May 14, 2024   5:59:40 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ดีดตัวตามตลาดโลก
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 22/09/2008 @ 08:49:39
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ภาพวันวาน
หลังการเข้าร่วมมือของธนาคารกลางทั่วโลก หนุนให้ตลาดมีความหวังต่อการแก้ปัญหาในภาคการเงิน
ในสหรัฐ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นทั่วโลกตอบรับด้วยการปรับบวกขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ปรับบวกมากถึง 24.45
จุด(4.07%) มูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นมากถึง 1.81 หมื่นล้านบาท ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 1,406 ล้านบาท

ประเด็นร้อนวันนี้

ตลาดตอบรับบวก จากมาตรการช่วยเหลือของธนาคารกลางทั่วโลก
จากในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวขึ้นครั้งใหม่ได้ เพื่อตอบรับต่อการเข้าร่วมมือ
การแก้ปัญหาภาคการเงินของสหรัฐจากธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก โดยตลาดหุ้นสหรัฐปรับบวกขึ้นยืนเหนือ
แนวรับระดับ 11,000 จุดได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามเชื่อว่า การฟื้นตัวดังกล่าวจะเป็นการตอบรับในระยะ
สั้นก่อน เนื่องจากตลาดจะยังติดตามความคืบหน้าแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว รวมถึงการฟื้นความเชื่อมั่น
ของนักลงทุนทั่วโลกต่อภาวะว่าจะไม่เกิดการล้มละลายของสถาบันการเงินอื่นๆ ทั้งในสหรัฐและยุโรปอีก
ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐมีแนวต้านที่ระดับ 11,500 จุด สำหรับตลาดหุ้นไทย
นั้น แม้จะฟื้นตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลกนั้น แต่ด้วยประเด็นการเมืองใน
ประเทศที่ยังมีความขัดแย้งจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวในระยะสั้นด้วย
เช่นเดียวกัน โดยมีแนวต้านที่ระดับ 640 จุด

แม้มีมาตรการเข้าช่วยเหลือ แต่ค่าเงินดอลลาร์ยังสะท้อนความกังวล
แม้ธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางทั่วโลกได้ร่วมมือกันแก้ปัญหาในภาคการเงิน แต่เชื่อว่าไม่
อาจหยุดยั้งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวได้ สะท้อนได้จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับ
ปอนด์ ยังคงอ่อนค่าลง 2.27% ในระยะ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา, และเมื่อเทียบกับยูโร ดอลลาร์อ่อนค่าลง
1.93% ในขณะที่เมื่อเทียบกับสกุลเอเชียนั้น กลับพบว่าเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มชะลอการแข็งค่า โดย
วอน อ่อนค่าสูงสุดในภูมิภาคเอเชียถึง 2.97% ตรงกันข้ามกับเงินบาทไทยนั้น ที่กลับมาแข็งค่าเหนือดอลลาร์
สหรัฐ โดยแข็งค่า 1.47% ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 33.93 บาทต่อเหรียญฯ ในช่วงเดียวกัน เนื่องจากการกลับมา
มีรัฐบาลชุดใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า การชะลอการลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งใน
ตลาดหุ้นไทยนั้น เผชิญแรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาตินับจากต้นปีจนถึงปัจจุบันเป็นมูลค่าสูงถึง 1.2 แสน
ล้านบาท คาดว่าจะทำให้ทิศทางตลาดหุ้นไทยในระยะกลางนั้น ยังเป็นการปรับตัวเชิงลบ

INVESTORS PLUS
แนวรับ / แนวต้านใน 1 สัปดาห์ของดัชนีตลาด : 580/650 จุด
ตลาดวันนี้ : คาดวันนี้ดัชนีแกว่งตัวบวก แนวรับ 615 จุด แนวต้าน 635 จุด
กลยุทธ์วันนี้ :เก็งกำไรระยะสั้นในกรอบแนวรับ และแนวต้านของหุ้นรายตัว ITD(4.2/4.4),
TTA(29/32), PS(7.45/7.8)

:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 22/09/2008 @ 08:50:31 :
.--บมจ.เอเซีย พลัส

วันที่ 22 - 26 กันยายน พ.ศ. 2551

SET 624.83
เปลี่ยนแปลง (จุด) -29.51
เปลี่ยนแปลง (%) -4.51
ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย/วัน(ล้านบาท) 14,688

