May 3, 2024   3:52:41 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > วิเคราะห์หุ้น.......
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 20/05/2008 @ 08:37:34
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.โกลเบล็ก

WEEKLY COMMENTS : นักลงทุนมั่นใจกลับมาซื้อคืนจากผลประกอบการที่โตขึ้น
* ผลประกอบการไตรมาส 1 พุ่งขึ้น 30.38% YoY และ 87.65 QoQ
* การเมืองลดความร้อนแรงลงชั่วคราว ติดตามการประกาศตัวเลขGDPของสภาพัฒน์ฯ
* แนวรับ 860*** , 850 และ 843 แนวต้าน 880 , 894 และ 900

สรุปภาวะตลาดประจำสัปดาห์ที่ผ่านมา 12-16 พฤษภาคม 2551
สรุปภาวะการลงทุนสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีปิดที่ 870.33 เพิ่มขึ้น 23.62 จุด จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่อยู่ระดับปิดที่ 846.71 โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 20,615 ล้านบาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 22,198 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 293 ล้านบาท ต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,513 ล้าน
บาท รายย่อยขายสุทธิ 2,220 ล้านบาท
ภาพรวมการแกว่งตัว : วันจันทร์ดัชนีปรับลงเล็กน้อยตามตลาดหุ้นสหรัฐมีแรงขายออกมามากขึ้น แต่มีแรงซื้อ PTTEP พยุงดัชนีทำให้ตลาดปรับลงเล็กน้อยปริมาณซื้อขายเริ่มเบาบาง อังคารดัชนีปรับขึ้นช่วงเช้าตามตลาดต่างประเทศที่ปรับขึ้นทั่วก่อนมีแรงขายหนักในช่วงบ่ายโดยเฉพาะกลุ่มพลังงานทำให้ดัชนีปรับลง
มาอยู่ในแดนลบ วันพุธดัชนีปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากแรงซื้อกลุ่มพลังงานแต่โดนถ่วงจากแรงขายกลุ่มธนาคารทำ
ให้ดัชนีปรับตัวลงมาอยู่ในแดนลบก่อนแกว่งตัวขึ้นแรงจากแรงซื้อรอบใหม่ที่กลับเข้ามาในช่วงบ่ายทำให้ดัชนีขึ้นมาอยู่ในแดนบวกจนปิดตลาด วันพฤหัสบดี ดัชนีปรับตัวขึ้นต่อมีแรงซื้อกระจายเข้ามาเกือบทั้งตลาดได้ปัจจัยบวกจากตลาดหุ้นต่างประเทศปรับขึ้นและต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ วันศุกร์ดัชนีปรับตัวขึ้นต่อทำจุดสูงใหม่ใน
รอบปีขึ้นมาได้ที่ 872.65 จากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับขึ้นโดยมีแรงซื้อกระจายเข้ามาทั้งตลาด
ปัจจัยที่เข้ามากระทบตลาดได้แก่ : ราคาน้ำมันขึ้นมาทำจุดสูงใหม่เป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง,
นายชัย ชิดชอบได้รับเลือกเป็นประธานรัฐสภา, กกต.มีมติยกคำร้องเรียนกรณีนายกฯสมัครขาดคุณสมบัติ, บจ.ทยอยประกาศผลประกอบการ Q1 ปี 51, ดัชนีขึ้นมาทำจุดสูงใหม่ในรอบปีที่ 872.65

