April 28, 2024   4:06:25 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > อย่ารีบ! ขบวนสุดท้ายไม่มีจริง
 

arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
วันที่: 28/01/2008 @ 13:26:28
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

อย่ารีบ! ขบวนสุดท้ายไม่มีจริง

ขบวนสุดท้าย ไม่เคยมี ชานชลาแห่งนี้ไม่มีวันสาย หากคืนนี้ไม่มีรถไฟ ขอให้รอขบวนใหม่มา ถึงเวลารุ่งเช้า... กูรูฟันธงเพลานี้เพลงพี่ป้างเท่านั้นเหมาะกับ นลท.ที่สุด ปลอบใจไม่ต้องกลัวตกขบวน เหตุมองหุ้นผันผวนอีกนาน แม้สหรัฐฯลงฉีดยาแรงทั้งหั่นดบ.ฟ้าผ่า-อัดฉีดงบ 150-250 พันล้านดอลล์ กอบกู้เศรษฐกิจ แต่ปัญหาใช่จะแก้ไขได้ในพริบตา ดังนั้นหุ้นขึ้นรอบนี้ไม่ใช่แบบแรลลี่ รอบนี้ไม่ทัน รอรอบหน้ายังไม่สาย

ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกรวมไปถึงตลาดหุ้นไทย เปล่งประกายสดใสแบบที่ไม่ได้เห็นมาหลายสัปดาห์ตั้งแต่เปิดทำการในปี 2551 แต่ล่าสุดตลาดหุ้นกลับมากระชุ่มกระชวยและดีดตัวขึ้นแรงให้ได้ใจชื้นกันอีกครั้ง เมื่อผู้ว่าการเฟดเรียกประชุมฉุกเฉิน และได้ลดดอกเบี้ยคราวเดียวถึง 0.75% ต่อด้วยงบอัดฉีดเพื่อพยุงเศรษฐกิจที่ได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรสอีก 150-250 พันล้านดอลลาร์
จากประเด็นดังกล่าวหนุนให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า ดัชนีนิกเกอิ ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 536.38 จุด ดัชนีเวทเต็ท ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 222.54 จุด ดัชนีฮั่งเส็ง ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 1,583.10 จุด และสะท้อนให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยเคลื่อนไหวทิศทางเดียวกัน โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีฯปิดที่ 759.72 จุด เพิ่มขึ้น 31.14 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 21,878.96 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากประเมินในเชิงลึกแล้ว จะพบว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจเป็นการบ่งชี้อย่างชัดเจน ถึงความรุนแรงของภาวะถดถอยที่กำลังเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิกฤตการณ์ครั้งนี้ส่อเค้าว่าจะลุกลามไปยังยุโรปแล้ว หลังปรากฏความไม่ชอบมาพากลขึ้นกับ Sociate Generalle โบรกเกอร์ตลาดอนุพันธ์ยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส ที่ยอมรับว่า ถูกเทรดเดอร์ของตัวเองโกงไปเป็นเงิน 4.1 พันล้านยูโร ขณะที่ขาดทุนจากซับไพร์ม 2.99 พันล้านยูโร ซึ่งเป็นจุดที่น่าสังเกตุว่า เหตุใด SocGen ขาดทุนจากซับไพร์มแค่ 2.99 พันล้านยูโร ขณะที่ UBS, Credit Suisse และสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของยุโรปรายอื่นๆขาดทุนกันมากกว่านั้น แต่กลับถูกเทรดเดอร์ของตัวเองโกงไปถึง 4.1 พันล้านยูโร ตัวเลขที่ปรากฎออกมาสะท้อนความจริงมากน้อยเพียงใด ซึ่งข่าวความเสียหายที่เกิดขึ้น SocGen อาจทำให้หลายคนนึกถึงกรณีล่มสลายของธนาคาร Barings ซึ่งเป็นธนาคารเก่าแก่ของอังกฤษ ที่ถูก ?นิค ลีสัน? เทรดเดอร์มือทองที่สิงคโปร์โกงไปเป็นเงิน 1.38 พันล้านดอลลาร์เมื่อปี 1995 หรือ 2 ปีก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง (ขอบคุณข้อมูลจาก มังกรในสระ คอลัมน์กุนซือโลกการเงิน อ่านฉบับเต็มได้ที่หน้า www.eFinanceThai.com)
ดังนั้นหลายคนที่อาจเก็บหุ้นไม่ทันเมื่อสัปดาห์ก่อน คงกำลังคิดว่าตัวเองตกขบวนรถรอบนี้หรือไม่ eFinanceThai.com รวบรวมความเห็นของหลายโบรกเกอร์ชั้นนำ ที่ประเมินในทางเดียวกันว่า รอบนี้ยังไม่ใช่รถไฟขบวนสุดท้ายอย่างแน่นอน อีกทั้งการที่ต่างชาติหันกลับมาซื้อสุทธิเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอีก 331 ล้านบาท ขณะที่ขายสุทธิก่อนหน้านี้เกือบ 4 หมื่นล้านบาท อาจยังไม่ใช่สัญญาณการกลับมาของเงินทุนที่แท้จริง ดังนั้นใครยังไม่ได้ซื้อหุ้นคงไม่ต้องตกใจ และไม่ต้องรีบร้อน ซึ่งกลยุทธ์ว่าจะลงทุนแบบไหนดีในภาวะแบบนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่จะเกิดประโยชน์สูงสุด

