May 3, 2024   3:37:17 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ภาวะตลาดหุ้น
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 12/05/2008 @ 08:45:06
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย


5-9 พฤษภาคม 2551
* ภาวะตลาดทุน

ตลาดหุ้นไทย "หุ้นพลังงานนำตลาดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา"

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 846.71 จุด ขยับขึ้น 0.42%จาก 843.15 จุดในสัปดาห์ก่อน แต่ร่วงลง 1.33% จากสิ้นปี 2550 ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์เพิ่มขึ้น 36.14% จาก
67,050.03 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ 91,285.71 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่เพิ่มจาก 16,762.51ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนมาอยู่ที่ 22,821.43ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่
293.12 จุด ขยับขึ้น 2.2% จาก 286.70 จุดในสัปดาห์ก่อน และ 7.6% จากสิ้นปีก่อน
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 1,048.95 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน
ขายสุทธิที่ 656.97 ล้านบาท และ 391.99 ล้านบาท ตามลำดับ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดทำการในวันจันทร์ที่ผ่านมาเนื่องในวันฉัตรมงคลและปรับตัวขึ้นได้ 3 วันติดต่อกันหลังจากนั้น โดยในวันอังคารนั้น ดัชนีเปิดตลาด
ในแดนบวกและเคลื่อนไหวในกรอบแคบตลอดวัน นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และการที่มีหุ้นใหม่(บมจ.เอสโซ่) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่มีแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มธนาคาร อสังหาริมทรัพย์และเทคโนโลยี ทั้งนี้ ดัชนีพุ่งขึ้นต่อในช่วง
เช้าวันพุธก่อนที่จะแกว่งตัวในกรอบแคบ โดยหุ้นกลุ่มพลังงานยังคงทะยานขึ้นจากราคาน้ำมันในตลาดโลกซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มอาหาร ปิโตรเคมีและกลุ่มบริการจากการคาดการณ์ผลประกอบการที่สดใส แต่มีแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคารและวัสดุก่อสร้าง ส่วนในวันพฤหัสบดี
นั้น ดัชนีพุ่งขึ้นก่อนที่จะแกว่งตัวลงในตอนบ่าย โดยยังมีแรงซื้อหนาแน่นในหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่มีแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดลดลง ในวันศุกร์ ตามแรงขายที่หนาแน่นในหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงานซึ่งได้ปรับตัวขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดเริ่มมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นต่ออัตราเงินเฟ้อและการขยายตัวของเศรษฐกิจ

สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์หน้า (12-16 พฤษภาคม 2551) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า นักลงทุนคงจับตามองทิศทางของราคาน้ำมันในตลาดโลกในสัปดาห์หน้าซึ่งการพุ่งขึ้นของราคาแม้จะเป็นปัจจัยหนุนการปรับตัวของหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่ความกังวลเกี่ยวกับการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้ออาจจะกระทบต่อหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญในสัปดาห์หน้า ได้แก่ การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนเมษายน
รายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ในวันพุธ ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยโดยสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ตัว
เลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนเมษายนในวันศุกร์ เป็นต้น ทางบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยคาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 834 และ 829 จุด และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 855 และ 865 จุด ตามลำดับ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ "ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อถ่วงดัชนีร่วงลง"
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม 2551 ดัชนี DJIA ปิดที่ 12,866.78 จุด ปรับตัวลดลง 1.47% เมื่อเทียบกับ 13,058.20 จุดเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน และ 3.00% จากสิ้นปีก่อน ขณะที่ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 2,451.24 จุด ร่วงลง 1.04% เมื่อเทียบกับ 2,476.99 จุดปลายสัปดาห์ก่อน และ 7.58% จากสิ้นปีก่อนหน้า ตลาดหุ้นสหรัฐฯขยับลงเล็กน้อยในวันจันทร์ โดยหุ้นในกลุ่มการเงินเผชิญกับแรงขายหลังข่าวที่ว่า แบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ปอาจจะยกเลิกข้อตกลงในการเสนอซื้อคันทรีไวด์ ไฟแนนเชียล คอร์ปซึ่งเป็นบริษัทปล่อยกู้จำนองรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในขณะที่ไมโครซอฟท์ คอร์ป อาจจะยกเลิกข้อเสนอในการซื้อยาฮู อิงค์