ปัจจัยสำคัญที่น่าติดตามและมีผลต่อการลงทุนในสัปดาห์ 20-23 พฤษภาคม 2551
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ 20-23 พฤษภาคม 2551 ทางฝ่ายวิเคราะห์ บล
.โกลเบล็กฯ ประเมินภาวะตลาดมีแนวโน้มทรงตัวหรือกลับตัวขึ้นต่อเนื่องด้วยแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นที่มีพื้นฐานดีรองรับ และหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการดี จากตัวเลขผลประกอบการที่ประกาศออกมาของไตรมาส 1/2551 โดยภาพรวมSETและMAIจะพบว่ามีผลประกอบการเติบโตขึ้น 30.38% YoY และ 87.65 QoQ
(ตัวเลข 1Q08 Company result 490 บริษัท BY GBX Research) ทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อหุ้นคืน
โดยคาดหวังเรื่องของผลประกอบการที่เติบโตสูงขึ้นทั้งปี รวมทั้งพัฒนาการทางการเมืองที่ลดความรุนแรงลงได้ มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดการปรับคณะรัฐมนตรีหลังจากปิดสมัยประชุมสภาฯ นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยว
กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อาจจะเป็นเงื่อนไขของการเกิดรัฐประหารลงหลังจากที่การบรรจุวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ทันการประชุมสมัยนี้ ประกอบกับการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองส่ง
เรื่องคดีหวยบนดินให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องการแต่งตั้งและการต่ออายุ คตส. ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2550
หรือไม่ ทำให้นักลงทุนต่างชาติเปลี่ยนมุมมองการเมืองไทยมีแนวโน้มที่จะแก้ไขดีขึ้นได้ นโยบายทางเศรษฐกิจไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระยะสั้นนี้ ในขณะเดียวกันความเสี่ยงที่แนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะต่อไปอาจจะผันผวนจากการปรับฐานมากขึ้นคงจะส่งผลให้การตัดสินใจ
ลงทุนมีความผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน ประเด็นเรื่องเงินเฟ้อคงจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจรองลงมา เนื่องจากการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกกำลังส่งผลกดดันต่อฐานะดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัดตลอดจนแนวโน้มเศรษฐกิจของหลายๆประเทศ การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นที่เกิดจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อฐานะดุลบัญชีเดินสะพัด โดยธปท.จะมีการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 21 พฤษภาคมนี้ ส่วนสภาพัฒน์ฯจะมีการรายงานตัวเขGDPไตรมาส1/2551 ในวันที่ 26 พฤษภาคมนี้

ปัจจัยที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้

1. ราคาน้ำมัน
จากรายงานปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบของจีนในเดือนเม.ย.ที่ลดลง3.9%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 18 เดือน ขณะที่โอเปกเริ่มมีท่าทีว่าจะเพิ่มการส่งออกน้ำมันเพิ่ม
ขึ้นได้ถ้าจำเป็น และค่าเงินดอลลาร์ที่อาจจะแข็งค่าขึ้นได้ถ้าเนื่องจากสหรัฐฯเริ่มเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อทำให้การลดดอกเบี้ยทำให้ยากขึ้น จากปัจจัยที่เกิดขึ้นอาจจะกระตุ้นให้เกิดแรงขายเพื่อทำกำไรจาก Hedge fund แต่คาดว่าราคาน้ำมันจะไม่ปรับลงมากนักยังคงทรงตัวในระดับสูงต่อไป

2. ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ
การประกาศผลประกอบการที่น่าผิดหวังของ AIG ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่ที่สุดของโลกประกาศผลขาดทุนใน1Q51ที่ 7.81 พันล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นการขาดทุน2ไตรมาสติดต่อกันสร้างความวิตกครั้ง
ใหม่ต่อภาคการเงิน และราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นไม่หยุดสร้างความกังวลภาวะเงินเฟ้อทำให้การใช้มาตรการโดยการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทำได้ยากขึ้นและอาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยถ้าตัวเลขเงินเฟ้อยังไม่ลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อกระทบเชิงลบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ ขณะที่ประธาน Fed กล่าวว่าข้อมูลของ
สถาบันการเงินที่ยังแสดงความต้องการสูงที่จะกู้เงินจากFed สะท้อนว่าตลาดการเงินยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ ทำให้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐยังเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลกต่อไป

3.แรงซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ
สัปดาห์ที่ผ่านมาต่างชาติยังเป็นฝ่ายซื้อสุทธิถึงแม้สัดส่วนการซื้อสุทธิยังมีจำนวนไม่มากนัก แต่จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้แนวโน้มต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้งจากตัวเลขการเติบโตด้านเศรษฐกิจที่ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดรมว.คลังคาดเศรษฐกิจไทย 1Q51 น่าจะขยายตัวถึง 6% อย่างไรก็ตามจากการที่สภาวะการเมืองไทยที่ยังมีความเสี่ยงในกระแสเรื่องการยุบพรรคการเมืองและความวุ่นวายที่อาจจะเกิดจากการเคลื่อนไหวต่อต้านแนวคิดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำให้นักลง
ทุนจากต่างชาติอาจจะยังเข้ามาลงทุนไม่มากนักแต่จะเป็นการรอจังหวะลงทุนเมื่อสถานการณ์ด้านการเมืองชัดเจนขึ้น

