May 14, 2024   8:34:23 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > Chart of the day
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 26/09/2008 @ 09:03:57
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

.--บมจ.ซิกโก้

Distributor - Bisnews AFE

KBANK/TUF.....ซื้อลงทุน
* แนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2551
ประกอบกับความผันผวนของค่าเงินที่น้อยลงกว่าในช่วงครึ่งปีแรกทำให้ TUF ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจส่งออก
อาหารทะเล มีรายได้ในสกุลเงินบาทและผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ความผันผวนของค่า
เงินบาทที่ลดลงทำให้ TUF สามารถบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น ทั้งนี้เงินบาทที่อ่อนค่าลงทุก 1 บาท จะส่งให้ผล
กำไรของ TUF เติบโตขึ้น 5% ส่วนปัจจัยหนุนล่าสุดต่ออุตสาหกรรมอาหารของไทยคือ ปัญหาความไม่เชื่อมั่น
สินค้าเกือบทุกประเภทที่ผลิตจากประเทศจีน เนื่องจากการปลอมปน สถานการณ์ที่เป็นอยู่ เชื่อได้เลยว่า
อย่างน้อยอาจมีคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารจากประเทศไทย ทดแทนที่จะนำเข้าจากจีน
* กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐได้ประกาศเรื่องอัตราการจัดเก็บการทุ่มตลาด (Antidumping Rate)
ในสินค้าส่งออกกุ้งรอบสุดท้ายของ TUF ไปยังสหรัฐ โดยอัตราการจัดเก็บภาษี AD ลดลงมาอย่างมากเหลือ
2.85% เทียบกับอัตราการจัดเก็บภาษี AD ขั้นต้นที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้าที่ 15.3% ส่งผลดีต่อ TUF ให้มี
อัตรากำไรขั้นต้นและความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการในประเทศ (CPF และ
CFRESH ได้รับอัตราการจัดเก็บภาษี AD เฉลี่ยอยู่ที่ 3.18% ซึ่งสูงกว่าของ TUF) นอกจากนี้ยังส่งผลให้
TUF ได้รับเงินชดเชยคืนกว่า 2.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะถูกบันทึกเข้ามาเป็นกำไรพิเศษ แต่คงต้องใช้เวลา
ในการดำเนินการคืนเงิน ซึ่งคาดว่า TUF น่าจะบันทึกกำไรดังกล่าวได้ปี 2552 แนวโน้มผลประกอบการ
ของ TUF ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2551 ยังมีการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยใน
ช่วงครึ่งปีหลังถือเป็นช่วง High Season ของธุรกิจส่งออกอาหารทะเล ซึ่ง TUF มีแผนขยายตลาดใหม่
โดยเน้นไปที่ตลาดที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะในทวีปยุโรป อาทิ รัสเซียและประเทศแถบตะวันออกกลาง
ประกอบกับแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาทเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและการลดอัตราการจัดเก็บภาษี
AD ล้วนส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นและความสามารถในการแข่งขันของ TUF
* คาดผลประกอบการของ TUF สามารถเติบโตทั้งในส่วนของรายได้และผลกำไรในอีก 2 ปีข้าง
หน้า จากความนิยมบริโภคอาหารทะเลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งแนวโน้มราคาอาหารโลกยังเป็นช่วงขา
ขึ้น ทั้งนี้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย (Mean) จาก I/B/E/S ของ TUF ปัจจุบันอยู่ที่ 24.4 บาท คาดว่าผล
ประกอบการ Q3 จะมีกำไรสุทธิที่ 450.4 ล้านบาท EPS ที่ 0.51 บาท และทั้งปีจะมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น
2,119 ล้านบาท EPS 2.42 บาท/หุ้น จ่ายเงินปันผล 1.3 บาท/หุ้น ณ ราคาปิดของ TUF ที่ 19.6 บาท
มี Prospective P/E ในปี 2551 อยู่ที่ 8.1 เท่า มี Dividend Yield ที่ 6.6% เราแนะนำ ซื้อลง
