April 29, 2024   5:34:34 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กองทุนมองหุ้น ESSO ไร้เสน่ห์
 

Toon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 973
วันที่: 22/04/2008 @ 10:15:01
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ผู้จัดการกองทุน มองพื้นฐานหุ้น ESSO ไม่มีเสน่ห์ เหตุศักยภาพด้อยกว่าบริษัทที่มีอยู่ในตลาด เพราะไม่มีการเพิ่มกำลังการผลิต แถมมาร์เกตแคปไม่จูงใจ แต่ยังสนใจจองซื้อช่วงไอพีโอ ผ่านกองทุนประเภทปันผล แต่ Under Weight ตลาด ชี้ธุรกิจโรงกลั่นเล่นได้อีก 1-2 ไตรมาส เพราะราคาน้ำมันสูงไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ระบุราคาเคาะ 9-9.50 บาท น่าจะเป็นระดับที่เหมาะสมและไม่แพงมากเกินไป

แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เปิดเผยว่า หุ้นของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ที่จะเปิดเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไป (ไอพีโอ) ในสัปดาห์นี้ ในส่วนของบริษัทสนใจเข้าไปจองซื้อเช่นกัน แต่คงให้น้ำหนักการลงทุนในระดับที่ต่ำกว่าน้ำหนักของตลาดหรือระดับเดียวกับน้ำหนักของตลาด เพราะหุ้นของ ESSO เอง โดยพื้นฐานแล้วไม่ค่อยน่าสนใจมากนัก และเทียบกับบริษัทที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้ไม่ได้ ทั้งในแง่หอกลั่น การวางแผนการขยายกำลังการผลิต และศักยภาพในการกลั่นเองก็ไม่ได้เหนือกว่าบริษัทที่มีอยู่อย่าง บมจ.ไทยออลย์ (TOP) หรือ บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR)

ทั้งนี้ การลงทุนของเราเองน่าจะเป็นการลงทุนของกองทุนหุ้นที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลมากกว่า เนื่องจากหุ้นของ ESSO เอง จะมีการจ่ายเงินปันผลอัตรา 10% ในปีแรกหรือหลังจากลงทุนแล้ว แต่ถ้าหากลงทุนในกองทุนประเภทโกรทฟันด์ คงเป็นการลงทุนที่ให้น้ำหนักต่ำกว่าน้ำหนักตลาด (Under Weight)

"เราเองคงไม่ขายหุ้นตัวอื่นเพื่อมาซื้อหุ้นตัวนี้ แต่คงใช้เงินส่วนหนึ่งเข้ามาจองซื้อหุ้นในช่วงไอพีโอด้วย ซึ่งการลงทุนเองเราคงให้น้ำหนักต่ำการน้ำหนักตลาดหรือในระดับเดียวกัน"แหล่งข่าวกล่าว

ส่วนผลต่อตลาดจากการเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของหุ้น ESSO ในครั้งนี้ มองว่า ไม่ได้มีผลต่อการกระตุ้นตลาดอะไรมากนัก ด้วยมูลค่าตลาด (มาร์เกตแคป) ของหุ้นเองก็ไม่ได้สูงจนน่าสนใจ ถึงแม้ทิศทางของราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้น แต่หากปรับขึ้นไปถึงระดับ 120 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล คงทำให้ทั่วโลกประสบกับปัญหาความลำบากพอสมควร ซึ่งถึงตอนนั้นอาจจะเกิดการรัดเข็มขัดและส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 100 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลต้นๆ ซึ่งทำให้ธุรกิจโรงกลั่นเองก็คงไม่ได้กำไรมากนัก ดังนั้น หุ้นของโรงกลั่นคงจะเล่นได้อีกเพียง 1-2 ไตรมาสเท่านั้น

ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานบริษัท ได้ลดน้ำหนักการลงทุนลงมาบ้างแล้วตั้งแต่หลังช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา โดยเป็นปรับจากระดับสูงกว่าน้ำหนักตลาด (Over Weight) ค่อนข้างมากมาเป็นสูงกว่าเล็กน้อยถึงระดับเดียวกับน้ำหนักตลาด เพราะหุ้นในกลุ่มพลังงานเองมองว่าราคาคงไม่ปรับสูงขึ้นไปกว่านี้อีกอย่างมากมายแล้ว

แหล่งข่าวจากบริษัทจัดการกองทุนอีกรายกล่าวในทำนองเดียวกันว่า โดยรวมแล้วมองว่า ESSO ถือเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจโรงกลั่นที่น่าสนใจอีกบริษัทหนึ่งในแง่ของการผลิตที่แข็งแรง และได้รับการซับพอร์ตจากแอ็กซอน แต่หากเทียบกับบริษัทที่มีอยู่ในตลาดในขณะนี้แล้ว ยังมีข้อเสียตรงที่ ESSO ไม่มีการขยายกำลังการผลิต และไม่มีการลงทุนเพิ่ม ถึงแม้ธุรกิจโรงกลั่นจะได้รับผลดีจากค่าการกลั่นที่ยังอยู่ในระดับสูง แต่ก็ขึ้นลงตาม GRM ที่ค่อนข้างผันผวน เนื่องจากเปลี่ยนแปลงตามภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก

"หากเทียบกับหุ้นของไทยออลย์ ถึงแม้ GRM จะลดลง แต่การที่บริษัทมีการเพิ่มกำลังการผลิต ก็น่าจะทำให้ยังเห็นกำไรที่ปรับตัวขึ้นได้ ซึ่งต่างจาก ESSO ที่ไม่มีการเพิ่มกำลังการผลิต แต่ในแง่ของ ESSO อาจจะมีข้อดีในเรื่องของการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 1 บาท ซึ่งตรงนี้ก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกันว่าในอนาคตจะสามารถจ่ายปันผลได้ที่ 1 บาทอยู่หรือไม่" แหล่งข่าวกล่าว

สำหรับราคาขายหุ้นของ ESSO ที่กำหนดไว้ที่ระดับ 9-13 บาทนั้น หากท้ายที่สุดแล้วราคาออกมาสูงกว่า 10 บาท คงไม่มีความน่าสนใจเท่าไหร่หากเทียบกับตัวของ ESSO เอง แต่ถ้าอยู่ในระดับ 9-9.50 บาท น่าจะเป็นระดับที่เหมาะสมและไม่แพงมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบริษัทถ้าให้เลือก หุ้นที่มีอยู่ในตลาดน่าสนใจกว่า

แหล่งข่าวจากบลจ. อยุธยา กล่าวว่า หุ้นสามัญของ ESSO ที่อยู่ระหว่างการเปิดจองซื้อนั้น ในส่วนของบริษัทมีความสนใจที่ร่วมจองซื้อหุ้นดังกล่าวด้วยเช่นกัน ซึ่งจากราคาเปิดจองซื้อหุ้นที่กำหนดไว้ 13 บาทนั้น ถือว่าเป็นราคาเปิดจองซื้อที่ต่ำมากและราคาเปิดจองซื้อน่าจะสูงกว่านี้ เพราะการเปิดจองซื้อหุ้นในกลุ่มนี้สามารถครอบคลุมได้ทั้งในภาคของอุตสาหกรรม ดังนั้น การเปิดจองซื้อหุ้นในกลุ่มนี้จึงได้รับความสนใจจากหลายๆฝ่ายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของสถาบัน บลจ. ต่างๆหรือแม้แต่ประชาชนทั่วไป

ทั้งนี้ มองว่าหากซื้อเข้ามาเก็บไว้ในพอร์ตการลงทุน น่าจะสามารถทำกำไรให้กับผู้ที่ถือหุ้นอยู่ได้มาก เพราะที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มนี้ยังมีการจ่ายปันผลคืนให้กับผู้ซื้อ และเมื่อมองถึงโอกาสที่หุ้นในกลุ่มนี้จะขาดทุนนั้นมีความเป็นไปได้น้อยมาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะหุ้น ESSO ถือว่านักลงทุนให้ความสนใจที่จะเข้าไปจับจองซื้อหุ้นกันถ้วนหน้า

สำหรับการลงทุนของบลจ.อยุธยานั้น คงจะลงทุนผ่านกองทุนหุ้นของบริษัท เพราะการซื้อหุ้นในช่วงไอพีโอมีความน่าสนใจอยู่แล้ว ทั้งนี้ ภายหลังจากหุ้น ESSO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว หากราคาหุ้นปรับสูงขึ้นอาจจะมีการขายเพื่อทำกำไรให้กับกองทุนได้ หรืออาจจะซื้อกลับหากราคาหุ้นปรับตัวลดลง

โบรกวิเคราะห์พื้นฐานESSOด้อย

นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับพื้นฐานของบมจ.เอสโซ่นั้น บล.ประเมินว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทค่อนข้างด้อยกว่า บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีอุตสาหกรรมการกลั่นครบวงจร และ บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) ที่มีรายได้จากธุรกิจอะโรเมติกส์ ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว

ด้านศักยภาพการเติบโตของ ESSO มีแนวโน้มว่าอาจจะไม่มากนัก เนื่องมาจากรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากค่าการกลั่น ซึ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 จนถึงปี 2552 ค่าการกลั่นในตลาดโลกอาจจะมีการปรับตัวลดลงจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทได้ประเมินราคาเหมาะสมของบมจ.เอสโซ่ที่ 13.85 บาท ที่ระดับ PE ที่ 7.78 เท่า อย่างไรก็ตามบมจ.เอสโซ่ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 1.00 บาท ซึ่งถ้ากำหนดราคาไอพีโอที่ 13 บาท จะคิดเป็นเงินปันผลกว่า 7.7% ทำให้หุ้นเอสโซ่มีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว

"ถ้าพิจารณาในภาพใหญ่แล้ว ESSO จะเป็นอันดับที่ 3 เมื่อเทียบกับไทยออลย์ และ PTTAR ตอนนี้ราคาไอพีโอที่แท้จริงยังไม่กำหนดแต่คาดว่าน่าจะอยู่ระหว่างประมาณ 9-13 บาท ซึ่งถ้าราคาไอพีโอหยุดที่กรอบบน ทำให้หุ้นอาจไม่ค่อยมีความน่าสนใจมากนัก เพราะมีช่วงให้เพิ่มขึ้นได้อีกไม่มาก แต่ถ้าหยุดแถวกรอบล่างก็ทำให้หุ้นน่าจะมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น" นางสาววิริยา กล่าว

ผู้จัดการออนไลน์[/size:8e010be622">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com