April 26, 2024   7:22:18 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > BJCซื้อ"METRO"หวั่นได้ไม่คุ้มเสีย
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 13/08/2014 @ 08:36:13
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

โบรกฯฟันธง BJC ประกาศซื้อ "METRO Vietnam"อาจได้ไม่คุ้มเสีย หลังกูรูตั้งข้อสังเกตุ METRO ขาดทุนต่อเนื่องตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 45 แถมยังไม่ได้ขยายสาขาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ระยะยาวอาจเจอ BIGC - MAKRO เข้ามาแย่งตลาด พร้อมคาด BJC เตรียมเพิ่มทุน หลังเงินสดในมือรวมกับเงินกู้มีแค่ 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ดีลนี้มีมูลค่าสูงถึง 2.8 หมื่นล้านบาท ด้านผู้บริหารเชื่อจะช่วยหนุนรายได้ปี 58 โต 50% แตะ 6.4 หมื่นล้านบาท รับ AEC มั่นใจผู้ถือหุ้นยกมือหนุนเต็มที่ ด้านนักวิเคราะห์ชี้ราคาหุ้น BJC สูงเกินไป แนะชะลอลงทุน หรือหาจังหวะขาย ให้ราคาเป้าหมาย 42-47 บ.

เป็นอีกหนึ่งดีลการซื้อกิจการค้าปลีก ที่กำลังถูกจับตามองในขณะนี้ หลังจาก บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2557 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2557 อนุมัติเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาการเข้าทำรายการซื้อเงินลงทุนจำนวนร้อยละ 100 ในเมโทร แคช แอนด์ แครี่ เวียดนาม ลิมิเต็ด (METRO Cash & Carry Vietnam Limiter) ("METRO Vietnam" หรือ "กิจการที่บริษัทจะเข้าซื้อ") จากเมโทร แคช แอนด์ แครี่ อินเตอร์ เนชั่นแนล โฮลดิ้ง บี.วี. (METRO Cash & Carry International Holding B.V.) ("ผู้ขาย") โดยมีมูลค่ากิจการ (Enterprise Value) 655 ล้านยูโร (28,370 ล้านบาท) โดยคำนวณจากกรณีที่กิจการไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยและไม่มีเงินสด (Debt free and cash free basic) และอนุมัติการลงนามในสัญญาซื้อขายที่เกี่ยวข้องกับรายการเข้าซื้อเงินลงทุน ซึ่งดีลนี้ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจได้ไม่คุ้มเสีย
โดยราคาหุ้น BJC วันนี้ ปิดการซื้อขายที่ระดับ 56.00บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 0.90% มูลค่าการซื้อขาย 410.45 ล้านบาท

*** บัวหลวง ชี้ METRO ยังขาดทุนตลอดตั้งแต่ก่อตั้ง - ระยะยาวเตรียม BIGC,MAKRO แย่งตลาด
บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า แม้เมโทรเวียดนามจะสร้างโอกาสให้ BJC ได้สร้างเครือข่ายบริษัทค้าปลีกและขยายซัพพลายเชนเข้าสู่ประเทศซึ่งมีการเติบโตสูงอย่างประเทศเวียดนาม แต่ในระยะกลางเรามองว่าการเข้าซื้อครั้งนี้จะเป็นภาระให้แก่ BJC อย่างหนัก
โดยประการแรก เมโทรเวียดนามมีผลการดำเนินงานขาดทุนมาตลอดตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 2545 และยังคงมีแนวโน้มที่จะขาดทุนต่อไป ไม่คิดว่า BJC ซึ่งไม่มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้จะสามารถพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมาทำกำไรได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้น การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้แม้จะช่วยเพิ่มรายได้ แต่กำไรสุทธิอาจลดลง ประการที่สอง ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงจากสัญญาเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 28 พันล้านบาทจะส่งผลกระทบต่อกำไรของ BJC อย่างมาก นอกจากนี้ BJC ยังมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนหากบริษัทไม่ทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และประการที่สาม การกู้เงินดังกล่าวจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทสูงขึ้นเป็น 2.4 เท่า ซึ่งส่งผลให้อาจต้องมีการเพิ่มทุน
ส่วนในระยะยาว คาดว่าเมโทรเวียดนามจะต้องรับมือการแข่งขันที่สูงขึ้นจากคู่แข่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน (เช่น BigC) และจากคู่แข่งใหม่ เช่น MAKRO ซึ่งมีเป้าหมายที่จะขยายตลาดเข้าสู่ประเทศเวียดนามในเร็วๆนี้เช่นกัน ซึ่งการเข้าซื้อกิจการอาจส่งผลให้มีการปรับลดประมาณการ ทั้งนี้ หากไม่รวมดีลเมโทร BJC ก็ยังถือว่ามีระดับราคาที่ค่อนข้างแพง โดยซื้อขายด้วย PER ที่ 41.8 เท่า ปี 2557 และ 34.5 เท่า ปี 2558 เราแนะนำขาย ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2557 ของเราอยู่ที่ 42 บาท