หลบภัย... ซื้อหุ้นบริโภคภายใน

สรุปกลยุทธ์การลงทุน 15 - 19 ก.ย. 2551

คาดการณ์กรอบดัชนีสัปดาห์นี้อยู่ที่ 560 - 630 จุด

ปัจจัยหนุนตลาด :
คาดการบริโภคในประเทศฟื้นตามความเชื่อมั่น

กลยุทธ์การลงทุน:
Top Picks : ADVANC, CPALL และ MAKRO

ภาวะตลาดทั่วไปในสัปดาห์ที่ผ่านมา (15 - 19 ก.ย.2551)
การประกาศล้มละลายของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในสหรัฐ คือ เลห์แมน บราเธอร์, การประกาศ
ขายกิจการของเมอร์ริล ลินช์ ให้แก่แบงก์ ออฟ อเมริกา รวมถึงการขาดสภาพคล่องทางการเงินของ AIG
จน Fed ต้องเข้าเพิ่มทุนช่วยเหลือเป็นมูลค่าถึง 8.5 หมื่นล้านเหรียญฯ โดยแลกกับการเข้าถือหุ้นใน AIG
สัดส่วน 79.9% แทนนั้น เป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลกให้ปรับตัวลงอย่างรุนแรงตลอดสัปดาห์ ดัชนี Dow
Jones ปรับตัวลง -3.62% ในขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงราว -6% ด้วยเช่นเดียวกัน โดยตลาดหุ้น
เอเชียนั้น ปรับตัวลงในทิศทางเดียวกัน นำโดยตลาดหุ้นเวียดนาม ปรับลง -7.76% ตามมาด้วย
ตลาดหุ้นอินเดีย และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ปรับตัวลง -7.04% และ -6.8% ตามลำดับ
จากประเด็นดังกล่าว ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และขณะเดียวกันกระแสการลงทุนกลับมาให้
ความสนใจต่อการเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ทดแทน หนุนให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นเกือบทุกประเภท
เช่น ทองคำ ปรับบวกขึ้น 10.06%, เงิน ปรับบวก 10.62% เป็นต้น รวมถึงราคาน้ำมันดิบดูไบมีการฟื้นตัว
ขึ้นในระยะสั้น ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดมีความกังวลต่อปริมาณอุปสงค์ที่น่าจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้น แม้จะมีการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 เป็นที่เรียบร้อยแล้วคือ นายสม
ชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งจะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลต่อไป และน่าจะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลกลับมาได้ แต่
ด้วยอิทธิพลการปรับตัวลงของตลาดหุ้นต่างประเทศ และการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ยังคงอยู่นั้น เป็น
ปัจจัยทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเชิงลบต่อเนื่อง พร้อมนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิเป็นมูลค่ารวมจากต้นปีจนถึง
ปัจจุบันสูงถึงราว 1.2 แสนล้านบาท

วันที่ เหตุการณ์เด่นช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
16 ก.ย. 2551 ปัญหาในภาคการเงินสหรัฐยังปะทุขึ้นอย่างรุนแรงโดยเฉพาะในสถาบันการเงินขนาด
ใหญ่ ล่าสุด การประกาศภาวะล้มละลายและขอพิทักษ์ทรัพย์ของเลห์แมน บราเธอร์,
ขณะที่เมอร์ริล ลินซ์ถูกเข้าถือหุ้นโดย แบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป รวมถึงการขอกู้เงิน
ระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องของ AIG นั้น เป็นปัจจัยกดดันต่อทิศทางดัชนี Dow Jones
17 ก.ย. 2551 คณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) เชื่อว่าควรจะยืนดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ ระดับเดิมคือ 2% รวมถึงดอกเบี้ยมาตรฐานที่ระดับ 2.25% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่
ชะลอตัวลง ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่
0.5% เช่นกัน
18 ก.ย. 2551 ผลการประชุมสภาฯ มีมติเลือกนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 แม้
จะได้รับการตอบรับด้านกระแสสังคมเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยต่อการบริหารประเทศ
แต่ยังไม่อาจได้รับการยอมรับจากทางด้านกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งล่าสุดยังยืนยันต่อการชุมนุม
ในทำเนียบรัฐบาลต่อไป
19 ก.ย. 2551 ธนาคารกลางชั้นนำของโลก ทั้งยุโรป, สหรัฐ, อังกฤษ, ญี่ปุ่น, สวิสฯ และแคนาดา
ร่วมกันอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดเงินของโลก นอกจากนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ได้เพิ่มวงเงินสว็อปสกุลเงินดอลล่าร์ ให้กับธนาคารกลางอื่นๆ มูลค่า 1.80 แสนล้าน
ดอลลาร์ เพื่อเสริมสภาพคล่องในระบบการเงินและลดความตึงตัวในระบบการเงิน
ทั่วโลก
19 ก.ย. 2551 รมว.คลังสหรัฐ ได้เสนอจัดตั้งหน่วยงานเพื่อจัดการกับหนี้เสียมูลค่าหลายพันล้าน
ดอลลาร์ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อระบบการเงิน แนวคิดดังกล่าวได้ถูกเปรียบเทียบกับการ
จัดตั้งบรรษัท Resolution Trust Corp ในปี 1989 เพื่อแก้ไขวิกฤติล้มละลายของ
อุตสาหกรรมเงินออมและเงินกู้ 2) สำนักงานบริการการเงินของอังกฤษ สั่งห้าม
นักลงทุนเป็นการชั่วคราวจากการตั้งสถานะขายใหม่ในหุ้นกลุ่มการเงิน และมาตรการนี้
อาจถูกนำมาใช้กับตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงสหรัฐ เพื่อลดสถานะขายในตลาดหุ้นและตลาด
อนุพันธ์ และ 3) กองทุนบำเหน็จบำนาญของรัฐนิวยอร์ค หยุดการให้ยืมหุ้นของ
ธนาคารและบริษัทโบรกเกอร์จำนวน 19 แห่งแก่นักลงทุนเพื่อการทำธุรกรรมช็อตเซล
เพื่อสนับสนุนนโยบายปิดกั้นการเก็งกำไร


