April 28, 2024   6:41:27 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ซอคเจน ถล่มหุ้นโลกอีกระลอก
 

arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
วันที่: 25/01/2008 @ 08:57:03
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ซอคเจน ถล่มหุ้นโลกอีกระลอก

ซอคเจน พ่นพิษ ถล่มหุ้นทั่วโลกอีกระลอก รวมทั้งตลาดหุ้นไทยที่หนีวังวน
ไม่พ้น ขณะที่ผู้บริหาร ตลท. และนักวิเคราะห์ระบุ ตลาดหุ้นไทยยังมีเสน่ห์ที่ P/E ต่ำ
หนำซ้ำหลายบริษัทราคาหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน เชื่อหลังพ้นวิกฤตเศรษฐกิจ ราคา
หุ้นจะเด้งกลับมาแรง ในเวลาอันรวดเร็ว

* หุ้นไทยร่วงตามหุ้นทั่วโลกหลังเจอ ซอคเจน พ่นพิษ
ดัชนีตลาดหุ้นไทย วันที่ 24 มกราคม 2551 ปิดที่ระดับ 728.58 จุด ลดลง 12.07 จุด หรือ
1.63% มูลค่าการซื้อขาย 16,508.96 ล้านบาท และนักลงทุนต่างยังคงเทขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง
อีก 2,213.56 ล้านบาท
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้า ก่อนจะปรับตัวลดลงในช่วงบ่ายหลังมีข่าว
ต่างประเทศ รายงานว่า โซซิเอเต้ เจเนอราล (ซอคเจน) ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2
ของฝรั่งเศส ได้ออกมาเปิดเผยในวันนี้ว่า ทางธนาคารได้ตรวจพบการฉ้อโกงของเทรดเดอร์ราย
หนึ่งซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อทางธนาคารคิดเป็นมูลค่าราว 4.9 พันล้านยูโร (7.16 พันล้าน
ดอลลาร์) หรือกว่า 230,000 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ธนาคารยังได้ประกาศปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีลงอีก 2.05 พันล้านยูโรที่
เกี่ยวข้องกับภาวะสินเชื่อตึงตัวทั่วโลก และธนาคารมีแผนจะเพิ่มทุนอีก 5.5 พันล้านยูโรเพื่อเพิ่ม
ความแข็งแกร่งให้กับงบดุลบัญชีของธนาคาร ส่งผลให้ตลาดหุ้นปารีสสั่งพักการซื้อขายหุ้น ซอ
คเจน ขณะที่ราคาหุ้น ซอคเจน ปิดดิ่งลง 4.15% สู่ 79.08 ยูโรเมื่อวันก่อน
มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลกับสถานภาพธนาคารต่างๆ โดย
เฉพาะประเด็นการจัดการความเสี่ยง เพราะในอดีต นิค ลีสัน ซึ่งเป็นเทรดเดอร์ที่ทำการซื้อขาย
ที่ผิดกฎธนาคารจนทำให้ธนาคารแบริ่งของอังกฤษล้มละลาย ก็ยังไม่สร้างความเสียหายได้มาก
ขนาดนี้
ด้านดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดลดลง 550.90 จุด หรือ 2.29% สู่ระดับ
23,539.27 จุด ทันทีที่ปรากฏข่าวนี้ขึ้นในตลาด หลังดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่า 700 จุดในช่วง
เช้า

