April 27, 2024   8:24:33 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > TUFทุ่ม4.8หมื่นลบ.ซื้อ"บัมบัลบี"
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 22/12/2014 @ 08:43:11
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

"ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์" ทุ่มงบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 4.8 หมื่นลบ. ซื้อ"บัมเบิลบี ซีฟู้ดส์" 100% ดันมาร์เก็ตแชร์ตลาดปลาทูน่าในอเมริกาขึ้นอันดับ 1 เพิ่มรายได้ทันที 25% แถมช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นอีก 2-3% แตะ 17-18% มั่นใจปีหน้ารายได้แตะ 5 พันล้านเหรียญ พร้อมบุกตลาดตะวันออกกลาง-อาเซียน-อเมริกาใต้ ด้าน"เอเซีย พลัส" แนะซื้อ เตรียมเพิ่มประมาณการราคาเหมาะสมไปที่ 102-103 บาท

*TUF ทุ่ม 4.8 หมื่นลบ. ซื้อ"บัมเบิลบี ซีฟู้ดส์"100% ลั่นทำกำไรทันที เพิ่มรายได้25 %
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) เปิดเผยว่า วันนี้บริษัทได้บรรลุข้อตกลงของการเข้าถือหุ้นจำนวน 100 เปอร์เซนต์ ของบริษัท บัมเบิลบี ซีฟู้ดส์ ซึ่งเป็นแบรนด์อาหารทะเลสำเร็จรูปที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งการเข้าซื้อกิจการนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพของกลุ่มผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลสำเร็จรูปพร้อมรับประทานในประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา
สำหรับบัมเบิลบี ซีฟู้ดส์ ถือครองกรรมสิทธิโดยกองทุนไลออน แคปิตอล การรวมกิจการโดยทียูเอฟครั้งนี้มีมูลค่าถึง 1.51 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4.8 หมื่นล้านบาท* ซึ่งภายหลังจากการรวมกันแล้ว มูลค่าของธุรกรรมนี้อยู่ที่ 8.6 เท่าของกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ และค่าเสื่อมราคาของบัมเบิลบีในปี 2557 โดยประมาณ
การเข้าซื้อกิจการของบัมเบิลบี ซีฟู้ดส์ จะส่งผลให้กลุ่มบริษัทไทยยูเนี่ยน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการบริหารจัดการวัตถุดิบและการผลิต รวมไปถึงการสร้างความก้าวหน้าในนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดทวีปอเมริกาเหนือ ของทียูเอฟ
"ข้อตกลงการซื้อกิจการครั้งนี้ ถือเป็นการซื้อกิจการครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท และเป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับการสร้างการเติบโตทางธุรกิจด้วยการเข้าซื้อกิจการ ซึ่งเมื่อการดำเนินการทั้งหมดเสร็จสิ้นจะเพิ่มการทำกำไรให้ทียูเอฟทันที รวมทั้งเพิ่มรายได้และกระแสเงินสดของกลุ่มบริษัทที่ 25 เปอร์เซนต์ โดยประมาณ
บัมเบิลบี ซีฟู้ดส์ เป็นผู้นำด้านอาหารทะเลสำเร็จรูปในทวีปอเมริกาเหนือ เมื่อรวมธุรกิจกับกลุ่มบริษัทไทยยูเนี่ยนแล้ว จะลดต้นทุนการดำเนินงาน ปรับปรุงประสิทธิภาพ และการสร้างความเป็นผู้นำระดับโลกในด้านอาหารทะเลสำเร็จรูป ความมุ่งมั่นของเราคือการกำหนดอนาคตของนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหารทะเลสำหรับคนอีกหลายรุ่นต่อไป"นายธีรพงศ์ กล่าว