**ซีมิโก้แนะจัดพอร์ต 50:50
นางสาววราภรณ์ วิบูลคณารักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีมิโก้ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยช่วงนี้แกว่งตัวในกรอบกว้าง เนื่องจากดัชนีฯจะเคลื่อนไหวผันผวนตามปัจจัยบวกและลบรายวันที่เข้ามากระทบ ซึ่งดัชนีฯที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากในการซื้อขายวันศุกร์ (25 ม.ค.51) ประเมินว่าเป็นเพียงการปรับตัวระยะสั้นเท่านั้น หลังจากก่อนหน้านี้ดัชนีฯปรับลงมาแรงมาก และได้ปัจจัยสนับสนุนจากการที่นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้วงเงินมากกว่า 1.5 แสนล้านเหรียญฯ เพื่อคืนภาษีให้กับประชาชน 117 ล้านครัวเรือน
อย่างไรก็ดี แม้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยจะกระเตื้องขึ้นได้บ้าง หลังดัชนีฯพลิกกลับมาบวก แต่นักลงทุนไม่ควรเข้าลงทุนแบบเต็มตัว เนื่องจากปัญหาซับไพร์มยังเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและกดดันจิตวิทยาการลงทุนเป็นระลอก
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ จึงแนะนำให้แบ่งพอร์ตลงทุนด้วยการถือเงินสด 50% และเลือกลงทุนในหุ้น 50% นักลงทุนระยะสั้นให้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และหากสนใจลงทุนหุ้นตัวใดให้ใช้กลยุทธ์เล่นสั้นเข้าไวออกไว ขณะที่นักลงทุนระยะกลางและระยะยาวให้ทยอยสะสมหุ้นที่พื้นฐานดี โดยในช่วงนี้มองว่าหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่มีความน่าสนใจ โดยมองว่าเป็นจังหวะในการเข้าเก็บ เนื่องจากราคาไม่แพงหากเทียบพื้นฐาน หุ้นเด่นยังคงแนะนำหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ SCB KBANK และ BBL เนื่องจากธุรกิจมีการขยายตัวเด่นในปีนี้
สำหรับทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยสัปดาห์นี้ประเมินได้ยาก โดยต้องจับตาการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 31 มกราคม 51 รวมถึงการเลือกนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ เนื่องจากมีผลต่อจิตวิทยาการลงทุน
"ตลาดหุ้นไทยอ่อนไหวมากตามข่าวบวกลบที่เข้ามา หุ้นไทยขึ้นรอบนี้มองว่าขึ้นสั้นๆ ไม่ได้ขึ้นชนิดที่ว่าม้วนเดียวจบ เพราะฉะนั้นนักลงทุนไม่ควรผลีผลามเข้าลงทุน ควรแบ่งพอร์ตการลงทุนให้ดี เผื่อเจ็บตัว และเผื่อตกรอบ จะได้ไม่เสียดาย โดยลงทุน 50% ของพอร์ตน่าจะปลอดภัย เพราะตลาดหุ้นอ่อนไหว และแกว่งกรอบกว้าง อย่าลืมว่าซับไพรม์ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงอยู่ เพราะยังไม่ได้จบไปทีเดียว ก็สร้างความกังวลอยู่"นางสาววราภรณ์ กล่าว