*** METRO ไม่ได้ขยายสาขาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ด้านบล.เอเซียพลัส ตั้งจุดสังเกตและปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุน ควรทราบ คือ METRO ใช้เวลากว่า 12 ปีในการเปิดสาขา 19 แห่ง และไม่มีการเปิดสาขาเพิ่มเลยช่วง 2 ปีหลังสุด โดยอาจเกิดจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังคุ้นชินกับการซื้อของในร้านโชห่วย / ตลาดสด เป็นหลัก และอาจต้องใช้เวลาพอสมควรในการเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้
ขณะที่สัดส่วนสินค้าที่ขายใน METRO พบว่า กลุ่มสินค้าที่มี Margin สูง อาทิ อาหารสด และกลุ่มเฮาส์แบรนด์ มีสัดส่วนรวมกัน 29% ของยอดขายทั้งหมด ถือว่าเป็นสัดส่วนที่มาก (ใกล้เคียง MAKRO) แต่บริษัทยังมีผลขาดทุนเกือบ 400 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ MAKRO ที่มีกำไร
ช่วงที่ผ่านมาบริษัทนำสินค้าในกลุ่มทั้ง ขนม,กระดาษ,สบู่ ฯลฯ มาลองตลาดในเวียดนามบ้างแล้วแต่ผลตอบรับยังไม่ดีมาก ปัญหาจึงน่าจะอยู่ที่ ทำอย่างไรให้ตอบโจทย์พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค มากกว่าการเพิ่มจุดจำหน่าย

*** โบรกฯคาด BJC มีโอกาสเพิ่มทุนสูง เหตุเงินสด-เงินกู้ไม่พอ
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมินว่า หลังจาก BJC แจ้งในเบื้องต้นว่าแหล่งเงินทุนที่จะซื้อ METRO จะมาจากเงินกู้ระยะสั้น โดยจะมีการนำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันที่ 19 ส.ค. เพื่อพิจารณาถึงรายละเอียดของแหล่งเงินทุนทั้งหมด โดยเราคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการเพิ่มทุน เนื่องจาก ณ สิ้น 1Q57 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของ BJC เท่ากับ 0.84 เท่า หากพิจารณาที่ Covenant 1.75 เท่า BJC จะสามารถกู้เงินได้อีก 16,500 ล้านบาท
บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า ณ สิ้น 1Q57 บริษัทอัตราส่วน D/E ที่ 1.1 เท่า และมีเงื่อนไขสัญญากับเจ้าหนี้กู้เงินได้สูงสุดที่ 1.75เท่า ทำให้ยังสามารถกู้เงินได้เต็มที่อีกราว 9 พันล้านบาท บวกกับเงินสดที่มี 1 พันล้านบาท โดยรวมจึงเพียงพอสำหรับดีลขนาด 1 หมื่นล้านบาท เท่านั้น ขณะที่มูลค่าดีลดังกล่าวสูงราว 2.8 หมื่นล้านบาท จึงมีโอกาสเพิ่มทุนสูง และจะทราบรายละเอียดที่ชัดเจน หลังประชุมคณะกรรมการบริษัท 19ส.ค.นี้ ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการ โดยระยะสั้นแนะ “หลีกเลี่ยงการลงทุน”

