรมาส 2 ถึง ต้นไตรมาส 3/2558 คาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,480-1,550 จุด ซึ่งในช่วงนี้ยังขาดปัจจัยทั้งบวกและลบ แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วงปลายไตรมาส 3/2558 ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้น ผลจากปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยปัจจัยในประเทศคาดว่าจะได้ความชัดเจนในเรื่องของการร่างรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้ง และการลงทุนภาครัฐ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศคือ ความชัดเจนเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และปัญหาของกรีซ
สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุน แนะเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มที่แม้ว่าเศรษฐกิจจะมีการชะลอตัว แต่ประชาชนยังต้องมีการใช้บริการ และบริโภคสินค้านั้นๆอยู่ เช่น หุ้นกลุ่มสื่อสาร หุ้นกลุ่มบริโภค เช่น CPALL นอกจากนี้ควรลงทุนหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนปันผลสูง
สอดตล้องกับ นายธวัชชัย อัศวพรไชย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเอสแอล เปิดเผยว่า ยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,585 จุด แต่มีโอกาสทะลุ 1,600 จุด หากโครงการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐเริ่มดำเนินการเชิงปฎิบัติได้ตั้งแต่ต้นไตรมาส 3/58 ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งจะทำให้ภาคเอกชนเดินหน้าลงทุนตามไปด้วย เพราะปัจจุบันอยู่ระหว่างการรอดูท่าทีของภาครัฐบาล
อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวลงแรงๆ มีแนวรับที่ 1,485-1,476 จุด โดยให้ติดตามปัจจับลบจากต่างประเทศเกี่ยวกับกรณีกรีซจะถูกถอดออกจากกลุ่ม EU ส่วนในประเทศให้ติดตามเรื่องไวรัสเมอร์ส เพราะหากพบผู้ติดเชื้อเพิ่มอาจจะส่งผลกระทบอย่างแน่นอน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำเข้าทะยอยสะสมหุ้นกลุ่มหลักเช่น พลังงานและธนาคารหากดัชนีฯ ลงไปใกล้แนวรับ เพราะมองว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนในปีหน้า หลังธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินจีดีพีปี 59 เติบโต 4.6% นอกจากนั้นให้หาจังหว่ะเล่นรอบหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีรองรับช่วงที่ดัชนีฯ แกว่งตัว

** คาด SET สัปดาห์นี้ขยับในกรอบ 1,470-1,510 จุด
ด้านนายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ เปิดเผยว่าภาวะตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ คาดปัจจัยภายในประเทศยังคงกดดันตลาดหุ้น ทั้งการที่องค์กรการบินระหว่างประเทศ (ICAO) ที่ปักธงแดงกรมการบินพลเรือน (บพ.) ของไทยสู่สาธารณะ ว่ามีมาตรฐานการบินไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล และการพบผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สในประเทศไทย และความกังวลของต่างชาติว่าจะมีการระบาดเหมือนกับในเกาหลี ทำให้กระทบต่อตลาดหุ้นไทยเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน และน่าจะส่งผลกระทบในเชิงลบไปอีกระยะทั้งต่อตลาดหุ้นและการท่องเที่ยวในไทยซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวตะวันออกกลางค่อนข้างเยอะ ทำให้ต่างชาติมีความกังวลเรื่องการระบาดของโรค จากนักท่องเที่ยวชาวตะวันออกกลางในไทย แต่โดยรวมแล้ว ทางเรามั่นใจว่า ด้วยระบบการแพทย์ของไทยที่ทันสมัย และการที่เราได้รับบทเรียนจากเกาหลี น่าจะทำให้ไทยมีมาตรฐานการป้องกันการระบาดของโรคได้อย่างดี
ด้านปัจจัยภายนอกประเทศ ปัญหาหนี้สินของกรีซยังคงกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ โดยในต้นสัปดาห์นี้ จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำประเทศในกลุ่มยูโรโซน เพื่อหาทางแก้ไขปัญหากรีซไม่ให้ผิดนัดชำระหนี้ ด้านธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ตลาดเริ่มคลายความกังวลในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนกันยายน นี้ หลังจากประธาน Fed ส่งสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปสิ้นปีแทน
“ด้านเทคนิค สัปดาห์นี้เรามองแนวรับสัปดาห์นี้มองกรอบ SET Index ที่ 1,470-1,510 จุด โดยในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวนนี้ เราแนะนำให้ลงทุนในหุ้น Defensive ที่ทนทานต่อความผันผวนต่อตลาดสูง และมี P/BV ต่ำ เช่น PTTEP, PTTGC, PTT, BAY และ BBL และแนะนำหุ้นปันผล เช่น หุ้น BTS ที่มี P/BV ต่ำที่ 2 เท่า และมี Dividend yield สูง ที่ระดับ 7% และหุ้น THCOM และ INTUCH ที่มี Dividend yield สูงเช่นกัน” นายวรุตม์ กล่าว
นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้าน Trading Idea ของ บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำลงทุนในหุ้น IVL ของ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ซึ่งอยู่ในหมวดธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลางชั้นนำระดับโลกและเป็นบริษัทชั้นนำในการผลิตการผลิตขวดพลาสติก PET รวมถึง เส้นด้ายระดับโลก โดย IVL ขยายกิจการด้วยวิธีการเข้าซื้อกิจการ และการควบรวมกิจการ (Merger and acquisition) ในยุโรป และเอเชีย ในปีนี้ คาดว่า IVL จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากความต้องการในขาดพลาสติก PET ประกอบกับส่วนต่าง หรือ spread ของราคาปิโตรเคมี นั้นถึงจุดต่ำสุดไปแล้วและกำลังอยู่ในขาขึ้นซึ่งส่งผลให้หุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี รวมถึง IVL กลับมาฟื้นตัว
“ในปีนี้ Bloomberg consensus คาดการณ์การเติบโตกำไรของ IVL ที่ระดับ 148% และปีหน้าที่ 25% โดยหุ้น IVL มี P/E ratio อยู่ที่ 25 เท่า ไม่สูงหากเทียบกับการคาดการณ์กำไร และมี P/BV ที่ระดับ 1.8 เท่า ซึ่งอยู่ระดับต่ำค่อนไปทางปานกลาง ซึ่ง P/BV ถือเป็นอัตราส่วนทางการเงินสำคัญบ่งชี้ความทนทานในทางทฤษฎี ต่อความผันผวนของตลาดได้ดี สำหรับสัญญาณทางเทคนิค เกิดสัญญาณซื้อทั้งรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ซึ่งเป็นการยืนยันว่าหุ้น IVL อยู่ในขาขึ้นแบบแข็งแกร่ง ซึ่งราคาน่าจะเบรก high เดิมที่ 29.25 บาท และขึ้นทำจุด high ใหม่ที่ 32 บาทได้” นายวรุตม์ กล่าว


 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com