อย่างไรก็ตาม ดัชนีขยับขึ้นได้ในวันอังคารหลังการแสดงความเห็นของผู้บริหารบริษัทแฟนนี เมที่ว่าภาวะเลวร้ายที่สุดของตลาดสินเชื่อสหรัฐฯน่าจะผ่านพ้นไปแล้วซึ่งได้ช่วยหนุนราคาหุ้นในกลุ่มการเงิน ส่วนราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่การที่ราคาน้ำมันยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องเหนือ 123 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันพุธ ได้ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลเกี่ยวกับการเร่งตัวของเงินเฟ้อซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค ส่งผลให้มีแรงขายหุ้นกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มผู้ผลิตขนาดใหญ่ที่ต้องพึ่งพิงน้ำมัน ประกอบกับ การแสดงความเห็นของประธานเฟดสาขา แคนซัส ซิตี้ที่ว่า
เฟดพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้ทำให้ถ่วงให้ดัชนีปิดร่วงลง 206.48 จุด ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวขึ้นอีกครั้งในวันพฤหัสบดี นำโดยการปรับตัวของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มพลังงาน แต่หุ้นในกลุ่มการเงินร่วงลงจากความกังวลเกี่ยวกับการออกข้อกำหนดใหม่ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์สหรัฐฯที่ระบุให้วาณิชธนกิจชั้นนำต้องเปิดเผยข้อมูลสภาพคล่องและสถานะเงินทุนในปัจจุบันต่อสาธารณชน

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น "ดัชนี NIKKEI ปิดลดลงเป็นรายสัปดาห์เป็นครั้งแรกในรอบ 2 เดือน"
เมื่อวันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม 2551 ดัชนี NIKKEI ปิดที่ 13,655.34 จุด ร่วงลง 2.8% จากปิดตลาดที่ 14,049.26 จุด เมื่อสัปดาห์ก่อน และ 10.79% จากสิ้นปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการเมื่อวันจันทร์และวันอังคารที่ผ่านมา ส่วนในวันพุธนั้น ดัชนี NIKKEI พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปลายสัปดาห์ก่อน โดย
ปิดที่ 14,102.48 จุด อันเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 4 เดือน นำโดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มเทรดดิ้ง เฮาส์ หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ ก่อนที่ดัชนีจะปิดตลาดร่วงลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 วันทำการในวันพฤหัสบดี จากแรงขายทำกำไรหุ้นในกลุ่มการเงิน ตามทิศทางของหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดหุ้นสหรัฐฯท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หลังการแสดงความเห็นของประธานเฟดสาขา แคนซัส ซิตี้ ที่ว่าเฟดพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังคงร่วงลงอย่างต่อเนื่องในวันศุกร์ โดยร่วงลง 287.92 จุด หรือ 2.06% ไปปิดที่ 13,655.34 จุด ซึ่งเป็นการปิดลดลงเป็นรายสัปดาห์เป็นครั้งแรกในรอบ 2 เดือน จากแรงขายหุ้นในกลุ่มส่งออก เช่น หุ้นฮอนด้า มอเตอร์ และหุ้นแคนนอน อิงค์ จากการแข็งค่าของเงินเยน ในขณะที่หุ้นโตโยต้า มอเตอร์ ปรับตัวลดลงหลังการรายงานผลกำไรสุทธิรายไตรมาสที่ลดลงเกินคาด พร้อมทั้งปรับประมาณการผลกำไรสุทธิของปีนี้ลงเช่นกัน


:cry:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 12/05/2008 @ 08:49:16 :
บล.โกลเบล็ก

WEEKLY COMMENTS : รัฐบาลควรเร่งแก้ไขปัญหาราคาสินค้ามากกว่าเร่งแก้รัฐธรรมนูญ
* ภาวะเงินเฟ้อสูงทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกวิตกการใช้นโยบายการเงินเข้มงวดต่างๆ
* นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุน หวั่นแก้รัฐธรรมนูญกระทบการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ
* แนวรับ 837 , 830 และ 820 แนวต้าน 853 , 860 และ 869

สรุปภาวะตลาดประจำสัปดาห์ที่ผ่านมา 6-9 พฤษภาคม 2551
สรุปภาวะการลงทุนสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีปิดที่ 846.71 เพิ่มขึ้น 3.56 จุด จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่อยู่ระดับปิดที่ 843.15 โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 22,198 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 16,762 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 982 ล้านบาท ต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,201 ล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 1,219 ล้านบาท