*** MBKET เชื่อราคาหุ้น BJC ขึ้นสะท้อนข่าวไปแล้ว แนะทำกำไร
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เปิดเผยว่า ในระยะสั้น คาดว่าผลประกอบการของ BJC จะถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจากการกู้ยืมซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าค่าใช้จ่ายทางการเงินไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท/ปี (อิงอัตราดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายทางการเงิน 5% ของเงินกู้ เช่นเดียวกรณี CPALL ซื้อ MAKRO) ประเมินเบื้องต้นจากยอดขาย Metro ราว 2.2 หมื่นล้านบาท และ อัตรากำไรสุทธิ 2-3% (โดยอ้างอิงจาก MAKRO net margin 3.3%) คาดกำไรสุทธิราว 440-660 ล้านบาท/ปี คิดเป็น 0.28-0.41 บาท/หุ้น ของ BJC โดยหากอิง PER 25 เท่า คิดเป็นการเพิ่มมูลค่าหุ้น BJC 6.9 - 10.4 บาท/หุ้น เชื่อว่าราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาสะท้อนข่าวการเข้าซื้อกิจการไปก่อนแล้ว เราจึงปรับคำแนะนำจาก Trading Buy เป็น Take Profit ราคาเป้าหมาย 47 บาท
อย่างไรก็ตามในระยะยาว มีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนใน Metro เนื่องจากเชื่อว่าประเทศเวียดนามยังมีช่องว่างในการเติบโตอีกมากสำหรับธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกสมัยใหม่ อีกทั้งการที่ BJC เข้าไปสร้างฐานธุรกิจในเวียดนามจะเป็นช่องทางในการขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆ ในอาเซียน

*** เชื่อดีลนี้จะหนุนรายได้ปี 58 โต 50% แตะ 6.4 หมื่นลบ.
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด(มหาชน) หรือ BJC กล่าวว่า รายได้ของบริษัทในปี 58 จะเติบโตสูงถึง 50% ไปที่ 6.4 หมื่นล้านบาท หลังจากที่กระบวนการซื้อกิจการ METRO Cash & Carry Vietnam Limited) (METRO Vietnam) เสร็จเรียบร้อยในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ส่วนปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตเลข 2 หลัก จากปีก่อนที่มีรายได้ 4.29 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ การซื้อกิจการ METRO Vietnam ด้วยมูลค่า 655 ล้านยูโร หรือคิดเป็นประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท นับเป็นจุดสำคัญในการเดินตามแผนยุทธศาสตร์ครบวงจรต้นน้ำกลางน้ำและปลายน้ำ เสริมธุรกิจเดิมที่ลงทุนในร้าน B's mart ที่มี 95 สาขาในเวียดนาม ดังนั้น จึงคาดว่าในปีหน้ายอดขายในเวียดนามจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 2.7 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ปีละประมาณ 300 บาท หรือเพิ่มขึ้น 7,330 เท่า ซึ่งจะครอบคลุมทั้งร้านค้าสมัยใหม่และร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ ขณะที่ปกติยอดขายในไทยอยู่ที่ราวปีละกว่า 4 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัท METRO Vietnam ในปี 56 ยังมีผลขาดทุนอยู่เนื่องจากเป็นช่วงเปลี่ยนผู้บริหาร
นอกจากนั้น ยังเป็นการสนับสนุนการขยายธุรกิจของ BJC ในภูมิภาค เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ในปี 58 เนื่องจากบริษัทได้ร่วมลงทุนบริหารร้านสะดวกซื้อ M-point mart ในประเทศลาวด้วย และยังมีแผนจะขยายธุรกิจค้าปลีกไปยังกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้มีเป้าหมายเป็นเครือข่ายร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ทั้งในเวียดนามและลาว พร้อมกับมีธุรกิจที่ครอบคลุมต้นน้ำและปลายน้ำทั้งโรงงาน ธุรกิจกระจายสินค้าและจัดจำหน่ายสินค้า ธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีก
"การซื้อกิจการครั้งนี้เป็นไปตามแผน 5 ปีข้างหน้า ยอดขายต่างประเทศจะใกล้เคียงในไทยหรือ 50:50 จากการซื้อธุรกิจครั้งนี้เปลี่ยนสภาพ BJC ไป ทำให้ BJC สามารถเต็มเต็มธุรกิจ supply chain ในเวียดนามจากเดิมมีโรงงานผลิตกระป๋อง ขวดแก้ว มีร้านสะดวกซื้อ B's mart 95 สาขา การซื้อครั้งนี้จะได้ร้านค้าอีก 19 ร้านค้า ใน 14 จังหวัดของเวียดนาม ครอบคลุมทั้งภาคเหนือที่มี 6 ร้านค้า กลาง 7 ร้านค้า และใต้ 6 สาขา ก็จะกลายเป็นผู้เล่นอันดับ 2 ในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่ และเป็นที่ 1 ถ้าไม่นับรวมรัฐบาล โดยมีพื้นที่ 1.1 แสนตารางเมตร ในภาคเหนือก็มีโกดังสินค้าอยู่ ภาคกลางก็สามารถกระจายสินค้าได้ครบ เชื่อมโยงไปยังประเทศลาว กัมพูชาได้ไม่ยาก เมื่อได้ตลาดเวียดนามก็เหมือนได้ลาวและกัมพูชาในอนาคต" นายอัศวิน กล่าว