* คาดดีลแล้วเสร็จ Q2/58
นายชาน ชู วิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชิคเก้นออฟเดอะซี อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าว?? บัมเบิลบี ซีฟู้ดส์ มีสำนักงานใหญ่ที่ซานดิเอโก แคลิฟอร์เนีย และมียอดขายโดยประมาณมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้และค่าเสื่อมที่ 145 ล้านเหรียญสหรัฐโดยประมาณในปี 2557 บัมเบิลบี มีพนักงานจำนวนกว่า 1,300 คน ที่ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลบรรจุกระป๋องและบรรจุถุง ครอบคลุมตลาดในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา??มร. ลินดอน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไลออน แคปิตอล กล่าวเสริมว่า “การเข้าซื้อกิจการบัมเบิลบี โดยกลุ่มไทยยูเนี่ยนครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงอีกก้าวที่น่าตื่นเต้นของการพัฒนาทางธุรกิจ เรามีความภูมิใจที่มีบทบาทสำคัญต่อวิวัฒนาการของบัมเบิลบีตลอดสี่ปีที่ผ่านมา และขอขอบคุณพันธมิตรทางธุรกิจของเรา ??มร. คริส ลิสชิวสกี้ และทีมผู้บริหาร ที่ช่วยให้เราบรรลุผลสำเร็จในผลตอบแทนการลงทุน เรามีความยินดี เป็นอย่างยิ่งที่ได้ค้นพบบ้านใหม่สำหรับบัมเบิลบี ที่เป็นที่ยอมรับในศักยภาพอย่างทียูเอฟ ซึ่งมีคุณสมบัติอันโดดเด่นในการสร้างการเติบโตและต่อความก้าวหน้าให้กับธุรกิจบัมเบิลบีต่อไปในอนาคต”
มร. คริส ลิสชิวสกี้ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบัมเบิลบี ซีฟู้ดส์ กล่าวว่า “ผมเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า ไทยยูเนี่ยนและบัมเบิลบี ซีฟู้ดส์ แสดงให้เห็นถึงการรวมกันอย่างเป็นธรรมชาติด้วยพลังเสริมส่งซึ่งกันและกันของทั้งสององค์กร เราต่างยึดวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นต่อการสร้างนวัตกรรม ความเป็นเลิศในการปฏิบัติการ การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และการสร้างคุณค่าต่อลูกค้าของเรา ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายเหตุผลของการรวมกันครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดีต่อลูกค้า ผู้บริโภค และอุตสาหกรรมของเราในภาพรวม ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เราต่างมุ่งมั่นในการส่งเสริมบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำด้านอาหารทะเลที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ”
การดำเนินการซื้อกิจการดังกล่าวนี้ ยังคงอยู่ในระหว่างขั้นตอนการอนุมัติโดยกระทรวงการยุติธรรมของสหรัฐฯ รวมทั้งเงื่อนไขการปิดดีลที่กำหนดไว้ในข้อตกลงการซื้อกิจการ ขณะที่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าข้อตกลงการซื้อกิจการ 100 เปอร์เซนต์จะบรรลุเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ แต่กลุ่มบริษัทไทยยูเนี่ยนและบัมเบิลบี คาดการณ์ว่าข้อตกลงทางธุรกิจนี้จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์อย่างเป็นทางการภายในไตรมาสที่สองของปี 2558

* ขึ้นแท่น เป็นอันดับ 1 ส่วนแบ่งตลาดปลาทูน่า
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุว่า TUF ประกาศซื้อกิจการ 100% ใน Bumble Bee ผู้ผลิตและจำหน่ายปลาทูน่ากระป๋องขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของตลาดสหรัฐฯ ด้วยมูลค่า US$1,510 ล้าน หรือประมาณ 4.9 หมื่นล้านบาท คิดเป็นการซื้อที่ EV/EBITDA 10.5 เท่า แพงกว่าที่เคยซื้อ MWB เล็กน้อย แต่ Bumble Bee มีศักยภาพในการทำกำไรสูง มี EBITDA margin 14% สูงกว่า TUF ที่มีมมาร์จิ้น 7-8% เรามองว่าเป็นพัฒนาการที่ดีของ TUF ทำให้ส่วนแบ่งตลาดปลาทูน่าของ TUF ที่มีอยู่ในตลาดสหรัฐฯ 19% (อันดับ 3) รวมกับ Bumble Bee 28% เป็น 47% ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แซงหน้า Starkist (30%) ได้ในทันที เช้านี้มีประชุมนักวิเคราะห์ เราจะรายงานรายละเอียดอีกครั้ง