ภาพรวมการแกว่งตัว : วันอังคารดัชนีปรับขึ้นสวนตลาดต่างประเทศที่ปรับลงมีแรงซื้อกลุ่มพลังงานสลับกับการเลือกซื้อเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มอื่น ขณะที่ ESSO เข้าซื้อขายวันแรกทำให้ VOLUME ซื้อขาย
มากขึ้นวันพุธดัชนีปรับตัวขึ้นเล็กน้อยหลังต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิและราคาน้ำมันที่ขึ้นมาทำจุดสูงใหม่ทำให้มีแรงซื้อเด่นกลุ่มพลังงาน ขณะที่กลุ่มอื่นมีแรงซื้อกระจายกันออกไปแต่ไม่มากนัก วันพฤหัสบดี ดัชนีปรับตัวขึ้นเล็กน้อยสวนตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับลงแรงกว่า 206 จุด โดยเกิดจากแรงซื้อ PTT และ PTTEP ที่ช่วยพยุงตลาดไว้ ขณะที่แรงขายหุ้นกลุ่มอื่นออกมาไม่มากนัก วันศุกร์ดัชนีปรับตัวลงหลังเริ่มมีแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานที่เป็นกลุ่มหลักในการพยุงตลาดช่วงก่อนหน้าพร้อมกับขายกลุ่มธนาคารออกมาด้วย โดยที่แรงซื้อขายในตลาดเริ่มเบาบางลง
ปัจจัยที่เข้ามากระทบตลาดได้แก่ : ราคาน้ำมันขึ้นมาทำจุดสูงใหม่เป็นประวัติการณ์, 6 เม.ย.
ESSOเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก,ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ

ปัจจัยสำคัญที่น่าติดตามและมีผลต่อการลงทุนในสัปดาห์ 12-16 พฤษภาคม 2551
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ 12-16 พฤษภาคม 2551 ทางฝ่ายวิเคราะห์ บล
.โกลเบล็กฯ ประเมินภาวะตลาดมีโอกาสปรับตัวลงในกรอบจำกัด เนื่องจากถูกกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้ออาจจะลุกลามมากขึ้นจนควบคุมไม่อยู่ภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้อีกจาการเก็งกำไรของกองทุนขนาดใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาวะ
เศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคถูกขายทำกำไรออกมามากเนื่องจากเกรงกันว่าจะมีการใช้นโยบายการเงินเข้มงวด (เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย การเพิ่มมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อ) เพื่อชะลอภาวะเงินเฟ้อ อาทิเช่น ตลาดหุ้นจีน ทั้งนี้ได้ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้นเมื่อตลาดหุ้นไทยกลับตัวผ่านขึ้นไปทำจุดสูงใหม่ที่ระดับ 856.81 แต่ไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านจิตวิทยา 850 จุดได้เป็น
สัญญาณลบทางเทคนิคที่ทำให้SETมีโอกาสปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับ 838 ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติไม่ได้กลับเข้ามาลงทุนมากขึ้นหลังการโรดโชว์เนื่องจากมองว่า รัฐบาลให้ความสำคัญและมุ่งแก้ไขปัญหาทางการ
เมืองมากกว่าการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ หากมีการเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีผลกระทบกับนโยบายการดำเนินทางเศรษฐกิจ จึงชะลอการลงทุนออกไปเพื่อรอดูความชัดเจนอีกครั้งหลังปิดสภา สังเกตได้นักลงทุนต่างชาติไม่ได้ซื้อสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งที่หน่วยงานราชการและเอกชนคาดการณ์การเติบโตGDPไทยในระดับเข้าใกล้ 6% ในสัปดาห์นี้จับตาการบรรจุวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสภาว่าจะทันหรือไม่ (ปิดสมัยประชุม 19 พฤษภาคมนี้) หรือจะมีการบรรจุวาระเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหา
ภาวะเงินเฟ้อ ในมุมมองของฝ่ายวิเคราะห์ฯเห็นด้วยกับกลุ่มเครือข่ายแพทย์อาวุโสที่ออกแถลงการณ์เตือนสติ
รัฐบาลให้หันมาแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชนดีกว่าเร่งรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม จะทำให้ประเทศเกิดการเผชิญหน้าและเกิดความรุนแรงขึ้นได้ ทั้งนี้สอดคล้องกับการสำรวจต่างๆเกี่ยวกับผลงานของรัฐบาล ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่ปัญหาเร่ง
ด่วนของชาติที่จะได้รับการแก้ไขเป็นอันดับแรก ในขณะที่ปัญหาปากท้องของประขาชนเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้
รับการไขเป็นอันดับแรก