ทุน จากเดิมที่แนะนำเล่นเก็งกำไร โดยมีราคาเป้าหมายอยู่ที่ 24 บาท จากรูปด้านซ้ายจะเห็นได้ชัดเจนว่า
ราคาเป้าหมายต่ำสุดที่นักวิเคราะห์ให้กัน ปัจจุบันได้ปรับตัวขึ้นจากเดิมที่ 14 บาทเป็น 22 บาท ซึ่งยังสูง
กว่าราคาหุ้นในปัจจุบัน จุดเด่นคือ ธุรกิจกำลังฟื้นตัวจากการลด AD ราคาหุ้นยังต่ำกว่าราคาเป้าต่ำสุดและ
ให้ Dividend yield สูงมาก ดังนั้นความเสี่ยงจึงต่ำมาก ๆ
* KBANK นับเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีการล้มละลาย
ของ Lehman Brothers วาณิชธนกิจที่มีขนาดใหญ่สุดอันดับ4 ของสหรัฐ และไม่มีการลงทุนใน AIG ของ
สหรัฐ รวมถึงไม่มีการลงทุนในสถาบันการเงินอื่นๆของสหรัฐ ทำให้ KBANK มีความเสี่ยงต่ำที่สุดในกลุ่ม
ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ โดยมีสัดส่วนการถือครองตราสารหนี้ต่างประเทศในพอร์ตเงินลงทุนเมื่อเทียบกับ
สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 0.63% เทียบกับ BBL ซึ่งมีสัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 2.06%, SCB อยู่ที่ 0.93%, และ KTB
อยู่ที่ 0.68%
* ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวในครึ่งปีหลังของปี 2551 จากปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐ
และความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ ส่งผลต่อปัญหา NPLsที่อาจเพิ่มขึ้น ซึ่ง KBANK มีสัดส่วนสินเชื่อที่
เป็นธุรกิจ SME เกือบ 40% ของพอร์ตสินเชื่อรวมที่อาจโดนกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อย่างไรก็
ตาม KBANKมีสัดส่วนปริมาณการตั้งสำรองฯต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (LLRs/Gross NPLs) ณ สิ้น
Q2/51 อยู่ที่ 76% ซี่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ 70% ทั้งนี้คาดว่าสัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น
มาอยู่ที่ 78% ในปี 2551
* คาดสินเชื่อของ KBANK ในปี 2551 จะเติบโตได้ 13.7% YoY ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของ
KBANK ที่จะมีการขยายตัวของสินเชื่อรวมที่ 10%-15% ทั้งนี้ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2551 สินเชื่อของ
KBANK ขยายตัวแล้ว 12% YTD แนวโน้มผลประกอบการของ KBANK ในครึ่งปีหลังอาจจะชะลอตัวลงเล็ก
น้อยจากการเร่งลงทุนใน K-transformation ให้เสร็จทันในปี 2552 ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการ
ดำเนินงานเพิ่มขึ้น แต่ในระยะยาวแล้วโครงการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้จากผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆให้แก่
KBANK ทั้งนี้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย (Mean) จาก I/B/E/S ของ KBANK ปัจจุบันอยู่ที่ 92 บาท คาดว่าผล
ประกอบการ Q3 จะมีกำไรสุทธิที่ 3,589 ล้านบาท EPS ที่ 1.5 บาทเพิ่มขึ้น 4..9% เทียบ Q3/50 แต่
ลดลง 15.6% เทียบ Q2/51 ส่วนทั้งปีคาดว่าจะมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 15,687 ล้านบาท EPS 6.56 บาท/หุ้น
จ่ายเงินปันผล 2.25 บาท/หุ้น ณ ราคาปิดของ KBANK ที่ 66 บาท มี Prospective P/E ในปี 2551
อยู่ที่ 10.1 เท่า มี Dividend Yield ที่ 3.4% เราแนะนำ ซื้อลงทุน โดยมีราคาเป้าหมายอยู่ที่ 85
บาท ราคาหุ้นในปัจจุบันลงมาต่ำกว่าราคาเป้าหมายต่ำสุดที่ 75 บาท จุดเด่นคือไม่มีการเข้าไปลงทุนใน
สถาบันการเงินในสหรัฐ และราคาหุ้นยังเทรดกันต่ำกว่าราคาเป้าหมายต่ำสุด ดังนั้นถือว่าเสี่ยงน้อยมาก
:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com