* "เอเซีย พลัส" แนะซื้อ เตรียมเพิ่มราคาเหมาะสมเป็น 102-103 บาท
บทวิเคราะห์ บมจ.หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกมากต่อการเข้าซื้อกิจการของ Bumble Bee ในสหรัฐฯ ซึ่งจะผลักส่วนแบ่งตลาดทูน่ากระป๋องขึ้นอันดับหนึ่งโลก และยังผลักยอดขายรวมเกิน 5 พันล้านเหรียญในปี 2558 เตรียมเพิ่มประมาณการและ FV ไปที่ราว 102-103 บาท
TUF นำส่ง Press release ชี้แจงเกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการของ Bumble Bee ในสหรัฐฯ ด้วยมูลค่า 1.51 พันล้านเหรียญฯ หรือคิดเป็น 8.6 เท่าของ EBITDA ปี 2557 โดย Bumble Bee มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในซาน ดิเอโก เป็นผู้ผลิตอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง อาทิ ปลาทูน่าและเนื้อปลาทูน่า, ปลาแซลมอน, ปลาซาร์ดีน และหอยลาย ภายใต้แบรนด์หลักๆ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในสหรัฐ ประกอบด้วย Sweet Sue, Snow's, Beach Cliff และ Wild Selections ขณะที่แบรนด์หลักในแคนาดาได้แก่ Clover Leaf ถือหุ้นใหญ่โดย Pan-Atlantic ที่เป็นกองทุนส่วนบุคคลในลักษณะ Private Equity firm – Lion Capital
การเข้าซื้อกิจการ Bumble Bee จะก่อให้เกิด Synergy ทางธุรกิจระหว่างกันได้อีกมาก ซึ่งล้วนเป็น upside ของผลการดำเนินงานในอนาคต ด้วยยอดขายเฉลี่ยที่ราว 1 พันล้านเหรียญฯ และ EBITDA ที่ราว 145 ล้านเหรียญฯ สำหรับปี 2557 เพิ่มอำนาจในการกำหนดราคาขายสินค้า และอำนาจต่อรองในการสั่งซื้อวัตถุดิบได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจาก TUF จะขึ้นแท่นเป็นผู้นำตลาดทูน่ากระป๋องในสหรัฐฯ ทันที โดยมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นสู่อันดับหนึ่งที่ 47% จากปัจจุบันที่อันดับสามที่ 28% ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไร (EBITDA Margin) ของธุรกิจในสหรัฐฯ ด้วยวิธีการตัดลดค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ซ้ำซ้อนออกไป และบริหารจัดการสต็อกสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังสามารถใช้ความได้เปรียบในธุรกิจที่ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำเพื่อช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิตในขั้นตอนต่างๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมไปถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ (High value-added products) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ได้มากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับการปรับปรุงรูปแบบการทำธุรกิจของ Chicken of the Sea (COTS) จนประสบผลสำเร็จ สะท้อนได้จากยอดขายของ COTS ในปีที่เข้าซื้อกิจการทั้งหมด พ.ศ.2544 อยู่ที่ระดับต่ำเพียง 313 ล้านเหรียญฯ สามารถเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 460 ล้านเหรียญฯ ในปี 2556 หรือเติบโตเฉลี่ยกว่า3.24% p.a.(CAGR)
แนะนำซื้อ โดยอยู่ระหว่างการทบทวนมูลค่าพื้นฐานปี 2558 อิงวิธี DCF (WACC 7.34%) ไปที่ราว 102-103 บาท ยังมี upside รวมกว่า 15% จากราคาปัจจุบัน โดยได้รวมผลกระทบเรื่องการเพิ่มทุนในสัดส่วนราว 12.5% ของทุนเดิม พร้อมกับการก่อหนี้เพื่อเข้าซื้อกิจการ ด้วยมุมมองที่ยังเป็นบวกต่อแนวโน้ม D/E หลังเพิ่มทุนยังอยู่ที่ 1.5 เท่า คงความสามารถที่จะจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้แน่นอน

