April 26, 2024   2:56:47 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > บจ.ไทยเนื้อหอม-ต่างชาติจ้องช้อป
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 28/08/2014 @ 08:28:09
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ตลาดหลักทรัพย์ฯปลื้มนักลงทุนต่างชาติแห่ร่วมงาน "ไทยแลนด์ โฟกัส"คับคั่ง ชี้ฝรั่งยังเชื่อมั่น บจ.ไทย เหตุผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง เงินสดสูง แต่หนี้สินต่ำ มั่นใจเงินทุนจะไหลกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทย ดันยอดสะสมปีนี้พลิกกลับมาเป็นบวก จากปัจจุบันขายสุทธิอยู่ 2.5 หมื่นล้านบาท ด้าน"เมอร์ริล ลินซ์"แนะรัฐเร่งกระตุ้นการบริโภค ยกเลิกกฏอัยการศึกฟื้นท่องเที่ยว หนุนจีดีพีขยายตัวสูงขึ้น ชี้ต่างชาติแห่ถือหุ้นไทยเพิ่มขึ้น-ก.ค.เดือนเดียวยอดถือครองพุ่งกว่า 1.2 พันล้านดอลล์

** ต่างชาติยังมั่นใจพื้นฐาน บจ.ไทย
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)เปิดเผยถึงการจัดงาน Thailand Focus ว่า ในปีนี้ได้รับผลตอบรับที่ดี นักลงทุนต่างชาติยังคงเชื่อมั่นพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนไทย แม้จะมีภาวะทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา โดยบจ.ไทยมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีเงินสดเฉลี่ยกว่า 7% ของสินทรัพย์ ขณะที่มีศักยภาพในการชำระหนี้ได้ถึง 6-7 เท่า
"ผู้เข้าร่วมงาน Thailand Focus ครั้งนี้ อาจจะน้อยกว่าครั้งก่อนแต่ไม่มากนัก ซึ่งน่าจะมาจากธีมของการจัดงานมากกว่า เพราะในปีก่อนนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มตลาดลุ่มแม่น้ำโขง ทำให้ได้รับความสนใจจากกองทุนตลาดเกิดใหม่ค่อนข้างมาก แต่ครั้งนี้เป็นธีมเกี่ยวกับการปฎิรูปประเทศโดยมีกองทุนขนาดใหญ่หลายกองทุนเข้ามาร่วมงาน เรามองว่าจำนวนอาจจะลดลงเล็กน้อยแต่คุณภาพเพิ่มขึ้น อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้จำนวนผู้ร่วมงานลดลงเป็นเพราะบางประเทศไม่มีนโยบายเข้ามาในประเทศที่มีกฎอัยการศึก แต่เรื่องดังกล่าวไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนเพราะเป็นปัจจัยระยะสั้น"นางเกศรา กล่าว
ทั้งนี้ พื้นฐานของ บจ.ไทยยังแข็งแกร่ง สะท้อนได้จากกำไรไตรมาส 2 ที่เติบโตกว่า 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนแม้จะมีปัญหาการเมือง เพราะบจ.ไทยมีธุรกิจทั้งในและต่างประเทศทำให้กระจายความเสี่ยงได้ในหลายภาวะการณ์ ตอนนี้นักลงทุนต่างชาติอยากเห็นการเริ่มปฏิบัติของแผนต่างๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ประกาศไว้มากกว่า หากทำได้จริงก็น่าจะทำให้เม็ดเงินจากต่างชาติไหลกลับเข้ามาได้อีก

** คาดต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสุทธิ จากปัจจุบันขายสุทธิ 2.5 หมื่นลบ.
ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)คาดว่า ในช่วงครึ่งปีหลังจะมีเม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดการซื้อสุทธิสะสมของต่างชาติกลับมาเป็นบวกได้ จากปัจจุบันที่มียอดขายสุทธิอยู่ที่ 25,133 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.ต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองนิ่ง มีรัฐบาลใหม่ มีการเดินหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย
"ในช่วงครึ่งปีหลังจะมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น จากครึ่งปีแรกตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดเดียวที่ต่างชาติมีการขายสุทธิ แต่จากสถานการณ์ในประเทศปราศจากความขัดแย้งมีรัฐบาลใหม่ที่จะมีการเดินหน้าการลงทุนและการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นที่จะกลับมาลงทุน โดยปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะโต 1.5-2% และปีหน้าคาดว่าจะโต 5-5.5%" ดร.สถิตย์ กล่าว
ดร.สถิตย์ คาดว่า อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ (Earnings Growth)บริษัทจดทะเบียนปีหน้าจะอยู่ที่ 12% เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตในระดับ 9% เนื่องจากมีรัฐบาลใหม่ทำให้มีการเดินหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตที่ดี โดยคาดว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะโต 5-5.5% ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นจะส่งผลดีกับบจ.ให้มีรายได้มากขึ้นและมีกำไรเติบโตที่ดี ซึ่งจะส่งผลทำให้เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
"จากภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคและพื้นฐานของ บจ.มีการเติบโตที่ดี โดยคาดว่าปีหน้าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิอยู่ที่ 12% ซึ่งจะเป็นแรงดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น"ดร.สถิตย์ กล่าว

