April 29, 2024   8:10:30 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > อย่าตื่น!ทิ้งหุ้น !!!!!!!!
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 20/03/2008 @ 08:13:09
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ธีระชัย? เตือน นักลงทุนไทยอย่าตกใจทิ้งหุ้นตามเฮดจ์ฟันด์ที่ถูกบังคับขาย ระบุผลต่อตลาดหุ้นลดน้อย หุ้นไม่รับเฟดลด 0.75%

ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ตอบรับข่าวธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอก เบี้ยลง 0.75% เหตุปัญหาการเมืองในประเทศที่ยังไม่ชัดเจน กดดันให้ดัชนีปิด 807.67 จุด ลดลง 4.65 จุด หรือ 0.57% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 15,969.86 ล้านบาท ต่างชาติหวนซื้อ 215.09 ล้านบาท สถาบันซื้อ 99.90 ล้านบาท และรายย่อยขาย 314.99 ล้านบาท

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ปัญหาวิกฤตซับไพรม์ และวิกฤตด้านการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐ จนเฟดตัดสินใจลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีก 0.75% เหลือ 2.25% ว่า น่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่อยากจะเตือนนักลงทุนว่าอย่าตื่นตระหนกขายหุ้นตามกองทุนระยะสั้น (เฮดจ์ฟันด์) ที่ขายหุ้นทั่วโลกออกมา เพราะถูกบังคับขาย และถูกคอลมาร์จิน หรือเรียกหลักประกันเพิ่มไปชดเชยปัญหา ทั้งๆ ที่ไม่อยากขาย

ทั้งนี้ มองว่าขณะนี้การตัดความเสียหายเริ่มชัดเจนมากขึ้น จากก่อนหน้านี้ที่อึมครึม ทำให้ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นน่าจะเบาบางลง ส่วนผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมีแน่นอน แต่จะมากหรือน้อยต้องประเมินว่าภาคส่งออกได้รับผลกระทบแค่ไหน เพราะหากมากก็น่าห่วง

นายธีระชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้เสนอกระทรวงการคลังให้มีการซื้อขายตราสารที่อ้างอิงทองคำในตลาด TFEX เพื่อดึงดูดนักลงทุน ต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในไทย และมีสินค้าที่เป็นโภคภัณฑ์ให้ลงทุน แต่ก็ได้รับคำตอบว่า ให้มาพัฒนา ให้มีการซื้อขายที่อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ย

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวว่า คาดว่าดอกเบี้ยสหรัฐน่าจะลดลงต่ำสุดในไตรมาส 2 และคาดว่าดัชนีหุ้นจะต่ำสุดในไตรมาส 2 ระหว่าง 750-800 จุด

นายอนันต์ ตันธุวนิตย์ นักวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.กสิกรไทย กล่าวในงานสัมมนา ?Asset class selection and timing? ว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน เลวร้ายพอๆ กับช่วงปี 2543-2545 ที่ดัชนีลดลงจาก 409 จุด เหลือ 266 จุด ช่วงถล่มตึกเวิลด์เทรด และตลาดหุ้นแนสแดกส์ล่ม และมองว่าดัชนีมีโอกาสอ่อนไปแตะแนวรับ 680 จุด แต่ในทางกลับกันการพุ่งขึ้นไป 100 จุด ในช่วงต้นเดือน ก.ค. หรือปลายเดือน ก.ย. และมองว่าปีนี้ดัชนีหุ้นไทยสูงสุดเพียง 930 จุด

นายสุชีล นารูลา รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ในสายตานักลงทุนต่างชาติ หุ้นไทยเหมาะที่จะซื้อเก็งกำไร เพราะเป็นหุ้นขนาดเล็กที่ไม่มีโอกาสทำกำไรจากราคา เพราะบริษัทส่วนใหญ่มุ่งเอาเงินไปจ่ายปันผล แต่ไม่นำไปลงทุนเพิ่ม ทำให้อัตราการเติบโต ไม่น่าจูงใจ