ปัจจัยที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้
1. ราคาน้ำมัน
สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิหร่านและชาติตะวันตกซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ชาติตะวันตกยื่นข้อเสนอเพื่อโน้มน้าวให้อิหร่านยุติโครงการนิวเคลียร์แต่อิหร่านกลับปฏิเสธไม่รับมาตรการจูงใจใดๆ กับเหตุความไม่สงบในไนจีเรียที่มีผลต่อการผลิตน้ำมัน พ้อมกับการกลับมาอ่อนค่าลงของค่าเงินดอลลาร์ จากปัจจัยเหล่านี้
จะเป็นตัวหนุนราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตามจากข่าวที่ว่าซาอุดิอาระเบียจองเรือขนส่งน้ำมันจำนวนมากเพื่อส่งออกน้ำมันไปยังสหรัฐในช่วงต้นเดือนมิ.ย.และกลุ่มโอเปกรับประกันว่าจะผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นถ้าหากมีความจำเป็นจะเป็นตัวกดดันราคาน้ำมันให้ปรับขึ้นไม่มากนัก แต่คาดว่าจะยังคงทรงตัวในระดับสูงต่อไป

2. ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ
ปัญหาเศรษฐกิจที่สหรัฐกำลังเผชิญกับภาวะถดถอยที่ชัดเจนเกิดขึ้นให้เห็น โดยทางการมีมาตรการหลายอย่างออกมาแก้ไข FED ลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ระดับต่ำที่ 2 % เริ่มมีปัญหาเงินเฟ้อเกิดขึ้น ทำให้การใช้มาตรการโดยการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทำได้ยากขึ้น ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกต่อไป แต่จะไม่รุนแรงเท่าช่วงก่อนหน้าเนื่องจากตลาดหุ้นส่วนใหญ่ได้ตอบรับกับ
ปัญหาที่เกิดขึ้นไปมากแล้ว ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศออกมาจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงทิศทางเศรษฐกิจที่สำคัญ คงต้องติดตามตัวเลขเพื่อประเมินทิศทางตลาดต่อเนื่อง

3.การคาดการณ์เศรษฐกิจไทยไตรมาสขยายตัว 6 %
กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดการณ์เศรษฐกิจไทยยังคงมีเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ ตัวเลขการใช้จ่ายภาคเอกชนมีแนวโน้มดีขึ้นจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ การลงทุนภาคเอกชน โครงการลงทุนภาครัฐ รวมทั้งการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดี

4.แรงซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ
สัปดาห์ที่ผ่านมาต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหลังช่วงก่อนขายสุทธิออกเล็กน้อยซึ่งเกิดจากความกังวล
ด้านการเมืองมากกว่าปัญหาด้านเศรษฐกิจ จากสัดส่วนการขายที่ยังออกมาไม่มากนักและเริ่มกลับมาซื้อสุทธิ
อีกครั้ง ในขณะที่ค่าเงินบาทยังทรงตัวไม่ได้อ่อนค่าขึ้นมากทำให้คาดได้ว่ายังไม่มีเงินไหลออกจากการขาย
สุทธิของต่างชาติ

5.สถานการณ์ด้านการเมือง
ประเด็นความขัดแย้งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำให้มีความรุนแรงเกิดขึ้นหลังกลุ่มพันธมิตรฯมีการชุมนุมต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และคาดว่ากลุ่มพันธมิตรฯจะยังคงเคลื่อนไหวต่อต้านต่อไป ขณะที่การพิจารณาคดียุบพรรคของพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย รวมถึงคดีนายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่อยู่
ระหว่างพิจารณาคดีซึ่งถ้าผิดจริง ก็จะส่งผลต่อพรรคพลังประชาชนให้ถูกพิจารณายุบพรรคเช่นเดียวกัน จากปัจจัยข้างต้นทำให้เป็นความเสี่ยงทางด้านการเมืองที่ยังกดดันตลาดหุ้น