*** มั่นใจ ผถห.สนับสนุนเต็มที่
นายอัศวิน กล่าวว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ BJC พร้อมจะให้การสนับสนุนด้านการจัดการโครงสร้างแหล่งเงินทุนสำหรับการเข้าทำรายการครั้งนี้ ซึ่งราคาซื้อกิจการถือว่าเหมาะสม ส่วนระยะเวลาคืนทุนนั้นบริษัทจะมีประชุมคณะกรรมการบริษัทวันที่ 19 ส.ค.นี้เพื่อพิจารณารายละเอียดและขออนุมัติ และขอความเห็นจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระอีกครั้ง ธุรกรรมครั้งนี้มีทั้งทุนที่ต้องใช้และต้องหาแหล่งเงินกู้
"ดีลนี้บริษัทได้ทำการบ้านอย่างดีแล้วเพราะเกี่ยวกับโครงสร้างการลงทุน เม็ดเงินที่เข้าซื้อถือว่าคิด IRR อย่างละเอียดแล้ว ซึ่ง BJC มีบริษัททีซีซี โฮลดิ้ง จำกัด สัดส่วนการถือหุ้นราว 75% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท ก็เชื่อว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่จะสนับสนุนทางการเงินเต็มที่...ราคาที่ซื้อเป็นราคาที่เหมาะสม และโอกาสที่จะคุยกับคนอื่นก็จะง่ายขึ้น หลังเข้าซื้อเมโทรฯ ได้แล้ว แต่กว่าจะจ่ายเงินก็คงปี 58 อยากให้มองระยะยาวมากกว่า"นายอัศวิน กล่าว
นายอัศวิน กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนปกติที่ 4,000-5,000 ล้านบาท ไม่รวมงบลงทุนเพื่อซื้อกิจการใหม่ ซึ่งเตรียมไว้จะใช้สร้างโรงงานในไทย นอกจากนี้บริษัทยังมีการเจรจาซื้อธุรกิจเพิ่มเติมอีกด้วย

*** รู้จักกับ METRO Vietnam
สำหรับ METRO Vietnam ก่อตั้งประเทศเวียดนามในปี 2545 และได้พัฒนาเป็นผู้นำในธุรกิจตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่ ซึ่งมีร้านทั้งสิ้น 19 ร้าน ใน 14 เมือง ของประเทศเวียดนาม ด้วยส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 22 ของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่ และพื้นที่ขายสุทธิรวม 110,000 ตารางเมตร ทำให้ METRO Vietnam เป็นธุรกิจตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่ อันดับ 1 ซึ่งดำเนินธุรกิจโดยต่างชาติ และเป็นอันดับ 2 ของทั้งตลาดธุรกิจตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่
METRO Vietnam มีเงินลงทุนปัจจุบัน จำนวน 2,868 ล้านบาท (1,911,749 ล้านดองเวียดนาม) โดยมี เมโทร แคช แอนด์ แครี่ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง บี.วี. (METRO Cash & Carry International Holding B.V.) เป็นเจ้าของเงินลงทุนร้อยละ 100
ทั้งนี้ BJC เชื่อว่าการเข้าซื้อเงินลงทุนใน METRO Vietnam จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัท และผู้ซื้อหุ้นของบริษัท ดังนี้ 1.บริษัทจะมีช่องทางในการเข้าสู่ตลาดร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ในประเทศเวียดนาม 2.ตลาดร้านสะดวกซื้อในประเทศเวียดนามเป็นตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ และเป็นที่คาดหมายได้ว่าจะมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง 3.บริษัทจะมีช่องทางในการเข้าถึงการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Supply Chain Infrastructure) 4.การเข้าซื้อกิจการ METRO Vietnam เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัท ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำทางธุรกิจที่ครอบคลุมธุรกิจทุก ๆ ด้าน (Entire Value Chain) ในภูมิภาค 5.เพื่อขยายขนาดของบริษัทให้ใหญ่ขึ้น เพื่อให้มีจุดยืนที่ดีในยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) 6.เพื่อประหยัดเงินทุน และสร้างโอกาสในการทำกำไรในอนาคตของบริษัท รวมทั้งการเริ่มต้นสร้างธุรกิจด้านอื่นๆ ของบริษัท

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com