**ASL ฟันธงหุ้นยังผันผวน
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นแรงกว่า 4% ในวันศุกร์มีปัจจัยบวกจากทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นเพราะนักลงทุนคาดหวังว่าชุดมาตรการแก้ปัญหาซับไพร์มของทางการสหรัฐฯ ทั้งในส่วนของการอัดฉีดเงินเข้าระบบการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการคืนภาษีประชาชนกว่า 117 ล้านครัวเรือนจะช่วยยับยั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯได้ นอกจากนี้มุมมองที่ดีขึ้นต่อแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯรวมถึงราคาหุ้นในตลาดฯที่
ปรับลดลงมามาก โดยเฉพาะราคาหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่หลายตัวที่ปรับลงมาต่ำกว่าราคาพื้นฐาน ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีแรงซื้อกลับเข้ามาอีกครั้ง หลังจากขายปรับ
พอร์ตมาตลอดกว่า 20 วันที่ผ่านมา และเป็นตัวแปรที่ผลักดันให้ดัชนีฯปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงแรงซื้อหุ้นในเครือปตท.หลังจากประเด็นค่าเช่าท่อก๊าซได้ข้อสรุปออกมาแล้ว ทำให้ดัชนีฯยืนแดนบวก
อย่างไรก็ตามประเมินว่าการปรับขึ้นของดัชนีฯนั้นเป็นเพียงการรีบาวน์ขึ้นระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากในระยะกลางถึงระยะยาวตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยยังคงต้องเผชิญกับผลกระทบของวิกฤตตลาดสินเชื่อ ประกอบกับการเมืองในประเทศที่ยังไม่ชัดเจนในเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาลและโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ รวมถึงทีมเศรษฐกิจที่จะกำหนดทิศทางของภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดการเงินในประเทศ อาจส่งผลให้เมื่อดัชนีฯปรับเพิ่มขึ้นแล้วจะมีแรงขายทำกำไรสลับออกมากดดันให้ดัชนีฯอ่อนตัวลงระหว่างวัน
ทั้งนี้ประเมินว่าในสัปดาห์นี้ดัชนีฯอาจเคลื่อนไหวในลักษณะผันผวน โดยปัจจัยที่เสี่ยงที่กดดันบรรยากาศการลงทุนคือแรงขายทำกำไรหลังจากปลายสัปดาห์นี้ดัชนีฯปรับขึ้นแรง และที่สำคัญคือประเด็นการเมืองในส่วนของการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะมีนัดลงมติเลือกนายกฯวันจันทร์ที่ 28 ม.ค.นี้และที่ตลาดฯให้ความสนใจน่าจะเป็นโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่และทีมเศรษฐกิจ ซึ่งตามโผรายชื่อว่านายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือ หมอเลี้ยบ อาจจะได้เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ส่วนและนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ มองว่ายังไม่ใช่บุคคลที่จะสร้างความเชื่อมั่นในการเข้ามาฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย เพราะแม้ว่าบุคคลทั้งสองจะมีความสามารถในการบริหารงานภาพรวมแต่ถือว่ายังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงเศรษฐกิจและการลงทุนดังนี้ตลาดฯอาจตอบรับในเชิงลบ เนื่องจากสะท้อนว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาบริหารงานในแต่ละภาคส่วน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยลบจากปัญหาซับไพร์มที่ยังไม่สิ้นสุด และอาจมีข่าวลบออกมากดดันตลาดหุ้นทั่วโลกอีก
อย่างไรก็ตามปัจจัยบวกที่จะเข้ามากระตุ้นจิตวิทยาการลงทุนอย่างชัดเจนในสัปดาห์หน้าคือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟดมีความเป็นไปได้สูงมากกว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกไม่ต่ำกว่า 0.25% ซึ่งจะช่วยให้มีแรงซื้อเข้ามาในตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทย
กลยุทธ์การลงทุน สำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรในช่วงต้นสัปดาห์หน้าอย่างไรก็ตามให้เป็นการซื้อเก็งกำไรระยะสั้น และขายทำกำไรเมื่อดัชนีฯปรับเพิ่มขึ้น ยังไม่ควรซื้อลงทุนเนื่องตลาดฯยังไม่พ้นแนวโน้มขาลง
สำหรับในหุ้นน่าสนใจและปลอดภัยจากความเสี่ยงในระยะสั้นถึงระยะกลางมองว่าเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยแนะนำซื้อ SCB-KBANK และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แนะนำ LH เนื่องจากหุ้นทั้งสองกลุ่มน่าจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและการฟื้นตัวของโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐรวมถึงการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคหลังมีรัฐบาลชุดใหม่ส่วนในระยะยาวยังไม่แนะนำให้ซื้อเนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อการขาดทุนจากภาวะตลาดฯที่ผันผวน
ประเมินแนวรับสัปดาห์หน้า 750 จุด แนวต้าน 800 จุด