6. ธปท. เผยกำลังจับตาดูเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด
จากการที่ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปหรือ CPI เดือน เม.ย. พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ที่
ร้อยละ 6.2 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันและอาหารที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะมีผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน ออมาตรการเข้มงวดมากขึ้นในการประชุม กนง.ครั้งต่อไปในวันที่ 21 พ.ค.นี้

7. S&P และ IMF ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก
โดย S&P คาดว่าปีนี้และปีหน้าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวมากกว่าชะลอตัวโดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนและอินเดีย ขณะที่ไทยยังมีความเสี่ยงด้านการเมืองและนโยบายรัฐฯเป็นหลักแต่ไม่รุนแรงถึงขั้นเปลี่ยน
แปลงอันดับความน่าเชื่อถือ ขณะที่ IMF รายงานเศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวถึง 6%ในปีนี้ จาก4.8%ในปีก่อน เนื่องจากการส่งออกที่สดใสจากการขยายตลาดไปยังตลาดอื่นนอกเหนือจากสหรัฐฯที่ประสบความสำเร็จ จากมุมมองเชิงบวก และรัฐบาลเองก็ออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุนออกมาอย่างต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยบวกต่อต่อตลาดหุ้นไทย

แนวโน้มการเคลื่อนไหวระดับสัปดาห์

ด้านการวิเคราะห์เทคนิค ดัชนีไมผ่านยืนแนวต้าน 853 ก่อนปรับตัวลงมาเป็นแท่งเทียนสีดำเป็นสัญญาณแรงขายระยะสั้น ส่งผลให้การขึ้นรอบใหม่ตามรูปแบบสามเหลี่ยมยังไม่เกิดขึ้น ทำให้ดัชนีมีโอกาสพักตัวลงจากแรงกดดันเส้น BB TOP ที่มีภาวะความร้อนแรงมากเกินไปเข้าหาแนวรับกรอบสามเหลี่ยมที่ 837 อีกครั้ง แต่การตัดกันขึ้นมาของเส้น SMA 5 วันตัด SMA 10 วัน เป็นสัญญาณบวกแนวรับ และ VOLUME
ขายออกมาไม่มากนัก ทำให้มีโอกาสยืนแนวรับที่ 837 ซึ่งจะส่งผลให้การกลับตัวขึ้นรอบใหม่มีโอกาสเกิดขึ้น กรณีกลับตัวผ่านยืนแนวต้าน 853 จะเป็นสัญญาณซื้อรอบใหม่ทันทีตามรูปแบบสามเหลี่ยมขาขึ้น
กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ปรับตัวเป็นจังหวะรอซื้อเก็งกำไรแนวรับกรอบสามเหลี่ยมที่ 837 / ผ่านยืน 853 เป็นสัญญาณขึ้นต่อเนื่อง สัปดาห์นี้มีแนวรับที่ 837, 830 และ 820 แนวต้าน 853, 860 และ 869

ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.
ราคาน้ำมันที่ขึ้นมาทำจุดสูงใหม่ได้เป็นสัญญาณขึ้นต่อตามแนวโน้มขึ้นเดิม ค่าสัญญาณทางเทคนิคปรับขึ้นตามกัน เป็นสัญญาณบวกสอดคล้องทำให้ราคามีแนวโน้มปรับขึ้นต่อ

ค่าเงินบาท/ดอลลาร์ในตลาดออนชอร์
ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงต่อหลังจากพักตัวช่วงสั้นในทิศทางการฟื้นตัวของการอ่อนค่าลงในช่วงก่อนหน้า ขณะที่ค่าสัญญาณทางเทคนิคเริ่มปรับขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์
ดัชนีแกว่งตัวในทิศทางขึ้นต่อเนื่อง ค่าสัญญาณทางเทคนิคยังเป็นสัญญาณบวก ส่งผลให้ดัชนีมีแนวโน้มแกว่งตัวขึ้นต่อ

ดัชนีนิกเกอิ
ดัชนีปรับขึ้นทำจุดสูงใหม่ต่อเนื่อง ค่าสัญญาณทางเทคนิคปรับขึ้นตามกันเป็นสัญญาณบวก ส่งผลให้ดัชนีมีแนวโน้มขึ้นต่อตามแนวขึ้นเดิมก่อนหน้า


