April 29, 2024   5:49:28 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ?ESSO? น่าซื้อจริง ๆ
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 22/04/2008 @ 09:57:01
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

แม้บรรยากาศการจองหุ้น ESSO จะไม่ครึกคักเท่ากับหุ้นบลูชิพระดับแนวหน้าของเมืองไทย แต่นั่นไม่ได้ทำให้จำนวนนักลงทุนที่เข้ามาจับจองลดน้อยถอยลงไปได้ เหตุเพราะความน่าสนใจของหุ้นรายนี้ ถือเป็นแม่เหล็กชั้นดี ที่คอยดึงดูดนักลงทุนทยอยเข้ามาจับจองกันอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะในเรื่องการเสนอราคาไอพีโอที่ระดับ 9-13 บาท ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนมองว่าไม่แพงจนเกินไป ซึ่งหากคิดเป็นค่าพี/อี 5.10-7.40 เท่าจากประมาณการปี 51 ประกอบกับนักลงทุนที่จองซื้อหุ้นของบริษัทฯ จะได้รับเงินปันผลในงวดปี 2550 ด้วยหุ้นละ 1 บาท พร้อมกับนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ยอดจองหลั่งไหลเข้ามาอย่างล้นหลาม กระทั่ง ESSO ต้องทำการปิดการรับจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในส่วนที่เสนอขายผ่านสาขาของธนาคารพาณิชย์ หลังมียอดจองซื้อเข้ามาเกิน 3 เท่าของจำนวนที่จัดสรร ซึ่งเข้าเกณฑ์ปิดรับการจองซื้อโดยอัตโนมัติ

เนื่องจากมียอดจองเกินกว่าที่เสนอขาย เกินกว่า 3 เท่า ขณะที่ในส่วนของแบงก์กรุงเทพได้ปิดไปตั้งแต่เที่ยง เพราะเกิน 3 เท่า แม้กรุงไทยจะปิดรับไม่เกิน 3 เท่า แต่เมื่อเกลี่ยกันแล้วอยู่ในเกณฑ์ที่จะปิดรับจองได้ ทั้งนี้ยอดจองซื้อผ่านสาขาของธนาคารทั้ง 2

แห่งยังอยู่ที่กว่า400 ล้านหุ้น ซึ่งเข้าเกณฑ์ที่จะปิดรับจองได้

ทั้งนี้ในส่วนของ ESSO ซึ่งทำธุรกิจโรงกลั่นปิโตรเลียมและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม จะเสนอขายหุ้น IPO ในช่วง 21-22เม.ย.และคาดว่าหุ้นจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 6 พ.ค.นี้ โดยหุ้น IPO ดังกล่าวมีจำนวนรวม 1,099.58 ล้านหุ้น ซึ่งกำหนดช่วงราคาเสนอขาย ไว้ 9-13 บาท/หุ้น จากพาร์หุ้นละ 4.93 บาท แบ่งการจัดสรรเป็นเสนอขายให้แก่นักลงทุนต่างประเทศจำนวนไม่เกิน 549.79 ล้านหุ้น

ขณะที่เสนอขายต่อผู้ลงทุนในประเทศไม่เกิน 549.79 ล้านหุ้น แบ่งเป็นนักลงทุนสถาบันไม่เกิน 228.57 ล้านหุ้น บุคคลทั่วไป 159.32 ล้านหุ้น และผู้จองซื้อรายย่อย 161.90ล้านหุ้นผ่านสาขาของธ.กรุงเทพ(BBL) และธ.กรุงไทย (KTB)

ESSO กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในฐานะว่าที่หุ้นน้องใหม่ที่มีมาร์เก็ตแคปมากที่สุดในปีนี้ และยังมีจุดแข็งจากการเป็นเครือข่ายของ เอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น หนึ่งในบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าตลาดรวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 เกินว่า 5

แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สามารถจัดหาสามารถจัดหาน้ำมันดิบและวัตถุดิบด้วยต้นทุนที่ถูก

และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ไปทั่วโลก

ดังนั้นก่อนจะถึงวันซื้อขายจริง ลองมาฟังคำแนะนำจากนักวิเคราะห์หลาย ๆ สถาบันว่ามีมุมมองอย่างไรบ้างกับหุ้นน้องใหม่รายนี้

เริ่มต้นด้วย บล.ภัทร (PHATRA) ในฐานะที่ปรึกษาการเงินหุ้น ESSO มองว่า ESSO จะมีมาร์เก็ตแคปประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นหุ้นที่มาร์เก็ตแคปมากเป็นอันดับที่ประมาณ