**เมอร์ชั่นฯ ชี้ไม่มีแล้วหุ้นแรลลี่ 2-3 เดือน
นางสาวศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในวันนี้ โดยมองว่าเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะเวลาสั้น เนื่องจากช่วงนี้ตลาดฯได้รับปัจจัยบวกจากการออกมาตรการฉุกเฉินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด หลังปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.75%รวมถึง รัฐบาลสหรัฐฯและสภาคองเกรสได้ข้อสรุปในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามภาวะตลาดฯยังคงผันผวน จากปัญหาซับไพร์มที่ยังคงเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อตลาดฯอยู่ ซึ่งมองว่าภาวะตลาดฯในปีนี้ไม่เหมือนกับปีที่แล้วที่ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นระยะเวลานานติดต่อกันถึง 2-3 เดือน
อย่างไรก็ตามปัจจัยในสัปดาห์นี้ที่ส่งผลบวกต่อตลาด มองว่า เฟดน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมครั้งหน้า วันที่ 29-30 ม.ค.นี้ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯให้ดีขึ้น รวมถึง ปัจจัยภายในประเทศเรื่องการเมือง เรื่องการเลือกนายก วันที่ 28 ม.ค.นี้ ซึ่งทีมเศรษฐกิจ และคณะรัฐมนตรี คงไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยเชื่อว่านโยบายของรัฐบาล จะมีแนวทางเพื่อช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการประกาศตัวเลขยอดขายสินค้าคงทน และ GDP ของสหรัฐฯ ซึ่งตลาดฯคาดการณ์ว่าตัวเลขที่ออกมาจะไม่ดี ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ยังไม่แนะนำให้ ซื้อลงทุน เนื่องจากภาวะตลาดฯที่ผันผวน แต่สำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่สนใจ อาจเข้าซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้ในช่วงสั้น นอกจากนี้ แนะ ทยอยซื้อสะสมหุ้นที่ผลประกอบการออกมาดี และจ่ายเงินเงินปันผลในอัตราที่สูง ซึ่งผลประกอบการของแต่ละบริษัทฯ เริ่มทยอยประกาศออกมา รวมถึงเงินปันผลด้วย เพื่อลดความเสี่ยง หากราคาหุ้นผันผวนก็ยังได้รับผลประโยชน์จากเงินปันผล
ส่วนระยะกลาง-ระยะยาว แนะทยอยสะสมบางส่วนเมื่อดัชนีอยู่ที่ 730 จุด และซื้อ เมื่อดัชนีอยู่ในระดับ 700 ต้นๆ โดยแนะนำกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY

** KEST หนุนอีกแรงแค่รีบาวน์ แนะถ้าไม่มี "อยู่เฉยๆ ยังไม่ต้องเข้า"
นายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปกว่า 30 จุด โดยมองว่าเป็นเพียงแค่การรีบาวน์ขึ้นทางเทคนิค หลังช่วงที่ผ่านมาดัชนีฯ ปรับตัวลดลงไปสู่แนวรับที่ 720 จุด ซึ่งเป็นแนวรับทางเทคนิคที่สำคัญและแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ยังมีแรงซื้อกลับเข้ามาจากนักลงทุนต่างประเทศ หลังนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวอยู่ในขณะนี้ ประกอบกับ ได้รับแรงหนุนจากตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
นอกจากนี้ นักลงทุนเริ่มกลับมามีความมั่นใจต่อการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากมีความชัดเจนประเด็นของ บมจ.ปตท.หรือ PTT ที่จะต้องจ่ายค่าเช่าท่อก๊าซ 5-35% ตามรายได้จริง โดยต้องจ่ายขั้นต่ำปีละ 180 ล้านบาทไม่เกิน 550 ล้านบาทต่อปี ตามรายได้ค่าผ่านท่อที่เกิดขึ้นจริง จึงมองว่าข้อสรุปค่าเช่าท่อก๊าซ น่าจะส่งผลบวกต่อเซ้นติเม้นต์ของราคาหุ้น PTT และช่วยสนับสนุนทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยเช่นเดียวกัน
"วันนี้ตลาดรีบาวน์ขึ้นมา กว่า 30 จุด ฝรั่งก็กลับมาซื้อ หลังจากในช่วงที่ผ่านมาเทขายกันออกมาส่วนใหญ่ เซ้นติเม้นต์ของ PTT ก็ดีขึ้น จากความชัดเจนเรื่องค่าเช่าท่อก๊าซที่ได้ข้อสรุป แต่ตอ่ไปคงจะมีแรงขายออกมาอีก เพราะขึ้นไปคงจะกำไรกันไปแล้ว แต่ยังไม่ควรเข้าซื้อตอนนี้น่ะขึ้นมาแบบนี้รอขายดีกว่า ถ้าไม่มีอยู่เฉยๆ อย่าเพิ่งเข้า เพราะตลาดต่างประเทศและไทยยังมีจะแกว่งตัวได้อีก "นายพงศ์พันธุ์
อย่างไรก็ตาม ดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้( 28 ม.ค.) คงต้องขึ้นอยู่กับทิศทางของดัชนีตลาดหุ้นในต่างประเทศ โดยเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่เชื่อมีแนวโน้มที่จะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงกระทบมายังตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่กดดันบรรยากาศการลงทุน คือ แรงขายเพื่อทำกำไร หลังจากกวันนี้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปค่อนข้างแรง รวมถึงให้ติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ในวันที่ 29-30 ม.ค. เกี่ยวทิศทางของดอกเบี้ย ซึ่งโดยส่วนตัวคาดว่าเฟดไม่น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก เพราะในช่วงที่ผ่านมาปรับลดลงไปค่อนมากแล้ว นอกจากนี้ ปัจจัยภายในประเทศเรื่องการเมือง ในการเลือกนายก วันที่ 28 ม.ค.นี้ และทีมรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ และเชื่อว่าคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากที่หลายๆ ฝ่ายคาดกาณ์กันไว้ก่อนหน้านี้

**ฟินันซ่า เตือน "อย่าผลีผลาม"
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันซ่า ระบุว่า ดัชนีฯปรับตัวขึ้น แต่ความผันผวนยังมีอยู่ ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองสัปดาห์นี้คือ จะเรียกประชุมส.ส.เพื่อโหวตเลือก
นายกรัฐมนตรี ฯ และเหตุการณ์สำคัญ ทุกสายตาพุ่งเป้าไปที่การประชุมดอกเบี้ยของ FED (29-30) และการประชุมของกลุ่ม OPEC (1 ก.พ.) ในขณะที่ในบ้านเรา ต้องจับ
ตาการฟอร์มครม. ?สมัคร 1?โดยเฉพาะโฉมหน้าทีมเศรษฐกิจ และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจประจำเดือนธ.ค.07 ของ BOTในวันพฤหัสหน้า (31) ปิดท้ายด้วยเรื่องเฉพาะ
กิจกรณี TMB ( ฺBt1.15, T-Buy, TP Bt1.53) ที่อาจมีการประชุมบอร์ดเพื่อแต่งตั้งผู้บริหารชุดใหม่

สุดท้ายคงต้องจบด้วยเพลงเดิมคือ...ชัดๆ ว่าจะเลือกทางใด ไหนๆ ก็จะต้องเดินทาง หากจุดหมายแน่นอนเหมือนดัง ตั้งใจไว้ คงไม่ช้า

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com