April 29, 2024   1:02:48 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > จับตาการลงทุนวันนี้
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 29/04/2008 @ 09:05:00
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

.--รอยเตอร์


*ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบเล็กน้อยวานนี้ หลังบริษัท Mars Inc ผู้ผลิตขนมยี่ห้อ M&M เสนอ

ซื้อบริษัทผู้ผลิตหมากฝรั่งรายใหญ่สุดของโลก ซึ่งนับเป็นข้อตกลงการเทคโอเวอร์ที่

ใหญ่ที่สุดในปีนี้ ซึ่งช่วยชดเชยความเห็นของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่ทรง

อิทธิพล ที่ระบุว่า สหรัฐอาจเผชิญภาวะถดถอยที่ลงลึก และยาวนาน

*ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือนมิ.ย.ปิดวานนี้ ปรับขึ้น 23 เซนต์

ปิดที่ 118.75 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยระหว่างวันขึ้นแตะ 119.93 ดอลลาร์/บาร์เรล

ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ โดยได้แรงหนุนจากปัญหาขัดข้องด้านอุปทานในไนจีเรีย และการ

สไตรค์ที่ส่งผลให้มีการปิดโรงกลั่นน้ำมันเกรนจ์เมาธ์ในสก็อตแลนด์

*"สมัคร"ระบุว่า เศรษฐกิจไทยปี 51 จะขยายตัวได้ถึง 6.5% เพราะสัญญาณเศรษฐกิจ

มีทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

*ธปท.เผยทิศทางดอกเบี้ยของไทย จะขึ้นกับปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก แม้มีการคาด

การณ์ว่า เฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้

*รมว.คลัง ระบุว่า สหรัฐอเมริกาแสดงความสนใจจะเข้ามาขยายธุรกิจการค้า และ

การลงทุนในไทย แม้ขณะนี้สหรัฐจะประสบปัญหาภาคการเงินก็ตาม แต่ยังมีหลายภาค

อุตสาหกรรม ที่ยังได้รับประโยชน์จากเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง

*รมว.คลัง ระบุยังไม่ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลขณะนี้ เพราะราคาน้ำมันตลาดโลก

ยังผันผวนมาก แต่พร้อมพิจารณามาตรการช่วยเหลืออื่นๆ เช่น เรื่องพลังงานทดแทน

*สนพ.เผยปริมาณใช้ไฟฟ้า ไตรมาส 1/51 อยู่ที่ 36,732 ล้านหน่วย เพิ่ม 3.85%

จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตที่ชะลอตัว เหตุผู้บริโภคปรับพฤติกรรมการ

ใช้ไฟฟ้า หลังราคาน้ำมันแพง

*ส.อ.ท.ระบุยอดส่งออกรถยนต์ในมี.ค. 51 มีทั้งสิ้น 72,972 คัน เพิ่ม 21.18% จาก

งวดเดียวกันปีก่อน โดยมีมูลค่าส่งออก 3.23 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.39%

*บล.เจพี มอร์แกน(ประเทศไทย) มองหลังรมว.คลังโรดโชว์ต่างประเทศ จะทำให้นักลงทุน

ต่างชาติเข้าใจการลงทุนไทยมากขึ้น,กลุ่มเจพี ยังให้น้ำหนักลงทุนในไทย"overweight"

*"สมัคร"จะหารือกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรค เกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมาย

รัฐธรรมนูญปี 50 ภายหลังเสร็จภารกิจต้อนรับนายกรัฐมนตรีสหภาพพม่าเยือนประเทศไทย

*หนังสือพิมพ์เผย รมว.อุตสาหกรรม จะเสนอครม.วันนี้เพื่ออนุมัติปรับราคาอ้อยขั้นต้น

เป็น 807 บาท/ตัน จากเดิม 600 บาท/ตัน และปรับราคาน้ำตาลหน้าโรงงานอีก 5 บาท

ต่อกก. ส่งผลราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นเป็น 22 บาท/กก.