4.สถานการณ์ด้านการเมือง
ประเด็นความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลเริ่มเกิดขึ้นหลังพรรคชาติไทยงดออกเสียง 12 เสียง
เพื่อเลือกนายชัย ชิดชอบเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามมติพรรคร่วมรัฐบาล ขณะที่ความเสี่ยงด้านการเมืองจากการพิจารณายุบพรรคที่อยู่ในช่วงพิจารณาคดียังเป็นสิ่งที่ต้องติดตาม เนื่องจากเป็นประเด็นที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจมากกว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่นำออกมาใช้ ดังนั้นความเสี่ยงทางด้านการเมืองที่ยังคงอยู่ จะเป็นตัวกดดันตลาดหุ้นไทย

5. 21 พ.ค.51 ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของ ธปท.
จากการที่ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปหรือ CPI เดือน เม.ย. พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ที่
ร้อยละ 6.2 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันและอาหารที่เพิ่มขึ้น และตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ยังเติบโตไปตามทิศทางที่คาดไว้ ซึ่งล่าสุด รมว.คลังคาดเศรษฐกิจไทย 1Q51 น่าจะขยายตัว 6% ซึ่งอาจจะมีผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงินตัดสินใจออกมาตรการเข้มงวดมากขึ้นในการประชุมครั้งนี้ โดยการคงอัตรา
ดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 3.25% ต่อไป

6. BOI เผยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนช่วงเดือนม.ค.-เม.ย . 2551 เพิ่มขึ้น 9.82%
มาอยู่ที่ 1.6 แสนล้านบาท สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุดในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ มาจากญี่ปุ่น ยุโรป และสิงคโปร์ ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยว่า ภาวะอุตสาหกรรมโดยรวมในช่วงต้นปีที่ผ่านมาฟื้นตัวดีขึ้นโดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวถึง 11.5%เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาคาดว่าตลอดทั้งปีจะขยายตัวในระดับ 8.3-9.3% ถือว่าเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 3 ปีจากการบริโภคของประชาชนในประเทศดีขึ้นมา สะท้อนถึงทิศทางเศรษฐกิจทียังดีต่อเนื่อง

แนวโน้มการเคลื่อนไหวระดับสัปดาห์

ด้านการวิเคราะห์เทคนิค
ดัชนีเกิดสัญญาณซื้อต่อเนื่องหลังจากผ่านยืน NECKLINE ที่ 860 ด้วยการสร้าง BREAKAWAY GAP เป็นสัญญาณบวกการขึ้นต่อตามรูปแบบรูปแบบหัวไหล่ขึ้น แต่เนื่องจากการเกิดสัญญาณซื้อตามรูปแบบเกิดในช่วง
ที่มีความเสี่ยงจากภาวะการขึ้นแรงมากเกินไปเห็นได้จากการขึ้นมาลอยเหนือเส้น BB TOP ซึ่งเกิดช่วงห่างเส้น SMA 5 วัน และค่าสัญญาณ RSI เข้าใกล้ระดับซื้อมากเกินไป จะทำให้ช่วงระหว่างทางขึ้นมีโอกาสที่จะเกิดจุดพักตัวระหว่างทางขาขึ้นได้ ดังนั้นการซื้อเก็งกำไรให้ยึดแนวรับ 860 ที่เกิดสัญญาณซื้อตามรูปแบบเป็นจุดยึดลดความเสี่ยงเมื่อต่ำกว่า แต่การปรับตัวจะเป็นจังหวะรอซื้อคืนเล่นรอบใหม่อีกครั้ง ยืน 860 ได้ต่อเนื่องมีแนวโน้มขึ้นต่อซื้อเก็งกำไรต่อเนื่อง

กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้
ซื้อเก็งกำไรต่อเนื่อง/ยกเว้นหลุดแนวรับ 860 ขายทำกำไรรอซื้อคืนแนวรับ สัปดาห์นี้มีแนวรับที่ 860***, 850 และ 843 แนวต้าน 880, 894 และ 900

ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.
ราคาน้ำมันขึ้นมาทำจุดสูงใหม่ แต่ค่าสัญญาณทางเทคนิคเริ่มปรับลงขัดแย้งกันเชิงลบ ทำให้ระยะสั้นดัชนีมีโอกาสชะลอตัวการขึ้นหรือปรับลงช่วงสั้นได้