:lol:
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 12/05/2008 @ 08:54:05 :
Seamico Securities

The Stock Exchange of Thailand
ปิด 846.71 จุด ณ 9 พ.ค. 51

การฝ่า Neckline ของ Head & Shoulders Bottom บริเวณ 843 จุด เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ส่งผลบวกต่อโครงสร้างระยะกลางมาก ทำให้ Points & Figure เกิดสัญญาณซื้อ อีกทั้งยังแสดงถึงเป้าหมายหลักของการทดสอบรอบนี้บริเวณ 880-890 จุด แม้ช่วงระหว่างทางของการดีดตัว ดัชนีจะเกิดความผันผวน แต่จะไม่ส่งผลต่อโครงสร้างใหญ่มากนัก ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตลอดสี่วันทำการนั้น ดัชนีดีดตัวอย่างรวดเร็วทดสอบ Tweezers Top บริเวณ 853 จุด หลายครั้ง ซึ่งยังไม่ประสบผลสำเร็จในการฝ่าแนวต้านย่อยนี้ อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดการปรับฐานตามมา แต่ดัชนียังสามารถยืนเหนือ Neckline เดิม และเส้นค่าเฉลี่ย 10 สัปดาห์ ช่วง 840-845 จุด ได้อย่างมั่นคง การปรับลงทดสอบแนวรับนี้เปิดโอกาสให้นักลงทุนระยะกลางเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้

การคาดการณ์ทิศทางสัปดาห์นี้ สัญญาณซื้อที่เพิ่งเกิดขึ้นใน RSI และ Stochastic จะผลักดันให้ดัชนีดีดตัวได้อีก โดยมีระดับ 860 จุด เป็นแนวต้านระดับสัปดาห์ การปรับฐานใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่น่าอ่อนตัวลงต่ำกว่าช่วง 840-845 จุด หุ้นที่โดดเด่นมักพบในกลุ่มพลังงาน วัสดุอุตสาหกรรม อาหารและเครื่องดื่ม
ชิ้นส่วนยานยนต์ และขนส่ง โดยมีหุ้นที่น่าสนใจ อาทิ BANPU, PTT, PTTEP, APURE, LST, TVO, LHK,
CSP, GSTEEL, SAT, TRU, YNP, TTA, PSL และ ASIMAR

แนวรับ : 840-845 จุด
แนวต้าน : 860-865 จุด

:lol:
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#3 วันที่: 12/05/2008 @ 09:22:40 :
บล.ธนชาต

น้ำมันดีดตัวขึ้นเหนือ USD126/bbl จากความกังวลเรื่อง supply และการเก็งกำไรในขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่าจากตลาดที่ยังอ่อนไหวเพราะกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐหลังจากที่ AIG รายงานขาดทุนใน 1Q08 สำหรับตลาดไทย เราคาดว่าจะมีแรงซื้อในหุ้นที่ประกาศผลประกอบการออกมาดี เช่น BANPU ที่กำไรเพิ่มขึ้น 74% y-y และ QH ที่กำไรเติบโต 33% y-y

ตลาดสหรัฐถูกกดดันจากราคาน้ำมันที่ทำ new high และ AIG ที่ขาดทุน
* ตลาดสหรัฐอ่อนตัวจากน้ำมันที่ทำ new high และจากการดึงลงของราคาหุ้น AIG ที่รายงาน
ผลขาดทุน 7.81 พันล้านเหรียญสหรัฐใน 1Q08
* ราคาหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินปรับตัวลดลง และดอลลาร์กลับมาอ่อนตัวลง
* ขาดดุลการค้าของสหรัฐเดือน มี.ค.08 ลดลงต่ำกว่าที่ตลาดคาดเหลือ 58.21 พันล้านเหรียญสหรัฐเนื่องจากมูลค่าส่งออกเติบโตมาก ในขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้มูลค่านำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ตลอดจนวัตถุดิบ และสินค้าประเภททุนลดลง และที่น่าสังเกตคือขาดดุลการค้ากับจีนลดลงเหลือ 16.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ต่ำสุดใน 2 ปี