*หนังสือพิมพ์เผย นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ร้องต้นทุนน้ำมัน-วัสดุปรับเพิ่ม

ขึ้น ส่งผลผู้รับเหมาโครงการรัฐขาดทุนรวมกว่า 1 หมื่นลบ. และล่าสุดผู้ประกอบการ

เข้าพบรมว.อุตสาหกรรม เรียกร้องยกเลิกค่า K และขอให้รัฐจ่ายตามจริง

*หนังสือพิมพ์เผย รมว.พาณิชย์จะเสนอครม.วันนี้ นำสต็อกข้าว 2.1 ล้านตันทำข้าวถุง

ขายประชาชนราคาถูกในโครงการข้าวถุงธงฟ้ามหาชน โดยผ่านช่องทางผู้ว่าจังหวัด-

อบต.รวมถึงพาณิชย์จังหวัด โดยราคาถูกกว่าท้องตลาดราว 20%

*หนังสือพิมพ์เผย รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อเดือนเม.ย.ของธปท.ระบุว่า ความเสี่ยง

จากปัจจัยต่างประเทศที่เป็นผลจากปัญหาซับไพร์ม ทำให้เกิดความผันผวนทางการเงิน

และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจมีผลต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ

การเงินของไทยมากขึ้นในระยะต่อไป

*หนังสือพิมพ์เผย รมว.แรงงาน สั่งคณะกก.ค่าจ้างจัดประชุมปรับเพิ่มค่าจ้างทั่วประเทศ

วันนี้ คาดปรับเพิ่มอีกวันละ 9 บาท

*หนังสือพิมพ์เผย บีโอไอ อนุมัติการลงทุนเกือบ 2 พันลบ.ให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์

โดยเน้นใช้วัตถุดิบในประเทศ คาดเม็ดเงินสะพัดในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ 1.4 แสนลบ.

*หนังสือพิมพ์เผย แหล่งข่าวกรมขนส่งทางบก ระบุการประชุมคณะกก.วันที่ 6 พ.ค.นี้

จะพิจารณาขึ้นค่าโดยสาร ทั้งรถเมล์ร้อนอีก 1 บาท ส่วนรถเมล์ปรับอากาศอีก 2 บาท

*หนังสือพิมพ์เผย รมว.คลัง ระบุกับนักธุรกิจสหรัฐว่าไทยจะไม่แก้ไขพ.ร.บ.การประกอบ

ธุรกิจของคนต่างด้าว รวมถึงกฎระเบียบต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน--จบ--


:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 29/04/2008 @ 09:22:28 :
บมจ.ซิกโก้

ยังมีทิศทางที่ดีอยู่

* ทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET ในช่วงนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยคึกคักคือจะแกว่งในกรอบแคบ ๆ และไร้ปัจจัยหนุน ปัจจัยที่เราเคยมองว่าจะเป็นตัวหนุนตลาดในสัปดาห์นี้ คือการปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของ
สหรัฐที่ก่อนหน้านี้บอกว่าจะลด 0.5% มาถึงตอนนี้คาดว่าจะลดลงได้เพียงประมาณ0.25% เนื่องจากภัยคุกคามเรื่องเงินเฟ้อกำลังมาแรง ขณะเดียวกันแม้เศรษฐกิจสหรัฐจะยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงไปต่อ แต่ตลาด
กำลังมองกันว่าในส่วนของปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐคงจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ประกอบกับผลดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่ทยอยออกมาไม่ถึงกับเลวร้ายมาก ประเด็นเหล่านี้คงจะช่วยพยุงไม่ให้ดัชนีดาวโจนส์ ผันผวนได้มาก แต่ขณะเดียวกันการที่จะให้ดัชนีปรับตัวขึ้นแรง ๆ ก็ดูเหมือนจะน้อยลง