*** 113 บจ.ร่วมให้ข้อมูล Thailand Focus
นางเกศรา เปิดเผยว่า การจัดงาน Thailand Focus ในปีนี้ได้รับผลตอบรับที่ดี โดยมีผู้ลงทุนสถาบันร่วมงาน 236 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ลงทุนสถาบันจากต่างประเทศ 116 รายจากกว่า 60 บริษัทที่เดินทางเข้ามารับฟังข้อมูล แสดงถึงความสนใจลงทุนในประเทศไทย ประกอบกับโดยเฉพาะแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่มีการคาดการณ์ว่าในปี 2558 จะมีอัตราการเติบโตถึง 4–5% ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจที่เติบโตตามไปด้วยเช่นกัน
ดังนั้น การที่งานนี้มี บจ.113 บริษัทเข้าร่วมให้ข้อมูล จึงเป็นจุดสนใจของผู้เข้าร่วมงาน ทำให้การประชุมรวมตลอดงานมีมากกว่า 1,122 ครั้ง และมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 700คน ทั้งผู้ลงทุน ผู้บริหาร บจ.รวมถึงแขกผู้มีเกียรติจากภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ยังมีผู้แทนจากตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา ลาว เวียดนาม และ บจ.ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเข้าร่วมงานด้วย
นายกฤติยา วีรบุรุษ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า “เงินลงทุนจากต่างชาติเริ่มทยอยกลับเข้าสู่ประเทศไทย โดยผู้ลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิตั้งแต่กรกฎาคมจนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อโอกาสในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต โดยเนื้อหาหลักที่อยู่ในความสนใจของผู้ลงทุนต่างชาติและจะมีการนำเสนอในงานครั้งนี้ ได้แก่ แนวทางการปฏิรูปประเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน นโยบายเศรษฐกิจ แผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการกำกับดูแลกิจการที่ดีของ บจ.ไทย จึงเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดงานเพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนในครั้งนี้ นอกจากจะสนับสนุนการลงทุนในตลาดทุนไทยแล้วจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันประเทศและภูมิภาคนี้ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน”

** เมอร์ริล ลินซ์ แนะกระตุ้นบริโภค-ยกเลิกอัยการศึก
นางสาวอรกัญญา พิบูลธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารแห่งอเมริกา เมอร์ริล ลินซ์ สาขาประเทศไทย กล่าวว่า คาดว่าจีดีพีของประเทศไทยในปีนี้จะเติบโตระดับ 1.8% โดยในครึ่งปีหลังจะเติบโต 3.6% จากครึ่งปีแรกที่อยู่ระดับ 0% โดยต้องการให้ภาครัฐยกเลิกกฎอัยการศึกเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว รวมไปถึงออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ซึ่งหากทำได้จะส่งให้จีดีพีเติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่ประเมินไว้
ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนของผู้ลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเดือนกรกฎาคม มูลค่าการถือครองเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเซีย การที่ผู้ลงทุนต่างประเทศมีความเข้าใจในแนวคิดในการปฏิรูปและการบริหารประเทศทำให้ทัศนคติในการลงทุนดีขึ้น ส่งผลให้ผู้ลงทุนต่างประเทศเข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่ามูลค่าการลงทุนของผู้ลงทุนต่างประเทศในปี 2557 นี้จะสูงกว่าปี 2556 แน่นอน
ดังนั้น ประเทศไทยควรใช้โอกาสนี้ให้ข้อมูลผู้ลงทุน ซึ่งผู้ลงทุนต่างชาติที่มาร่วมงาน Thailand Focus มาจากในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการกระจายการลงทุนไปทั่วโลก โดยประเด็นที่ผู้ลงทุนให้ความสนใจคือ ทิศทางการบริหารจัดการเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะแผนกระตุ้นการบริโภคในประเทศ เพราะเป็นปัจจัยหลักสำหรับอัตราการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ตลอดจนนโยบายหลักต่างๆ ที่รัฐบาลใหม่จะเข้ามาบริหารจัดการประเทศในลำดับต่อไป”


 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com