น้ำมันปิดเหนือ USD125/bbl
* NYMEX ปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น USD2.27/bbl เป็น USD125.96/bbl (แตะ peak
ระหว่างวันที่ระดับ USD126.25/bbl) จากความกังวลด้าน supply และการเก็งกำไร
* OPEC อาจพิจารณาเพิ่มการผลิตน้ำมันในการประชุมในรอบหน้าในเดือน ก.ย.นี้หากราคา
น้ำมันยังปรับขึ้นต่อเนื่อง
* Commodities ปิด mixed โดยทองแดงลดลงมากกว่า 2% จากความกังวลว่าการสั่งซื้อจากจีนจะชะลอตัว ส่วนราคาทองคำ และแพลตตินัมปิดบวก

BANPU & QH กำไรเติบโตตามคาด ส่วน BH กำไรต่ำกว่าคาดเล็กน้อย
* BANPU (BUY; TP THB570.0) รายงานกำไรใน 1Q08 ที่ 2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 74% y-y และ 5% q-q จากราคาขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้น 37% y-y, การผลิตที่เพิ่มขึ้น 56% y-y และส่วนแบ่งกำไรจาก BLCP ที่สูงขึ้น คาดกำไรในช่วงที่เหลือของปีจะยังเติบโตสูง
* BH (REDUCE; TP THB32.0) รายงานกำไร 1Q08 ที่ต่ำกว่าคาดเล็กน้อยโดยยอดขายเพิ่มในอัตราที่ลดลง และแม้ downside จะจำกัดจากราคาหุ้นที่ลดลงมา 11% YTD แต่เรายังไม่เห็นปัจจัยที่จะ
ผลักดันราคาหุ้นขึ้นไปได้
* QH (BUY; TP THB3.5) กำไร 1Q08 เพิ่มขึ้น 33% y-y และใกล้กับที่คาด เชื่อว่าผล
ประกอบการในช่วงที่เหลือจะดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ที่น่าจะทำให้ยอดโอนเพิ่มขึ้น ยังแนะนำ
"ซื้อ"