* นอกเหนือจากปัจจัยภายนอกที่ตอนนี้ไม่ค่อยมีผลต่อดัชนี SET มากนักจะมีก็เพียงแต่การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน ประเด็นการเมืองในประเทศถือว่าได้กลับมาครอบงำตลาดอีกครั้งโดยเฉพาะประเด็น
ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และประเด็นอื่น ๆ ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่อาจต้องใช้เวลาในการพิจารณาให้แล้วเสร็จประมาณเดือน ต.ค. อันจะส่งผลให้เกิดผลกระทบกับตลาดหุ้นในช่วงนี้น้อย ดังนั้นโอกาสที่ดัชนีSET จะขึ้นยืนเหนือ 850 จุด (ที่ประมาณ 865+/-5 จุด) ในช่วงนี้ถึงกลางเดือนยังมีสูงมาก เพราะหลัง
จากนี้ผลดำเนินงานของหุ้นในกลุ่มที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน จะทยอยออก และแนวโน้มที่จะมีเม็ดเงินไหลเข้ามีสูงขึ้น จาก 1. ตอนนี้การเข้าไปเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ อย่าง น้ำมัน ทองคำ และพืช
พลังงานทดแทน เริ่มที่จะมีความเสี่ยงจากระดับราคาที่ส่วนใหญ่กำลังสร้างสถิติสูงสุด 2. มีการคาดกันว่าผลดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐใน Q2 จะชะลอตัวลงกว่าใน Q1/51 ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเอเชียยังขยายตัวได้ดี ดังจะเห็นได้จากผลดำเนินงานของสถาบันการเงินของไทยใน Q1 ที่ออกมาดี และจะยังขยายตัวได้ต่อในครึ่งปีหลัง ขณะที่ผลดำเนินงานของกลุ่มพลังงานที่จะออกมาหรือออกมาแล้วอย่าง PTTEP จะยังขยายตัวได้ดีทั้งใน Q1 และ Q2 ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์แม้ใน Q1 จะยังทรง ๆ ตัว แต่ใน Q2 กำไรจะกระโดดมาก ๆ จากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมา

* กระแสการเล่นหุ้นเล็กที่กำลังมาแรงเกือบทุกกลุ่มในช่วงนี้ต้องระวังเพิ่มขึ้น เพราะระดับราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างมาก ท่ามกลางปัจจัยลบด้านต้นทุน และผลดำเนินงานที่จะทยอยออกมา โดยเรามองว่ากระแสหุ้นเล็กในกลุ่มพลังงานทดแทน อสังหาริมทรัพย์ และอาหารเครื่องดื่ม จะโดดเด่นจริง ๆ คงอยู่ในครึ่งปีหลัง จาก 1. ผลของระดับอัตราเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ จนทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบมากกว่านี้ จนเกิดกระแสการไหลของเงินไปยังสินทรัพย์ประเภทเก็งกำไร 2. ผลดำเนินงานใน Q1 ที่จะทยอยออกมา จะเป็นตัวประเมินได้ว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวจะดีจริงหรือไม่ จากผลของการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผ่านมา

* ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยใน Q1 อยู่ที่ประมาณ 98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นับว่าเป็นระดับ
ราคาเฉลี่ยรายไตรมาสที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา แนวโน้มหลังจากนี้ แม้จะชะลอตัวลงบ้างประมาณ มิ.ย. แต่ระดับราคาคงจะลงไปได้ไม่ลึก เดิมเรามองว่าระดับราคาน้ำมันจะลงไปที่ประมาณ 90-95ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบส่งมอบล่วงหน้าได้ขึ้นมาที่ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แสดงว่าราคาน้ำมันดิบไม่ได้มีผลจากการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์มากนักอย่างที่คาดไว้เดิม แต่คงจะเป็นเรื่องของโครงสร้างหรือ Demand-Supply ระดับราคาน้ำมันที่ขึ้นมาในรอบนี้มีผลจาก 1.ปริมาณการส่งออกจากไนจีเรียมีปัญหา 2. เกิดปัญหาการผลิตไฟฟ้าในจีน แอฟริกาใต้ และลาตินอเมริกาจนต้องนำเข้าน้ำมันมาผลิตกระแสไฟฟ้า 3. ปริมาณสำรองน้ำมันในสหรัฐปรับลดลง

* สำหรับทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก (NYMEX) ในช่วงสั้นๆนี้ แนวโน้มจะยังมีทิศทางขึ้นได้ต่อ โดยมีแนวต้านที่ 121-123 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลและแนวรับที่ 116-115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ช่วงนี้แนะนำ เล่นเก็งกำไร TMB ราคาเป้าหมายที่ 1.5 บาท

:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com