* "เมย์แบงก์ กิมเอ็ง" คาดธุรกิจกุ้ง TUF ปีหน้ามีกำไรเพิ่มขึ้น ราว 10-20%
บทวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง บมจ. ไทยยูเนี่ยนโฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF)ปรับเพิ่มประมาณการและราคาเป้าหมาย ??ประเด็นการลงทุน: เราปรับประมาณการขึ้นอีกเพื่อสะท้อนอัตรากำไรที่สูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบปลาทูน่าลดลงต่อเนื่องซึ่งส่งผลบวกต่อธุรกิจแบรนด์ อีกทั้งคาดว่าปริมาณขายทูน่าจะเพิ่มขึ้นในปี 2558 จากการที่ราคาวัตถุดิบเริ่มฟื้นตัวทำให้ผู้ซื้อเริ่มกลับมาสั่งซื้อ ธุรกิจ กุ้งมีแนวโน้มทำกำไรเพิ่มขึ้นจากผลผลิตกุ้งฟื้นตัว นอกจากนั้น การรวม MerAlliance และ King Oscar คาดจะทำให้กำไรปี 2558 เพิ่มขึ้น 6% จากประมาณการปัจจุบัน นอกจากการปรับประมาณการ เรายังมีการ Re-rating PER จาก 15 เท่า เป็น 16 เท่า สะท้อนถึงเสถียรภาพของกำไรจากการเพิ่มสัดส่วนสินค้าแบรนด์ ทำให้ราคาเป้าหมายเพิ่มจาก 85 บาท เป็น 95.20 บาท เราคงคำแนะนำ ซื้อ ??ปรับเพิ่มประมาณการอีกครั้ง: จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งใน 3Q57 เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ TUF ในปี 2557-2558 ขึ้น 4-5% โดยคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้เท่ากับ 5,487 ล้านบาท เติบโตถึง 92% ขณะที่ EPS เติบโต 85% เนื่องจากมี Dilution effect 3.8% จากการที่ Standard Chartered Private Equity Limited ใช้สิทธิแปลงสภาพหุ้นกู้แปลงสภาพ ทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น 45.36 ล้านหุ้น เป็น 1,193 ล้านหุ้น ส่วนในปี 2558 คาดกำไรสุทธิขยายตัวต่อเนื่อง 22% เป็น 6,680 ล้านบาท (ยังไม่รวม MerAlliance และ King Oscar)
??คาดกำไร 4Q57 ยังแข็งแกร่ง: คาดผลประกอบการ 4Q57 ลดลง QoQ ตามผลของฤดูกาลซึ่งเป็นโลว์ซีซั่น แต่คาดกำไรเพิ่มขึ้น YoY จากธุรกิจทูน่าเติบโตจากการที่ต้นทุนราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลง ส่งผลบวกต่อปริมาณขาย และ อัตรากำไรของธุรกิจแบรนด์ โดยในเดือน ต.ค. - พ.ย. ราคาปลาทูน่าปรับตัวลดลงมาที่ 1,200 และ 1,180 เหรียญ/ตัน ตามลำดับ ลดลงจากราคาเฉลี่ยของ 3Q57 ราว 23-24% ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐฯ (USPN) มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนั้น ตั้งแต่เดือน พ.ย. TUF จะเริ่มรับรู้ผลประกอบการของธุรกิจใหม่ที่ซื้อกิจการมา ได้แก่ MerAlliance และ King Oscar
??ปี 2558 เติบโตต่อ: กำไรมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง เป็นผลมาจากธุรกิจทูน่าซึ่งคาดว่าเมื่อราคาทูน่าเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ลูกค้ากลับมาสั่งซื้อมากขึ้น ธุรกิจกุ้งคาดว่ามีกำไรเพิ่มขึ้นหลังจากผลผลิตกุ้งของไทยในปี 2558 คาดจะเพิ่มขึ้นราว 10-20% นอกจากนั้น TUF จะมีการรับรู้รายได้เต็มปีจาก MerAlliance และ King Oscar ซึ่งเป็นอัพไซด์ต่อประมาณการของเรา ในเบื้องต้นคาดว่าจะทำให้กำไรของ TUF เพิ่มขึ้นราว 400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6% ของประมาณการปัจจุบัน โดยจะเพิ่มมูลค่าให้กับหุ้น TUF 5.60 บาท/หุ้น เรายังคาดว่าในปี 2558 TUF จะเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติม เนื่องจากจะทำให้ยอดขายเพิ่มเป็น 5 พันล้านเหรียญฯ ได้ตามเป้าหมายของบริษัท ??ความเสี่ยง: กุ้งฟื้นตัวช้ากว่าคาด / ราคาปลาทูน่าผันผวนมาก / ค่าเงินบาทผันผวน