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า ประเมินกำไร ของ บจ.ปีนี้ที่ 15% แต่ได้ลดเป้าดัชนีเหลือ 989 จุด จากเดิม 1,180 จุด

posttoday

:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 20/03/2008 @ 08:31:24 :
สภาพตลาดวันวาน : ภาคเช้า : การดีดขึ้นค่อนข้างแรงของตลาดหุ้นต่างประเทศภายหลังธนาคารกลางสหรัฐ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.75% ส่งผลให้มีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มนำตลาดเข้ามาต่อเนื่องจากวันก่อน หนุนให้ดัชนีเพิ่มขึ้นไม่มากนัก (+1.97จุด) โดยขึ้นไปได้สูงสุดที่บริเวณ 819 จุด ก่อนจะมีแรงขายทำกำไรออกมาเป็นระยะๆ จากความกังวลต่อผลกระทบของราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นสู่ระดับ 109 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าใกล้เคียงระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์ และความไม่ชัดเจนของคดีการเมืองต่างๆ ส่งผลให้ดัชนีอ่อนตัวลงมาทดสอบแนวรับบริเวณ 813 จุด จากนั้นการซื้อขายหุ้นกลุ่มหลักก็เป็นอย่างระมัดระวัง ในขณะที่ยังคงมีการเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กบางบริษัทค่อนข้างคึกคัก ดัชนีจึงแกว่งตัวในกรอบแคบๆ บริเวณ 813 - 815 จุด จนปิดตลาดที่บริเวณ 813.57 จุด เพิ่มขึ้นเพียง 1.25 จุด

ภาคบ่าย : ยังคงมีแรงขายหุ้นกลุ่มหลักต่อเนื่องจากภาคเช้า จากความกังวลต่อปัจจัยในประเทศรวมทั้งแรงขายต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ กดดันให้ดัชนีอ่อนตัวลงมาทดสอบแนวรับที่บริเวณ 811 จุด จากนั้นการซื้อขายก็เป็นไปอย่างระมัดระวังเช่นเดียวกับภาคเช้า ทำให้ดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบบริเวณ 811-813 จุด จนมีข่าวว่า กกต. อาจจะส่งคดียุบพรรคชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตย ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ก็ทำให้มีแรงขายหุ้นกลุ่มหลักๆ ออกมา กดดันให้ดัชนีลดลงต่อเนื่องจนกระทั่งปิดตลาดที่บริเวณ 807.67 จุด ลดลงจากวันก่อน 4.65 จุด (-0.57%) สวนทางกับทิศทางของตลาดหุ้นในภูมิภาค ซึ่งส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น โดยมีปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 1.6 หมื่นล้านบาท

แนวโน้มตลาด : ขึ้นอยู่กับผลกระทบจากปัจจัยสำคัญ ต่อไปนี้

ปัจจัยการเมืองภายในประเทศ ความคืบหน้าของคดีการเมืองที่กำลังงวดเข้ามา จะสร้างความกังวลต่อตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะในวันนี้จะทราบผลว่าศาลฎีกาจะรับพิจารณากรณี กกต. ให้ใบแดงประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ ซึ่งถ้ารับไว้พิจารณาประธานสภาผู้แทนฯ คนปัจจุบันจะต้องเว้นวรรคจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าว รวมทั้งคดีสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีพรรคการเมืองนอมินี ซึ่งทั้ง 2 คดีอาจจะสร้างความกังวลต่อเสถียรภาพรัฐบาลอยู่บ้าง ในขณะที่สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการโยกย้ายข้าราชการบางหน่วยงาน อาจทำให้รัฐบาลต้องมาใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองมากขึ้น ในขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจก็กำลังรุมเร้าอยู่

ทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากตลาดหุ้นเกือบทั่วโลกต่างดีดตัวรับกับข่าวการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ไปค่อนข้างมากแล้ว หลังจากนี้อาจมีการขายทำกำไรปรับฐานบ้าง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งจะมีข้อมูลเศรษฐกิจที่ประกาศระหว่างสัปดาห์มากดดันตลาดบ้าง เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจต่างๆ ยังคงสะท้อนถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้ในช่วงวันพฤหัสบดีและวันศุกร์นี้จะมีตลาดหุ้นในเอเชียปิดทำการหลายแห่ง (ตลาดหุ้นสหรัฐจะปิดทำการในวันศุกร์) อาจทำให้ทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศช่วงนี้ผันผวนอยู่บ้าง

ทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ แนวโน้มการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินบาท ในขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนว่า ธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงหรือไม่อย่างไร ทำให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มกังวลต่อผลกระทบต่อภาคส่งออกมากขึ้น นอกเหนือไปจากประเด็นการเมืองที่ยังมีความไม่แน่นอนในหลายประเด็น อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติบางกลุ่มทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยในระยะสั้น เพื่อโยกย้ายไปเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงประเภทอื่นๆ ที่ให้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่า

จากปัจจัยข้างต้นคาดว่าตลาดหุ้นวันนี้ยังคงผันผวนตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ และปัจจัยการเมืองในประเทศ ดัชนีจะแกว่งตัวระหว่างกรอบแนวรับ 800 - 802 จุด กับแนวต้าน 815 - 817 จุด

กลยุทธ์ นักลงทุนระยะสั้น - ขายทำกำไรลดพอร์ตลงบ้าง ช่วงราคาหุ้นกระเตื้องขึ้น รอซื้อคืนวันศุกร์หรือต้นสัปดาห์หน้า

นักลงทุนระยะยาว - ถือต่อหรือ Short Against Port บ้าง หากดัชนีไม่อาจผ่านแนวต้าน

Stock Hilight: โกสินทร์ ศรีไพบูลย์

:lol: [/color:c5307fdc67">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 20/03/2008 @ 08:32:43 :
มีโอกาสพักตัวลงหลังฟื้นตัวไม่ผ่านเส้นแนวต้านขาลง

ดัชนีปรับตัวขึ้นปิด GAP แนวต้านที่ 816 แต่ไม่ขึ้นต่อเนื่อง ปรับตัวลงเป็นแท่งเทียนสีดำหลังขึ้นทดสอบเส้นแนวต้านขาลง ทำให้มีความเสี่ยงลงต่อตามแนวการพักตัวก่อนหน้า

ระยะสั้น ดัชนีปรับตัวขึ้นมาปิด GAP แนวต้านที่ 816 แต่ไม่มีแรงซื้อต่อเนื่อง ขึ้นไปทดสอบเส้นแนวต้านขาลงก่อนพักตัวลงเกิดเป็นแท่งเทียน สีดำ โดยที่ VOLUME ยังเบาบางต่อเนื่องเป็นสัญญาณลบ ส่งผลให้การ REBOUND ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการลดความร้อนแรงการลงมากเกินไปและขึ้นมาปิด GAP แนวต้านเท่านั้น การไม่ผ่านยืนเส้นแนวต้านขาลงทำให้แนวการแกว่งตัวของแท่งเทียนยังอยู่ในแนวพักตัวลงเดิม ดัชนีลงมาต่ำกว่าเส้น SMA 5 วันหลังจากขึ้นไปยืนเหนือทำให้ค่าสัญญาณ DEAD CROSS ยังมีแรงกดดัน ในขณะที่ค่าสัญญาณทางเทคนิค RSI,MACD ยังเป็นสัญญาณลบกดดันอยู่ ดังนั้นจากภาพที่เกิดขึ้นทำให้ดัชนีมีแนวโน้มพักตัวลงต่อ แต่จะอยู่ในกรอบแคบมากกว่าลงแรงเนื่องจาก RSI ไม่ทำจุดต่ำใหม่ขัดแย้งเชิงบวกกับดัชนีเป็นสัญญาณชะลอตัว กลยุทธ์ ซื้อเก็งกำไรระยะสั้นควรรอดูหรือรอช่วงปรับตัวเท่านั้น เล่นรอบสั้นๆในระหว่างวัน ไม่เน้นถือครอง

ระยะกลาง ดัชนีอยู่ในช่วงพักตัว การเกิดสัญญาณ DEAD CROSS และค่าสัญญาณ RSI,MACD ปรับลงสอดคล้องกันเป็นสัญญาณลบ ทำให้ยังอยู่ในแนวโน้มพักตัวลง กลยุทธ์ ถือ ปรับขึ้นขายบางส่วน