NEWS BY THE NUMBER
ACAP: ตั้งเป้าเพิ่มพอร์ตบริหารสินทรัพย์ปีนี้ 6 หมื่นลบ. จ่อครึ่งปีหลังได้ลูกค้า IB เพิ่มอีก 4-5 ราย มูลค่ากว่า 70-80 ลบ. ทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วง 3Q08-4Q08 ผู้บริหารเผยหลังร่วมทุน IFC จะ
ทำให้มีศักยภาพในการทำงานต่างประเทศมากขึ้น เล็งศึกษาตลาดในประเทศจีนและอินโดนีเซีย (ทันหุ้น)
BANPU: ผลการดำเนินงาน 1Q08 กำไร 2,074 ล้านบาท โต 74%y-y มียอดขายถ่านหินรวม 4.54 ล้านตัน เคาะราคาขายเฉลี่ย 49.39 ดอลลาร์ต่อตัน เพิ่มสูงถึง 37% (ทันหุ้น)
BGH: ได้ยาดีกลุ่มโรงพยาบาลในเครือประเทศกัมพูชาหนุนคนไข้ต่างชาติขยับ 20% ขณะที่คนไข้
ในไม่น้อยหน้าแห่เข้าใช้บริการล่าสุดยอดพุ่งพรวด 10-12% ลั่นกลยุทธ์ SKY ICU ใช้ได้ผล ด้านผู้บริหาร
เตรียมเปิดป้ายโรงพยาบาลในเมืองอาบูดาบีอีกกว่า 60 เตียง ช่วง 4Q08 คาดเป้ารายได้ปีนี้โตชัวร์ 10-15% จากปี 07 ที่ทำได้ 1.88 หมื่นล้านบาท (ทันหุ้น)
CK: พร้อมรีเทิร์นอีกครั้งปีนี้ลุ้นรายได้กว่า 1.5 หมื่นลบ. เหตุรับรู้รายได้จากเขื่อนน้ำงึม 2
เต็มที่ ขณะที่แบ็คลอคในมือทะลัก 2 หมื่นลบ. แถมกำไรพิเศษจากหุ้น TTW อีกกว่า 500 ล้านบาท วงในส่ง
ซิกกลางปีลุ้นข่าวดีปันผลพิเศษไม่ต่ำกว่า 0.05 บาท (ข่าวหุ้น)
CPALL: รับผลดี 2 เด้งทบทวน พ.ร.บ. ค้าปลีก-ค่าส่ง และดัชนีความเชื่อมั่นฟื้นตัว เตรียม
โชว์ผลงาน 1Q08 รายได้โต 10-20%y-y เตรียมเปิดสาขาใหม่ 450 สาขา และปรับปรุงสาขาเก่าด้วย
งบลงทุนกว่า 2 พันลบ. หวังดันผลงานทั้งปีโตตามเป้า 15% ลั่นแผนขายโลตัสจีนจบแน่ 3Q08 (ทันหุ้น)
DELTA: เผยปีนี้เน้นทำกำไรมากกว่ายอดขาย คาดทะลุเกิน 3.1 พันล้านบาท ที่ทำไว้เมื่อปี 07 เพื่อส่งผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นหลังมุ่งสร้างยอดขายมาหลายปี พร้อมเปิดบริษัทใน 3 ประเทศ หวังกอบรายได้
หลายทางเสริม (ผู้จัดการ)
IRC: แจง 2Q08 กำไร 83 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน หลังอุตสาหกรรมรถยนต์ฟื้นตัวรับออเดอร์
ซื้อเพียบ "พิมพ์ใจ" เชื่อหนุนรายได้ทั้งปีแตะ 5.2 พันลบ. พร้อมทุ่มเงินลงทุนกว่า 500 ลบ. ขยายกำลังผลิตเพิ่ม 30% รับงานอีโคคาร์ (ข่าวหุ้น)
IRPC: เผย 1Q08 กำไรแค่ 1,628 ล้านบาท ลดลงกว่า 41% ทั้งที่รายได้เพิ่มขึ้นกว่า 1 หมื่นลบ. เหตุแบกภาระต้นทุนการขายเพิ่มขึ้นกว่า 24% ส่งผลกำไรขั้นต้นลดลงไปกว่า 743 ล้านบาท (ข่าวหุ้น)
KBANK: เผยในปี 08 ธนาคารตั้งเป้าเติบโตยอดบัตรเครดิตใหม่อีก 2 แสนบัตร จากฐานบัตรเครดิตในปัจจุบันมีทั้งหมด 1.1 ล้านบัตร ทำให้คาดว่าสิ้นปีนี้ฐานบัตรจะเพิ่มเป็น 1.3 ล้านบัตร ซึ่งคาดว่า
จะทำได้ตามเป้าแน่นอนหรืออาจจะเกินเป้าก็เป็นได้ (ข่าวหุ้น)
SAM: เผยปี 08 บริษัทจะพลิกกลับมาเป็นกำไรจากปี 07 ที่ขาดทุนสุทธิ 73.67 ลบ. และราย
ได้น่าจะโตราว 10-15% เนื่องจากปีนี้ยอดขายเพิ่มขึ้นและราคาเหล็กยังอยู่ในระดับสูง โดย 1Q08 บริษัท
จะมียอดขายที่เพิ่มขึ้น 15-16%y-y (ข่าวหุ้น)
SF: เผย 1Q08 กำไรสุทธิ 128 ล้านบาท โต 132%y-y เหตุพื้นที่เช่าเพิ่มหนุนรายได้พุ่งกว่า 246 ล้านบาท ส่วนรายได้ปีนี้ "สมนึก" มั่นใจทำได้ตามเป้า 2.3 พันลบ ขณะที่ 3Q08 เล็งเปิดบริการโครงการ "เมเจอร์ อเวนิวรัชโยธิน" มูลค่า 1 พันลบ. (ข่าวหุ้น)
SPPT: โอดซับไพรม์ และบาทแข็ง 31.50 บาท ป่วนธุรกิจ เร่งอัดกลยุทธ์ 3 แนวทางรุกขยายธุรกิจ Non Hard Disk Drive มุ่งเจาะตลาด BRIC และปั๊มรายได้บริษัทลูก SPEE เพิ่ม หนุนกำไรขั้น
ต้นพุ่ง 17-18% จาก 14.4% หวังตุนรายได้ปีนี้เข้าเป้า 1,000 ล้านบาท (ทันหุ้น)
UMS: ขยับเป้ายอดขายปีนี้มากกว่า 30% รับอานิสงส์ราคาน้ำมันพีคต่อเนื่อง "ชัยวัฒน์" โชว์ยอด
ลูกค้าพุ่ง 400 ราย ขณะที่กำไร 1Q08 ตามคาด (ข่าวหุ้น)


:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com