เหตุการณ์ที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้

วันที่ เหตุการณ์ ความเห็น
2 ต.ค. 2551 ประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25%
5 ต.ค. 2551 เลือกตั้งผู้ว่า กทม.
6-7 ต.ค. 2551 ประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คาดว่าจะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5%
8-9 ต.ค. 2551 ประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คาดว่าจะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5%
8 ต.ค. 2551 ประชุม กนง คาดว่าจะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.75%

ตลาดโลกปั่นป่วน การเมืองในประเทศพลิกฟื้นความเชื่อมั่น
ท่ามกลางกระแสความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การเงินในสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อตลาดเงินตลาดทุนทั่ว
โลกให้ปรับตัวลงอย่างรุนแรง รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ได้รับปัจจัยลบจากปัญหาการเมืองในประเทศ
ทั้งจากปัญหาการสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของนายสมัคร สุนทรเวช จนเป็นผลให้สถานะของรัฐบาลสิ้นสุดลงด้วย ขณะที่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงราว 30% ในระยะ
3 เดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม หลังจากการกลับมาร่วมมือของพรรคแกนนำคือ พรรคพลังประชาชน และพรรคขนาด
กลางรวม 6 พรรค เพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พร้อมกับแนวทางที่ต้อง
การจะแก้ไขสถานการณ์ทางการเมืองอย่างประนีประนอม โดยเฉพาะต่อกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น เชื่อว่าจะช่วยให้
เสถียรภาพของรัฐบาลฟื้นกลับมา
ฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อการบริโภคในประเทศ ให้กลับมาฟื้นตัวตามความเชื่อมั่นที่น่าจะ
เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับได้ ประกอบกับเมื่อพิจารณาการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวพบว่า ใน
ระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา ปรับตัวแข็งแกร่งกว่า SET INDEX จึงแนะนำซื้อสะสม ADVANC(FV@B110.75),
CPALL(FV@B14.04), MAKRO(FV@B115)

กลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ (22 - 26 ก.ย. 2551)
สัปดาห์หน้า คาดว่าความกังวลต่อภาคการเงินของสหรัฐ จะยังเป็นปัจจัยสำคัญกดดันให้ดัชนี Dow
Jones มีทิศทางเป็นขาลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวรับที่ระดับ 10,500 จุด และคาดว่าจะมีอิทธิพลต่อการ
เคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียให้ปรับตัวในเชิงลบด้วย
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยนั้น คาดว่าการกลับมามีรัฐบาลจัดตั้งใหม่นั้น จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นใน
ประเทศให้พัฒนาในเชิงบวกได้เป็นลำดับ ซึ่งน่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยตอบรับในเชิงบวกในระยะสั้นได้ อย่าง
ไรก็ตาม อิทธิพลการปรับตัวลงของตลาดหุ้นต่างประเทศ จะกดดันให้ดัชนีหุ้นไทยมีแนวโน้มขาลงโดยมีแนวรับ
ดัชนี 560 จุด แนวต้าน 630 จุด

TOP PICKS ประจำสัปดาห์

ADVANC FV : 110.75 บาท ซื้อ
* คาดกำไรปี 2551 เติบโตได้ราว 25%YoY จากการขยายฐานลูกค้ามากสุดในกลุ่ม อีกทั้งยังรักษา
รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย ให้ทรงตัวใกล้เคียงระดับเดิมได้
* ฐานะการเงินแข็งแกร่งสุด พร้อมที่จะให้บริการ 3G ภายใต้ใบอนุญาตใหม่ที่ช่วยให้หลุดพ้นจาก
สัมปทานเดิมซึ่งมีต้นทุนที่สูงกว่า

CPALL FV : 14.04 บาท ซื้อ
* ธุรกิจ 7-11 ในไทยยังแข็งแกร่ง และคาดธุรกิจในจีนจะขาดทุนลดลงหลังปรับปรุงโครงสร้าง
ธุรกิจแล้ว
* คาดปีนี้มีกำไรสุทธิเติบโตสูงสุดในกลุ่มคือราว 140%

MAKRO FV : 115.00 บาท ซื้อ
* งวด 2H51 ยังเติบโตดีจากการรับรู้ยอดขายจาก 12 สาขาใหม่ที่เปิดในปี 2550
* มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และจ่ายปันผลสูงสุดในกลุ่มค้าปลีก

ที่มา : ฝ่ายวิจัย ASP
:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com