May 15, 2024   2:04:57 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ฟันธงมาเนีย
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 23/09/2008 @ 09:26:20
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

By วีระชัย ครองสามสี

มาเร็ว เคลมเร็ว เช็คบิลเร็ว สอยเล่นสั้น THL ดีกว่า!

ต้องระวัง Sell on fact! สถานการณ์ยังไม่น่าไว้ใจในตลาดหุ้นสหรัฐ อาจจะต้องเจอแรง
ขายทำกำไร หลังพุ่งรับข่าวรัฐบาลสหรัฐจัดตั้งกองทุนมูลค่าราว 7 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อหนี้เสียของภาคธนาคาร ทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าจุดเลวร้ายที่สุดของวิกฤตการเงินอาจจะยุติลงแล้ว (จริงหรือ?) ซึ่ง
ข่าวดังกล่าวดูเหมือนจะช่วยหยุดความปั่นป่วนของตลาดหุ้นสหรัฐได้อย่างชะงักงัน แต่อาจจะเป็นช่วงสั้น เนื่องจากวิกฤตการเงินครั้งนี้มีผลต่อระบบการเงินทั่วโลก จึงต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐจะมีมาตรการต่างๆ ที่ออกมาในขณะนี้ แต่เป็นเพียงการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นเท่านั้น แถม
มาตรการดังกล่าวได้เพิ่มภาระให้แก่ผู้เสียภาษีของสหรัฐ นับตั้งแต่ยึดกิจการแฟนนี เม และเฟรดดี แมค มาเป็นของรัฐในช่วงต้นเดือน ก.ย. และจะกระทบฐานะการคลังของสหรัฐ ซึ่งจะทำให้สหรัฐกลายเป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดในโลก จึงมองว่าการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฟื้นตัวแรงๆ น่าจะเป็นเพียงช่วงสั้นเท่านั้น เพราะความเป็นจริงปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ลุกลามจนกลายเป็นวิกฤตการเงินของโลกในขณะนี้ มันคงไม่จบลงง่ายๆ เพียงข้ามคืนแค่รัฐบาลสหรัฐอัดฉีดเม็ดเงินและจัดตั้งกองทุนเข้าซื้อหนี้เสียทั้งหมด ซึ่งอาจไม่เพียงพอกับความ
เสียหายของวิกฤตการเงินครั้งนี้ที่ขยายวงกว้าง และกลายเป็นปัญหาระบบการเงินของโลกไปแล้ว ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานแค่ไหน! เนื่องจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอาจจะกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกต่อไป ขณะที่นักลงทุน มีความไม่แน่ใจเกี่ยวกับขนาดและขอบเขตของมาตรการฟื้นฟูภาคการเงิน รวมทั้งความสามารถของประเทศต่างๆ ในการสกัดวิกฤตสินเชื่อ เนื่องจาก
การร่วงลงอย่างหนักของราคาที่อยู่อาศัยของสหรัฐ และการพุ่งขึ้นของอัตราการผิดชำระหนี้เงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย เป็นสาเหตุทำให้พันธบัตรที่มีสัญญาจำนองค้ำประกันมีมูลค่าร่วงลง ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้ลุกลาม
ไปทั่วทั้งภาคอุตสาหกรรมการเงินโลก ส่งผลให้เลห์แมน บราเธอร์ส ประกาศล้มละลาย ,เมอร์ริล ลินช์ ต้องขายกิจการให้แบงก์ ออฟ อเมริกา และรัฐบาลต้องเข้าพยุงกิจการของอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแล (AIG) แม้ว่าจะเป็นความพยายามร่วมมือกันอย่างเต็มที่ของธนาคารกลางทั่วโลกเห็นได้จากทั้งธนาคารกลางมอสโคก็ยื่นข้อเสนอเข้ามาด้วยเม็ดเงินอัดฉีดถึง 147,000 ล้านดอลลาร์ ธนาคารกลางญี่ปุ่น BOJ ก็
ซัพพลายเงินเข้าตลาดการเงินเข้าสู่ตลาดสะสม 5 วัน 1.16 แสนล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันธนาคารกลางอังกฤษ BOE อัดฉีดเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ ในตลาดซื้อคืนพันธบัตร 1 วัน ล้วนเป็นมาตรการดำเนิน
การของธนาคารกลางระดับโลกเพื่อช่วยลดคามตึงตัวของตลาดเงิน ส่งผลให้หุ้นมีการฟื้นตัว แต่แรงซื้อก็เริ่ม
แผ่วลงจากการที่นักลงทุนยังคงวิตกว่า จากถ้อยแถลงของประธานาธิบดีบุชในการที่จะทำทุกวิถีทางที่จะเรียก
คืน ซึ่งความมั่นใจกลับคืนมาโดยเร็ว จะเป็นจริงได้หรือ? ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงเคลือบแคลงใจว่าสมาชิกสภานิติบัญญัติจะเห็นชอบต่อแผนของสหรัฐหรือไม่ แต่ก็ยังคงต้อหวัง และรอคอยถึงแม้ว่าในครั้งนี้จะไม่
ใช่แค่กระบวนการการเยียวยาอย่างรุนแรง จนทำให้มั่นใจได้ในข้ามวันว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่ต้องเข้าสู่
ภาวะถดถอย แต่หุ้นคงปรับตัวขึ้นแน่ๆ หากสภาคองเกรสเห็นชอบต่อแผนดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากมอง
ในเชิงวิเคราะห์ ตราบใดที่สถาบันการเงินไม่สามารถยืนได้ด้วยผลงานการบริหาร สุดท้ายต้องให้ภาครัฐบาลนำเงินภาษีของประชาชนมาโอบอุ้ม ภาคเศรษฐกิจก็ไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนด้วยกลไกตลาด ภาพ
ของเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวก็จะถูกสะท้อนจากตัวเลขการเจริญเติบโต การจ้างงาน ตลอดจนดัชนีผู้บริโภคฉะนั้นในภาวะตลาดทั่วโลกยังไม่แน่นอน และข่าวครม. ก็วุ่นๆ จึงต้องระวังดัชนีมีโอกาสทดสอบแนวรับที่ 610 - 600 จุด และหากปรับตัวคอยหาจังหวะเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ และธนาคาร เนื่องจากมองว่าตลาดน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว สำหรับช่วงสั้นเน้นเก็งกำไรหุ้นไซซ์เล็กอย่าง THL ไปก่อน
โดยมองแนวต้านที่ 1.78 - 1.80 บาท แนวรับที่ 1.60 บาท พร้อม Stop loss หากหลุด 1.56 บาท

ฝ่าย กลยุทธ์ และวิเคราะห์ทางเทคนิค

:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com