ค่าเงินบาท/ดอลลาร์ในตลาดออนชอร์
ค่าเงินบาทเริ่มชะลอการอ่อนค่าลงต่อมีการพักตัวช่วงสั้นในทิศทางการอ่อนค่าลงในช่วงก่อนหน้า ขณะที่ค่าสัญญาณทางเทคนิคเริ่มปรับลง ทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มชะลอการอ่อนค่าลงและอาจแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์
ดัชนีแกว่งตัวในทิศทางขึ้นต่อเนื่อง ค่าสัญญาณทางเทคนิคปรับขึ้นแต่เริ่มไม่ทำจุดสูงใหม่เป็นสัญญาณอ่อนแรง ทำให้มีแนวโน้มชะลอการขึ้นและปรับลงช่วงสั้นในทิศทางขึ้นได้

ดัชนีนิกเกอิ
ดัชนีปรับขึ้นทำจุดสูงใหม่ต่อเนื่อง ค่าสัญญาณทางเทคนิคปรับขึ้นตามกันเป็นสัญญาณบวก ส่งผลให้ดัชนีมีแนวโน้มขึ้นต่อตามแนวขึ้นเดิมก่อนหน้า

:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 20/05/2008 @ 08:38:59 :
.--รอยเตอร์


ดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET Index)สัปดาห์นี้ คาดว่า จะปรับขึ้นในช่วงสั้นๆ หลังจาก

บริษัทจดทะเบียน(บจ.) ประกาศผลประกอบการในงวดไตรมาส 1/51 ออกมาหมดแล้ว

ซึ่งหลายบริษัทมีผลประกอบการดีกว่าที่คาดไว้ แต่ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง และปัญหา

การเมืองในประเทศ ถือเป็นปัจจัยลบที่กดดันต่อตลาดหุ้นไทย

นักวิเคราะห์ แนะนำว่า การที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมา ถือเป็นจังหวะเหมาะในการ

ขายทำกำไร เพราะเงินทุนต่างชาติที่เข้ามา ยังไม่ชัดเจนว่าจะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

นักวิเคราะห์ มองกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ มีแนวรับที่ 840

และแนวต้านที่ 880

เมื่อวันศุกร์ที่ 16 พ.ค. ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 870.33 จุด เพิ่มขึ้น 2.79% จาก

ระดับปิดที่ 846.71 จุด เมื่อ 9 พ.ค.ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ 2.5 พันล้านบาท

"หุ้นสัปดาห์นี้ในช่วงแรกเปิดมามีโอกาสดีดขึ้นมาที่ 875 ได้ หลังจากนั้นคง

จะถอยลง" นายเกียรติก้อง เดโช ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซิกโก้ กล่าว

เขา กล่าวว่า เหตุผลที่ดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวลง เพราะผลประกอบการของ

บจ.ประกาศออกมาหมดแล้ว จึงไม่มีปัจจัยใหม่มากระตุ้นตลาด รวมถึงราคาหุ้นขนาดใหญ่

หลายบริษัทใกล้เต็มมูลค่าแล้ว

อีกทั้ง ในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวขึ้นมาราว 30 จุด จึงอาจมี

แรงเทขายทำกำไร และส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับฐานลงได้

แต่ นายเกียรติก้อง มองว่า ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูงและมีโอกาสปรับขึ้น

อีก คงส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และเพิ่มต้นทุนของบจ.ส่วนใหญ่ ซึ่งถือเป็น

ปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้น

ส่วนเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ที่เข้ามาในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ เพราะ

ผลประกอบการในไตรมาส 1/51 ของ บจ.หลายบริษัทออกมาดี แต่เงินทุนดังกล่าว

อาจไม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง มีโอกาสจะชะลอลงได้ หากมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ

นายเกียรติก้อง มองว่า ดัชนีจะมีแนวต้านที่ 875 และ 880 ส่วนแนวรับ ที่ 860

ด้าน นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายการตลาดลูกค้าบุคคล 15

บล.ธนชาต กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 1/51 ของบจ.หลายบริษัท ที่เป็นไปตาม

คาดการณ์ และหลายบริษัทดีกว่าคาดการณ์ไว้ เช่น บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC),

บมจ.ซีพี ออล์(CPALL) รวมถึงบริษัทกลุ่มสื่อสารอื่นๆ อีกหลายแห่ง และบริษัทอสังหาริมทรัพย์

จึงทำให้มีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามา

อย่างไรก็ตาม หลังการแจ้งผลประกอบการของบจ.แล้ว นักลงทุนอาจมีการปรับพอร์ต

การลงทุนได้ อีกทั้งกรณีจะมีการขอเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ในเร็วๆ นี้ ก็ถือเป็นปัจจัยที่จะสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนด้วย