แนวต้าน : 811/816

ที่มา : บล.โกลเบล็กฯ

:lol:
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#3 วันที่: 20/03/2008 @ 08:48:27 :
หุ้นไทยรูดสวนตลาดเอเชีย นลท.เมินเฟดหั่นดอกเบี้ย


ตลาดหุ้นไทยผันผวนสวนทางตลาดหุ้นเอเชีย หลังเฟดหั่นดอกเบี้ยลงอีก 0.75% "ธีระชัย" เตือนนักลงทุนไทยอย่าตระหนก เหตุฝรั่งตัดใจขายเพราะถูกบังคับขาย เชื่อเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุน ด้าน "ปกรณ์" ชี้ปัญหาเงินเฟ้อสูงกดดันให้เฟดลดดอกเบี้ยต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ แต่มั่นใจลดเหลือ 1% ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่โบรกเกอร์ แจงต้องจับตามปัจจัยการเมืองในประเทศที่จะเข้ามากระทบตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะการพิจารณายุบพรรคร่วมรัฐบาล

ภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทยวานนี้ (19 มี.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้า ก่อนจะเจอแรงขายทำกำไรจนไม่สามารถยืนอยู่ในแดนบวกได้ สวนทางกับตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ที่ได้รับปัจจัยบวกจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับตัวลดลง 0.75% ทั้งนี้เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบด้านการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องคดีใบแดง-ยุบพรรค

โดยดัชนีปิดที่ 807.67 จุด ลดลง 4.65 จุด หรือลดลง 0.57% จุดสูงสุดระหว่างวันที่ 818.89 จุด ต่ำสุด 807.56 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,969.86 จุด ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 228.76 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 98.19 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 326.95 ล้านบาท

***เตือนนักลงทุนอย่าตื่นตระหนก

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กล่าวว่า ปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นทั่วเอเชียยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีในสายตาของนักลงทุนต่างประเทศ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีแรงเทขายออกมาจากกลุ่มนักลงทุนเก็งกำไร (เฮจฟันด์) ที่เข้ามาลงทุนในตลาดทุนทั่วโลกแต่ประสบปัญหาขาดทุนจนถูกบังคับขายเงินลงทุน

ขณะเดียวกันผู้ถือหน่วยลงทุนได้มีการไถ่ถอนหน่วยลงทุนเป็นจำนวนมาก เพื่อป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่สถานการณ์ต่างๆ จึงทำให้ต้องขายสินทรัพย์ที่ลงทุนในตลาดหุ้นที่มีกำไร ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย

"ความจริงแล้วกองทุนไม่ได้ต้องการขายหุ้นออกมา แต่ต้องถูกบังคับขายหลังจากที่ต้อง mark to market และต้องนำเงินไปคืนผู้ถือหน่วยที่ไถ่ถอนหน่วยลงทุนทำให้ต้องขายหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีกำไร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย การขายในรอบนี้ถือว่าเป็นการขายทั้งน้ำตา" นายธีระชัย กล่าว

สำหรับแนวโน้มการลงทุนนั้น นายธีระชัย กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นจังหวะที่น่าจะเข้าไปลงทุนแม้นักลงทุนต่างชาติจะส่งสัญญาณขายหุ้นออกมาบ้าง แต่นักลงทุนไม่ควรที่จะตื่นตะหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนเกินไปเนื่องจากการขายที่เกิดขึ้นมีเหตุผลรองรับ

ส่วนผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ซึ่งส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อตลาดทุนโลก สามารถแบ่งผลกระทบออกได้เป็น 2 เรื่อง คือ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตลาดทุน ซึ่งหลังจากนี้คาดว่าน่าจะเริ่มคลี่คลายไป เนื่องจากมีการรับรู้ผลขาดทุนจากเรื่องดังกล่าวไปค่อนข้างมากแล้ว ส่วนที่ต้องถูกบังคับขายจะต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน ขณะที่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงต่อระบบเศรษฐกิจ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือปัญหาเรื่องการส่งออก แต่จะส่งผลกระทบมากหรือน้อยคงต้องอยู่ที่การปรับตัวของภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว

***ฟันธงสิ้นปีเฟดลดดบ.เหลือ1%

นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "Thailand: Global Slowdown Versus Pro Government" ว่า การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเฟดลง 0.75% เหลือ 2.25% ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 1% แสดงให้เห็นว่าเฟดยังกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ หลังราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ รวมถึงเฟดต้องการรอผลจากมาตรการที่ประกาศใช้ไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือเพียง 1%

ขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ของเฟด ทำให้ระยะห่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเฟดกับอัตราดอกเบี้ยไทยห่างกันมากขึ้น (อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย 3.25% ส่วนเฟด 2.25% ต่างกัน 1%) ซึ่งจะส่งผลให้เงินต่างชาติไหลเข้าไทยมากขึ้น และกดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่เชื่อมั่นว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวได้

ส่วนราคาน้ำมันซึ่งปรับขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายฝ่ายยังคาดการณ์ว่าจะมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นไปถึง 200 เหรียญต่อบาร์เรลนั้น มองว่าจากการที่แหล่งน้ำมันของผู้ผลิตรายใหญ่กำลังจะหมดลงในอีก 15 ปีข้างหน้า ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ทำให้กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันต้องการรักษารายได้ให้เท่าเดิม ดังนั้นการที่ราคาน้ำมันจะปรับลดลงมาแรงๆ คงเป็นไปได้ยาก และเชื่อว่าราคาน้ำมันจะทรงตัวในระดับสูงต่อไป

"จากกรณีที่ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูง ทำให้แบงก์ชาติต้องโฟกัสอยู่ที่การรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อไม่ให้สูงเกินไป แต่พรบ.การเงินฉบับใหม่ที่กำหนดให้แบงก์ชาติและกระทรวงการคลังต้องหารือร่วมกันเพื่อกำหนดกรอบอัตราเงินเฟ้อในทุกๆ ปี อาจจะทำให้การทำงานไม่คล่องตัว ดังนั้นแนวทางแก้ปัญหาคือ แบงก์ชาติกับกระทรวงการคลังร่วมกันกำหนดอัตราที่เหมาะสมขึ้นมา เช่น 2.5% โดยจะบวกหรือลบเท่าไหร่ก็กำหนดกรอบไว้ และปล่อยให้แบงก์ชาติเป็นผู้ดูแล รวมถึงยังมีทางเลือกอื่นๆ ที่ธนาคารกลางแต่ละประเทศใช้กัน"

***ตลาดหุ้นไทยปีนี้ผันผวน***

นายปกรณ์ กล่าวต่อว่า นักลงทุนอยากเห็นรัฐบาลให้อิสระในการทำงานแก่ธปท. ในการดำเนินงานนโยบายการเงิน เนื่องจากนักลงทุนให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ค่อนข้างมากและยังมีผลต่อจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้น

"ผมเห็นด้วยกับการดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลของรัฐบาล เพราะปัจจุบันไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้การส่งออกในปีนี้คงชะลอตัวลง ดังนั้นการจะรักษาอัตราการเจริญเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมาย ต้องมีสิ่งที่ทดแทน คือ การลงทุน และการบริโภค ซึ่งรัฐบาลต้องเป็นผู้นำในการลงทุน ในการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อดึงความเชื่อมั่นของภาคเอกชนให้กลับมาทดแทนการส่งออกที่คาดว่าจะชะลอตัวในปีนี้ โดยรัฐบาลควรประกาศให้ชัดเจนว่ากรอบระยะเวลาการดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ และจะกลับมาจัดทำงบฯ แบบสมดุลภายในกี่ปี"

สำหรับทิศทางตลาดทุนไทยปีนี้ นายปกรณ์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นผันผวนค่อนข้างมาก แต่โดยรวมจะดีขึ้น จากการสนับสนุนของภาครัฐ และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐที่จะทำให้เงินไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทยที่จะได้รับประโยชน์ไปด้วย บวกกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน

***คาดธปท.ลดอาร์พีตามเฟด***

นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยกับเฟดสูงถึง 1% จะทำให้เงินทุนจากสหรัฐฯ ไหลเข้ามาในไทยมากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วย

"การลดดอกเบี้ยของเฟด 0.75% จะเป็นแรงกดดันในการพิจารณากำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. และคาดว่ากนง. น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 9 เมษายนนี้ แต่คงต้องติดตามดูในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นแค่ไหน"

ด้านสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยน่าจะมีสัญญาณที่ดีขึ้น ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่เริ่มฟื้นตัว เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศเริ่มมีความมั่นใจหลังเฟดมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และอัดฉีดเงินเข้าระบบการเงิน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจในการลงทุน จากค่า P/E ที่ต่ำ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงสวนทางกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยด้านการเมืองในกรณีที่ศาลจะพิจารณาคำร้องคดีใบแดงของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในวันนี้ (20 มี.ค.)

ขณะเดียวกัน ปัจจัยลบเรื่องของการพิจารณาคดียุบพรรคการเมือง 3 พรรค คือ พรรคชาติไทย มัชฌิมาธิปไตย และพรรคพลังประชาชน ที่จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ซึ่งส่งผลให้การเมืองไทยไม่มีเสถียรภาพ ทำให้มีแรงเทขายทำกำไรออกมากดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลงต่ำกว่า 812 จุด

"วานนี้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน โดยเปิดตลาดช่วงเช้าดัชนีปรับตัวอยู่ในแดนบวก แต่ไม่มากนัก ทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมา สวนทางกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ยกเว้นตลาดหุ้นไทย กับอินโดนีเซียเท่านั้น ที่เจอปัญหาเรื่องของการเมืองเข้ามากดดัน" นายโกสินทร์ กล่าว

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ เพราะนักลงทุนจะมีการขายทำกำไรจากการที่ดาวโจนส์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้ย บวกกับตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 2 วัน ซึ่งจะทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมา โดยในระยะสั้นหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นนักลงทุนควรที่จะมีการขายทำกำไรออกมา หากยังมีมีปัจจัยบวกเข้ามาและธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีส่งสัญญาณที่จะมีการลดดอกเบี้ย โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 801-803 จุด แนวต้านที่ระดับ 815-817 จุด

***ลดเป้าดัชนีปีนี้เหลือ 898 จุด***

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า การประกาศลดดอกเบี้ยของเฟดทำให้ตลาดหุ้นต่างๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นขนาดใหญ่ เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ฮ่องกง ฯลฯ แต่ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะติดลบในช่วงปิดตลาดการซื้อขาย เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีขนาดเล็ก คิดเป็น 1%ของตลาดหุ้นในแถบเอเชียเท่านั้น

พร้อมกันนี้ บริษัทได้ปรับลดเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้เหลือ 898 จุด จากปลายปีที่ผ่านมาตั้งเป้าไว้ที่ระดับ 1,180 จุด สืบเนื่องจากปัญหาการเมืองในประเทศและปัญหาซับไพรม์ยังคงทวีความรุนแรงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการสายงานการตลาด บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยไม่สามารถผ่านแนวต้นที่ 820 จุดได้ โดยมีแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานออกมากดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นปิดในแดนลบ เพราะตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันจากปัจจัยการเมืองที่ยังไม่ความชัดเจน และมีเรื่องที่รอผลคำตัดสินอีกหลายเรื่อง เช่น การตัดสินคดียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย เป็นต้น รวมถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆ ได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยได้รับปัจจัยบวกจากเงินทุนต่างประเทศที่อาจมีการโยกย้ายหลังส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯกับอัตราดอกเบี้ยไทยเพิ่มมากขึ้น ประเมินแนวต้านที่ 815 จุด และแนวรับที่ 800 จุด จึงแนะนำให้ทยอยซื้อสะสมเมื่อดัชนีอ่อนตัว

manager

:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com