April 29, 2024   8:43:40 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ปี 2550 หุ้นสื่อและสิ่งพิมพ์
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 18/03/2008 @ 13:57:53
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ปี 2550 ที่ผ่านมา ภาพรวมภาวะตลาดหุ้นกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ถือว่าไม่ค่อยเอื้ออำนวยให้กับการประกอบธุรกิจของหุ้นกลุ่มนี้เท่าใดนัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศไทยหลายด้าน ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค พร้อมกับทำให้อุตสาหกรรมโฆษณาชะลอการเติบโตอย่างชัดเจน

ทั้งนี้เห็นได้จากการสำรวจประสิทธิภาพการทำกำไรปี 2550 เทียบกับปี 2549 ซึ่งวัดจากกำไรต่อหุ้นเป็นหลัก พบว่าส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง จากจำนวนทั้งหมด 26 ราย โดยมีเพียง 6 รายที่มีกำไรต่อหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น และ 9 ราย มีกำไรต่อหุ้นปรับตัวลดลง ส่วนอีก 11 ราย ขาดทุนกำไรต่อหุ้น


สำหรับหุ้นที่มีกำไรต่อหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น คือ GRAMMY หรือ บริษัท จีเอ็มเอ็ม

แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 137.21% มาอยู่ที่ระดับ 1.02 บาทต่อหุ้น จากเดิม 0.43 บาทต่อหุ้น โดยโชว์กำไรสุทธิปี 50 โตถึง 141% อยู่ที่ 502 ล้านบาท หลังจากได้เริ่มปรับวิธีการเจาะตลาดเพลงแบบครบวงจร (Total Music Business) จนสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายรุ่นใหม่ได้มากยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังได้รับปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวช่วยผลักดันธุรกิจแรง

ส่งผลให้ส่วนรายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ 7,317.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 890 ล้านบาท หรือ 14% ซึ่งมา จากธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าเพลงและค่าลิขสิทธิ์ 2,700 ล้านบาท ผลิตรายการโทรทัศน์ 1,185 ล้านบาท วิทยุ 612 ล้านบาท การจัดคอนเสิร์ต 291 ล้านบาท ภาพยนตร์และโฆษณา 401 ล้านบาท รายได้จากค่าบริหารงานและค่าที่ปรึกษา 7 ล้านบาท บริการรับจัดกิจกรรม 925 ล้านบาท ค่าบริหารศิลปิน 543 ล้านบาท รายได้อื่นๆ 578 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 31 ล้านบาท

นอกจากนี้ GRAMMY ยังสามารถควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถต่อยอดธุรกิจได้โดยไม่มีต้นทุนเพิ่ม จึงมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีมาก และ GRAMMY ยังมีความพร้อมที่จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้ประกอบการโทรทัศน์ได้ ขณะที่ยังเป็นผู้นำในธุรกิจเพลงอีกด้วย

อันดับ 2 LIVE หรือ บริษัทไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 101.23% มาอยู่ที่ระดับ 0.02 บาทต่อหุ้น จากเดิมขาดทุนต่อหุ้น 1.62 บาท ซึ่งบริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 67.91 ล้านบาท ที่เกิดจากรายได้อื่นที่ไม่ใช่รายได้จากกิจการหลัก

โดยบริษัทรายได้จากการลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งมิใช่ธุรกิจหลักของบริษัทจำนวน 205.61

ล้านบาท (43.47%ของรายได้รวม) และมียอดคงเหลือเงินลงทุนชั่วคราวจำนวน 307.64 ล้านบาท (50.10% ของสินทรัพย์รวม) โดยในระหว่างปีมียอดซื้อและขายเงินลงทุนชั่วคราวจำนวน 1,757.06 ล้านบาท และ1,520.99 ล้านบาทตามลำดับ

อย่างไรก็ตามแม้ LIVE จะสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้ แต่นั่นก็ไม่ได้มาจากประสิทธิภาพการบริหารงานที่แท้จริง ดังนั้นการที่นักลงทุนจะเข้าลงทุนในหุ้นรายนี้ คงต้องพิจารณาศึกษาพื้นฐานของหุ้นให้ดี ๆ เพราะที่ผ่านใช่ว่าจะบริสุทธิ ผุดผ่องไปเสียทุกอย่าง

อันดับ 3 MATI หรือ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 65.08%

มาอยู่ที่ 1.04 บาทต่อหุ้น จากเดิม 0.63 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ ในระหว่างปี 2550 บริษัทมีรายได้จากการขายโฆษณาเพิ่มขึ้น

โดยเฉพาะครึ่งปีแรก บริษัทมีรายได้จากการขายโฆษณาในกลุ่มพระเครื่องเพิ่มขึ้น ยอดรายให้มียอดรายได้รวมทั้งสิ้น 1,747.19 ล้าน บาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 75.73 ล้านบาท คิดเป็น 4.53% และมียอดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 1,454.63 ล้านบาท ลดลง 54.84 ล้านบาท คิดเป็น 3.63% ในขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้นิติบุคคล เพิ่มขึ้น 54.88 ล้านบาท คิดเป็น 122.89%