นักลงทุนไทยและต่างชาติจับตาการเคลื่อนไหวเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเมื่อ

กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศจะชุมนุมใหญ่เพื่อคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ

เพราะเห็นว่าเป็นความไม่ชอบธรรม ขณะเดียวกัน ก็มีกลุ่ม คณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไข

รัฐธรรมนูญ (คปพร.) ออกมาสนับสนุนการไขรัฐธรรมนูญด้วย

นายพิชัย ยังกล่าวถึงราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง แม้จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่ง

เป็นกลุ่มที่มีมาร์เก็ตแคป 1 ใน 3 ของตลาดหุ้นไทย แต่ราคาน้ำมันจะเป็นปัจจัยลบต่อบริษัทโดยรวม

"สัปดาห์นี้ ตลาดยังมี momentum ที่จะขึ้นต่อได้อีก แต่ก็อาจจะเผชิญแรงขายออกมาได้

แนวต้านระยะสั้น จึงอยู่ที่ 875" นายพิชัย ให้มุมมอง

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส

มองว่า ดัชนีที่มีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน นอกจากกลุ่มพลังงานแล้ว ยังมีกลุ่มแบงก์

และอสังหาริมทรัพย์

"มีโอกาสเห็น momentum ขึ้นได้อีก นอกจากกลุ่มพลังงานที่จะเป็นลีดตลาดแล้ว ก็ยัง

จะมีอีก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแบงก์และอสังหาฯ ผมมองว่า กลุ่มอสังหาฯผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ขณะที่

กลุ่มแบงก์ ไตรมาส 1 กำไรโต 22% แต่ที่ผ่านมาเป็นลักษณะ sell on fact ดังนั้นน่าจะมี

แรงซื้อคืนกลับมาได้" นายเทิดศักดิ์ กล่าว

เขา กล่าวอีกว่า ปัจจัยที่ต้องติดตามคือ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน

(กนง.) ในวันที่ 21 พ.ค.นี้ ว่าจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่ โดยตลาดคาดการณ์ว่า น่า

จะคงอัตราดอกเบี้ย เพราะขณะนี้มีแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อ

เขา คาดว่า สัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นไทย มีแนวต้านที่ 880 ส่วนแนวรับ อยู่ที่ 840


**หาจังหวะขายทำกำไร


นายเกียรติก้อง แนะนำว่า ช่วงนี้นักลงทุนควรหาจังหวะขายหุ้นออกมา เมื่อราคาปรับ

สูงขึ้น ยกเว้นหุ้น บมจ.ปตท.(PTT), บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) และ

บมจ.บ้านปู(BANPU) เพราะ 3 บริษัทนี้น่าจะได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้ง

ระดับราคายังมีความน่าสนใจที่จะลงทุนได้

ขณะที่ นายพิชัย ก็มีมุมมองเช่นกันว่า หากราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น น่าจะเป็นจังหวะที่

นักลงทุนควรขายทำกำไร เพราะยังมีหลายปัจจัยเสี่ยงรออยู่ ทั้งราคาน้ำมัน ตลาดหุ้นสหรัฐก็ยัง

อ่อนไหวเป็นรายวัน ตามตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา


ปัจจัยที่น่าจับตา

20 พ.ค.-TTA แถลงผลประกอบการ Q2/51 เวลา 10.00 น.

-AIS ร่วมกับ ซัมซุง แถลงเปิดตัวแอพพลิเคชั่นล่าสุด เวลา 10.00 น.

-บลจ.ยูโอบีฯ เปิดกองทุนใหม่ เวลา 10.30 น.

-EGCO แถลงผลประกอบการ Q1/51 เวลา 14.00 น.

-TK,PYLON,AI,IRP พบนักลงทุน

21 พ.ค.-DEMCO เปิดแผนธุรกิจใหม่ เวลา 10.00 น.

-ESTAR เชิญสัมภาษณ์ผู้บริหาร เวลา 14.00 น.

-คณะกรรมการนโยบายการเงิน แถลงผลประชุม เวลา 14.00 น.

22 พ.ค.-TTW เข้าซื้อขายในตลท.เป็นวันแรก เวลา 09.00 น.

-บล.ไซรัส จัดสัมมนา"เจาะลึกค่าเงิน...และผลกระทบต่อตลาดหุ้น" 12.30 น.

-CG,PR124 พบนักลงทุน

23 พ.ค.-BGH,GRAMMY,TIPCO พบนักลงทุน--จบ--


:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com