*บิ๊ก TUF คาดดันอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 17-18% จากปัจจุบัน 15-17%
??นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF คาดว่าหลังจากซื้อกิจการ บัมเบิลบี จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 17-18% จากปัจจุบันที่บริษัทฯ มี Gross Margin ที่ 15-17% เนื่องจากบัมเบิลบี มี Gross Margin ที่สูงถึง 20% จึงเข้ามาช่วยทำให้ค่าเฉลี่ย Gross Margin ของบริษัทฯ สูงขึ้น และมั่นใจว่า Gross Margin ในปี 2563 จะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะอยู่ที่ 20% ได้ ??"บัมเบิลบี มี Gross Margin ที่สูงถึง 20% จากที่มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยทำให้ค่าเฉลี่ย Gross Margin ของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เมื่อมีการรวมกัน"นายธีรพงศ์ กล่าว
? ทั้งนี้ ในปีหน้าบริษัทฯ จะเน้นกลยุทธ์การตลาดในประเทศเกิดใหม่ให้มากขึ้น เช่น ประเทศแถบตะวันออกกลาง อาเซียน อเมริกาใต้ จากปัจจุบันบริษัทฯ ยังมีรายได้จากประเทศดังกล่าวไม่มาก??สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีหน้านั้นจะต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีปัจจัยเข้ามาอย่างคาดไม่ถึง ส่วนตัวมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปีหน้าจะมีการเติบโตที่ดี แต่เศรษฐกิจยุโรป ก็ต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจะมีการปรับตัวดีขึ้นหรือไม่ ขณะที่เศรษฐกิจประเทศไทยคาดว่าจะมีการปรับตัวดีขึ้นจากกำลังซื้อจะกลับมา

* มั่นใจดันรายได้เข้าเป้าที่ 5 พันล้านเหรียญ และปี 63 ที่ 8 พันล้านเหรียญ
??นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF คาดว่ากระบวนการในการซื้อกิจการ บริษัท บัมเบิลบี จะเสร็จช่วงครึ่งหลังปี 2558 เนื่องจากจะต้องใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือน ที่ต้องผ่านกระบวนการกฎหมายต่อต้านการผูกขาด" (Antitrust Law) ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถจบดีลการซื้อกิจการ บัมเบิลบี ได้สำเร็จ??ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทฯ ซื้อ บัมเบิลบี จะทำให้รายได้ของ TUF ในปี 2558 เป็นไปตามเป้าหมายที่ 5 พันล้านเหรียญ และสามารถทำให้รายได้ ปี 2563 อยู่ที่ 8 พันล้านเหรียญ ??สำหรับการเข้าไปซื้อกิจการดังกล่าวจะให้บริษัทฯมีความเข้มแข้งด้านนวัตกรรม ด้านการพัฒนาสินค้า และการผลิตสินค้า ที่ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้มีประสิทธิภาพในการผลิตจากต้นทุนการผลิตที่ลดลง มีการร่วมพัฒนาระบบไอทีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและยังทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ ดีขึ้น รวมถึงในเรื่องการจัดซื้อวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตที่จะมีต้นทุนต่ำ ??"จากการซื้อบัมเบิลบี จะทำให้รายได้ของบริษัทฯในปีหน้าเป็นไปตามเป้าหมายที่จะมีรายได้ที่ 5 พันล้านเหรียญ และทำให้มั่นใจว่ารายได้ในปี 2563 จะไปอยู่ที่ 8 พันล้านเหรียญได้ไม่ยาก"นายธีรพงศ์ กล่าว

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com