30 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)และจะช่วยให้หุ้นกลุ่มพลังงานยิ่งมีมาร์เก็ตแคปใหญ่ขึ้นอีก

ที่ผ่านมาบริษัทได้แนะนำข้อมูล(โรดโชว์)ให้กับนักลงทุนซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยจุดเด่นของบริษัทคือการควบคุมต้นทุนที่ดีและมีวินัยของการลงทุนที่ดี

สำหรับราคา IPO ที่กำหนดไว้นั้น ถือว่าเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน ทั้งผลประกอบการและสถานะคุณภาพของบริษัท โดยจะกำหนดราคาที่แน่นอนได้ภายในวันที่ 23 เม.ย.หลังได้สำรวจความต้องการซื้อของนักลงทุนสถาบันแล้ว

ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์เปรียบเทียบกับหุ้นที่ทำธุรกิจโรงกลั่นแบบคอมเพล็กซ์ที่มีผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์เหมือนกับ ESSO ในตลาดฯ คือ TOP และ PTTAR แล้ว เห็นว่า Valuation ของ ESSO, TOP, PTTAR ใกล้เคียงกัน แต่ความน่าสนใจของ ESSO จะเป็นเรื่องของการเป็นหุ้นน้องใหม่ และการจะจ่ายปันผลระหว่างกาลในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าบน Dividend Yield ที่ 7.7-11.1% เป็นหลัก

ขณะที่บล.โกลเบล็ก ได้ออกบทวิเคราะห์หุ้น ESSO ว่า ราคา IPO จัดว่าไม่แพง โดยคิดเป็นค่าพี/อี เรโช ที่ 5.1-7.4 เท่า จากประมาณการปี 51 ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับ TOP และPTTAR อีกทั้งบริษัทมีแผนจ่ายปันผลระหว่างกาล 1 บาท ที่คาดว่าจะขึ้นเครื่องหมาย XD ภายในมิ.ย.51

โดยประเมินราคาเหมาะสมปี 51 ไว้ที่ 14 บาท และคาดว่าในปี 51-53 ESSO จะมีกำไรสุทธิทรงตัว เนื่องจากปัจจุบันบริษัทยังไม่มีโครงการลงทุน หรือขยายกำลังการผลิต ดังนั้นผลประกอบการจะขึ้นกับภาวะอุตสาหกรรมการกลั่น และปิโตรเคมีเป็นหลัก

ส่วนเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่ง เปิดเผยภายหลังการเข้ารับฟังข้อมูลการเสนอขายหุ้น IPO ของ บมจ.เอสโซ่(ประเทศไทย) ว่า หุ้นดังกล่าวมีความน่าสนใจ เนื่องจากมี P/E อยู่ที่ 4-5 เท่า ซึ่งต่ำกว่า P/E ของหุ้นตัวอื่นที่อยู่ในกลุ่มพลังงาน เช่น TOP ที่มี P/E อยู่ที่ 7 เท่า

โดยถ้าหากวิเคราะห์จากราคาหุ้น IPO หากกำหนดราคาที่ 13 บาท อาจจะสูงเกินไป

และอาจจะทำให้นักลงทุนไม่โยกเงินลงทุน จากหุ้นกลุ่มพลังงานตัวอื่นๆ เข้ามาลงทุนในหุ้นดังกล่าวได้ แต่หากกำหนดราคา IPO ที่ 9 บาท คาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพราะราคาต่ำ รวมทั้งเป็นหุ้นใหม่ซึ่งตามปกติแล้ว จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอยู่แล้ว

ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากโบรเกอร์ต่างชาติรายหนึ่ง กล่าวว่า หุ้นของ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) ที่เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ มีความน่าสนใจพอสมควร เนื่องจาก P/E ไม่สูงนักหากเทียบจากพื้นฐานธุรกิจ และ P/E ของหุ้นในกลุ่มพลังงาน ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการ มีการขยายตัวต่อเนื่อง หลังค่าการกลั่นมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่านักลงทุนรายย่อยจะให้ความสนใจ และเข้าจองซื้อหุ้น ESSO จำนวนมาก เนื่องจากเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนในการลงทุนที่ดี ทั้งงนี้มองการเข้ากระจายหุ้นไอพีโอของ ESSO ครั้งนี้ อาจจะทำให้นักลงทุนบางส่วนมีการโยกเงินจากหุ้นกลุ่มพลังงานอื่น มาจองซื้อหุ้นไอพีโอ แต่ก็มองว่าน่าจะมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากหุ้นพลังงานส่วนใหญ่ที่ซื้อขายในตลาดฯขณะนี้ ก็ยังให้ผลตอบแทนที่ดี