ทำให้ผลประกอบการสำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 ของบริษัทฯมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 75.82 ล้านบาท คิดเป็น 64.63%ส่วนค่าใช้จ่ายลดลง 54.84 ล้านบาท คิดเป็น 3.63% ส่วนหนึ่งจำนวน 32.66 ล้านบาท เป็นการลดลงในค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร

เนื่องจากประจำปี 2549 บริษัทฯ มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเทศกาลฟุตบอลโลกในขณะที่ปีนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายดังกล่าว จากเหตุผลตามที่กล่าวข้างต้นจึงส่งผลให้ผลประกอบการสำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน

อันดับ 4 MAJOR หรือ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 54.35 % มาอยู่ที่ระดับ 1.42 บาทต่อหุ้น จากเดิม 0.92 บาทต่อหุ้น เป็นผลมาจากบริษัทมีกำไรสุทธิ 1,226.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 531.78 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 76 เมื่อเทียบกับปี 2549 จำนวน 695.18 ล้านบาท

เนื่องจากบริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 6,593.68 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2549 จำนวน

5,246.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,347.03 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26 เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากการขยายสาขาเพิ่มขี้น และรับรู้รายได้จากสาขาเอสพานาดซึ่งเปิดปลายปี 2549 ทำให้รายได้จากธุรกิจภาพยนตร์เพิ่มขึ้นควบคู่กับธรุกิจให้บริการโฆษณา

นอกจากนี้ในไตรมาสที่ 2 ปี2550 บริษัทได้จำหน่ายสินทรัพย์ของสาขารัชโยธิน และสาขารังสิต ให้แก่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ไลฟ์สไตล์ (MJLF)

อีกทั้งในการเซ็นสัญญาร่วมทุนทางธุรกิจ กับ บริษัท พีวีอาร์ ซีนีม่าร์ จำกัด เพื่อเจาะตลาดโบว์ลิ่งในประเทศอินเดีย โดยใช้งบลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 38.6 ล้านบาท หรือ 90 ล้านรูปี พร้อมจะเปิดให้บริการได้ภายในกรกฏาคมนี้ นี่ถือเป็นการตอกย้ำผู้นำด้านความบันเทิงครบวงจรได้อย่างแท้จริง

อันดับ 5 GMMM หรือ บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 50.00% อยู่ที่ 1.08 บาทต่อหุ้น จากเดิม 0.72 บาทต่อหุ้น โดยปี 2550 บริษัทมีกำไรสุทธิ 216 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่อยู่ระดับ 143 ล้านบาท เป็นผลจากบริษัทได้เน้นปรับรูปแบบธุรกิจให้ตรงความต้องการผู้บริโภคเช่นเดียวกับ GRAMMY

ทั้งนี้รายได้รวมปี 2550 ของ GMMM อยู่ระดับ 3,318.0 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากปี2549 จำนวน 463.2 ล้านบาท หรือ 16% โดยมาจากเม็ดเงินธุรกิจผลิตวิทยุ 617 ล้านบาท ผลิตรายการโทรทัศน์ 1,279 ล้านบาท การจัดคอนเสิร์ต 57 ล้านบาท รายได้โฆษณาในนิตยสาร

150 ล้านบาท จัดจำหน่ายนิตยสาร 80 ล้านบาท รับจ้างผลิตและบริการ 25 ล้านบาท รับจัดกิจกรรม 673 ล้านบาท รับจัดหาอุปกรณ์ 247 ล้านบาท ส่วนแบ่งกำไรลงทุนในบริษัทร่วม 31 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ 155 ล้านบาท

บริษัทสามารถทำรายได้ในธุรกิจโทรทัศน์เพิ่มขึ้นถึง 15% เพราะได้ประโยชน์จากการปรับรูปแบบเนื้อหาใหม่ โดยเน้นทำละครจบในตอน ละครหลังข่าว รายการวาไรตี้และเกมโชว์ ที่คนส่วนใหญ่นิยมรับชมเป็นหลัก ขณะที่ธุรกิจรับจัดกิจกรรมและจัดหาอุปกรณ์ สามารถโตขึ้น 40% หลังจากปัจจัยการเมืองเริ่มชัดเจนช่วยหนุนให้เกิดการจัดงานมากขึ้น

ภาพรวมของหุ้นกลุ่มนี้จึงดูไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากกำไรทรุดในปีที่แล้วยังไง มาในปีนี้ก็ยังทรุดเหมือนเดิม ส่วนหุ้นที่ทำกำไรได้ก็ยังคงกระจุกตัวอยู่ที่หุ้นบริษัทใหญ่ อย่าง GRAMMY MAJOR และ BEC

ดังนั้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จึงควรเลือกเล่นเป็นรายตัว และนี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ไม่มีความน่าสนใจในช่วงที่ผ่านมา และน่าจะส่งผลมาถึงปีนี้ ที่น่าจะยังคงได้รับผลกระทบจากเม็ดเงินโฆษณาลดลง


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com