ขณะที่บล.ยูไนต็ด มองว่า ESSO แนวโน้มค่าการกลั่นและ spread margin มีโอกาสอ่อนตัวลงในปี 51จากกำลังผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นมากใน 2H51 ขณะที่ปัจจุบันโรงกลั่น ESSO ใช้กำลังผลิตเต็มที่แล้วและไม่มีส่วนขยายในปีนี้เข้ามาพยุง margin ที่ลดลงเหมือนกับ TOP เราจึงตั้งสมมติฐานอย่างระมัดระวังให้กำไรต่อหุ้นปี 51 ลดลง 12%-25%YoY มาที่ 1.50-1.75

บาท

เมื่อประเมินโดยใช้ค่า P/E ที่เหมาะสมของโรงกลั่นในเอเชียในช่วง 6.5x-7.5x จะได้ราคา IPO ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนควรอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 12.25บาท จึงจะมี upside gain มากกว่า 6% จากค่าเฉลี่ยมูลค่าเหมาะสมปี 51 ของเราที่ 13 บาท (คาดว่ามูลค่าเหมาะสมอยู่ในช่วง 12.0-14.0 บาท อิงจากค่า P/E ปี 51 ที่ 8x)

ทั้งนี้ ESSO ถือเป็นผู้ประกอบธุรกิจ โรงกลั่นปิโตรเลียมและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแบบครบวงจร โดยเป็นเจ้าของโรงกลั่นแบบ Complex กำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 177 KBD และโรงงานปิโตรเคมีกำลังการ ผลิตพาราไซลีน 5 แสนตันต่อปี โดยประกาศขายหุ้นไอพีโอ 773.30 ล้านหุ้น โดยมีแผนจะนำเงิน ที่ได้ไปจ่ายชำระคืนหนี้สินระยะสั้น และเป็นเงินทุนหมุนเวียน เจาะธุรกิจหลัก ESSO

สำหรับธุรกิจหลักของ ESSO แบ่งเป็นสองส่วนคือ 1. ธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายน้ำมัน โดยมีโรงกลั่นน้ำมันดิบแบบ Complex กำลังการกลั่น 177,000 บาร์เรลต่อวันเป็นอันดับ 3 ของประเทศ (มีอัตราการใช้กำลังการผลิตในปี 2550 ที่81.5%) และมีสถานีบริการภายใต้ชื่อ ESSO 583 แห่งทั่วประเทศ

ส่วนที่ 2 ธุรกิจปิโตรเคมี โดยเป็นเจ้าของโรงงานอะโรเมติกส์ ซึ่งมีกำลังการผลิตพาราไซลีน 5 แสนตันต่อปี และหน่วยผลิตสารทำละลายกำลังการผลิต 5 หมื่นตันต่อปี โดยจุดแข็งของบริษัทคือ มีลักษณะการดำเนินงานที่เชื่อมต่อกันระหว่าง โรงกลั่นและโรงงานปิโตรเคมีแบบครบวงจร ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิต และช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดให้กับผลิตภัณฑ์

นอกจากนั้นยังจัดเป็นบริษัทในเครือ Exxon Mobil ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้มีความได้เปรียบในแง่การจัดหาวัตถุดิบและการตลาด รวมถึงความเชี่ยวชาญของบุคลากรในการดำเนินงาน

ที่สำคัญในปีนี้ ESSO มีจุดเด่นในเรื่องค่าการกลั่นแข็งแกร่ง เพราะการบริโภคน้ำมันในแถบเอเชียแปซิฟิคยังคงสูงมาก ทั้งจากจีนและอินเดีย อัตราการเติบโตของการบริโภคเพิ่มสูงกว่าการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตโรงกลั่น และภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังนำเงินที่ได้จากการขายไอพีโอไปชำระคืนหนี้

นี่ จึงเป็นหุ้นที่จะปลุกกระแสน้องใหม่ไอพีโอขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ตลาดหุ้นห่างหายจากดีลใหญ่ๆมานาน ดังนั้นด้วยจุดแข็ง ESSO ผู้ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจเป็นอย่างดีแล้ว แถมยังมีแรงสนับสนุนอันแข็งแกร่งจากกลุ่มบริษัทเอ็กซอนโมบิล ทำให้ยืนยันได้ว่าเป็นหุ้นที่น่าลงทุนจริง ๆ

:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com