* ซอคเจน ซ้ำเติมตลาดหุ้นไทย กระทบความเชื่อมั่น นลท.
นายสุวิทย์ มาไพศาลสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด กล่าวว่าจาก
กรณีข้างต้นย่อมมีผลต่อความกังวลต่อนักลงทุนอย่างแน่นอน ซึ่งบริษัทฯ มองว่าในเรื่องของโอลิ
เวอร์ไวย์แมนนั้นเป็นการคาดการณ์จากผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมอยู่แล้ว ซึ่งในประเด็นดังกล่าว
ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยที่ผ่านมาได้มีการรับรู้ไปแล้วบางส่วนจึงไม่น่าจะเป็นเรื่อง
ใหม่มากนัก
ทั้งนี้มองว่าในประเด็นดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นไป
ตามตลาดหุ้นทั่วโลก โดยสังเกตได้จากที่ผ่านมาเมื่อตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง ตลาดหุ้นไทยก็
จะปรับตัวลงตามเช่นกัน ขณะที่เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นถือว่ายังน้อย
มากเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นต่างชาติจึงมีการโยกเงินออกไปพักเพื่อรอดูสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ ซอคเจน ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่โดนฉ้อโกง ทำให้ตลาดหุ้นทั่ว
โลกเริ่มหวาดกลัวผลกระทบบริษัทฯ ไม่สามารถให้คอมเม้นท์อะไรได้มากนักเพราะไม่ทราบแน่
ชัดว่าซอคเจนเข้าไปลงทุนที่ตลาดใดบ้าง
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า
กรณี ซอคเจน จะทำให้เป็นการซ้ำเติมต่อความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในตลาดทุน และเชื่อว่าจะ
กระทบต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึง กระทบมายังการเคลื่อนไหว
ของดัชนีตลาดหุ้นไทยในระยะนี้เช่นกัน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันก็ได้รับผลกระทบจาก
ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เข้าสู่ภาวะถดถอย หลังประสบปัญหาซับไพร์มในช่วงที่ผ่านมา
การฉ้อโกงของ ซอคเจน ยิ่งเป็นการซ้ำเติมตลาดฯ และยังจะกระทบต่อความเชื่อมั่น ต่อ
การลงทุนในตลาดทุนให้หมดไปอีก และในปัจจุบันตลาดก็ถูกภาวะกดดันจากปัญหาซับไพร์มอยู่
แล้ว ซึ่งมีกรณีดังกล่าวอีกก็ทำให้ตลาดขาดความเชื่อมั่นกว่าเดิม แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นการ
ฉ้อโกงในลักษณะแบบไหน แต่ทั้งหมดก็จะกดดันต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนแน่นอน นางภรณี
กล่าว
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวถึง
ประเด็นดังกล่าว่า ไม่น่าจะกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากซอคเจนนั้นเป็นธนาคารที่อยู่ใน
ประเทศฝรั่งเศส และไม่ได้มีการลงทุนในไทยมากนัก แต่น่าจะมีผลต่อตลาดหุ้นยุโรป และราคา
หุ้นของซอคเจนเองมากกว่า โดยประเด็นดังกล่าวจะทำให้ตลาดหุ้นยุโรปมีความปั่นป่วน และจะยัง
ผลมากระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
น่าจะกระทบต่อซอคเจนเองเลยมากกว่า เพราะนอกจากเรื่องนี้แล้ว ธนาคารดังกล่าวยังมี
การลงทุนซับไพร์มด้วย แต่นักลงทุนคงจะตั้งข้อสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบการตรวจสอบของ
สถาบันการเงินในยุโรป ถึงได้เกิดเหตุการอย่างนี้ และเกรงว่าอาจจะเป็นเหมือนกับกรณีของนาย
นิค ลีสัน ซึ่งเป็นเทรดเดอร์ที่ทำการซื้อขายที่ผิดกฎธนาคาร จนทำให้ธนาคารแบริ่งของอังกฤษล้ม
ละลาย ดังนั้นต้องระมัดระวังเรื่องดังกล่าวด้วย เพราะเงินฉ้อดกงในกรณีของซอคเจนนั้นวงเงินสูง
มาก นายวีระชัย กล่าว
อย่างไรก็ดี ที่ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงแรงมากนั้นเป็นเพราะ นักลงทุนต่างชาตินั้นกระหน่ำ
เทขายหุ้นไม่เลิก เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของโลดที่ชะลอตัวลง จาก
เศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ถดถอย ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศไทย เรื่องของทางการเมืองแม้ จะมี
ความชัดเจนระดับหนึ่งแต่ ก็ยังไม่เป็นรูปธะรม ในเรื่องของหน้าตาคณะรัฐบาล และทีมเศรษฐกิจ

* ข่าวร้ายรุมเร้าตลาดหุ้นเพียบ
เท่านั้นยังไม่พอ ตลาดหุ้นทั่วโลกยังผวากับข่าวร้ายที่ทยอยออกมาอย่างไม่ขาดสาย ทั้ง
ข่าวจากสิงคโปร์ ที่ระบุว่า ตำรวจสิงคโปร์ ออกมาเปิดเผยในวันนี้ว่า อดีตเจ้าหน้าที่ซิตี้แบงก์ 7 คน
ถูกศาลสิงคโปร์ตั้งข้อหาว่าขโมยข้อมูลของลูกค้าก่อนที่จะลาออกไปร่วมงานกับยูบีเอส เอจี ซึ่งเป็น
ธนาคารคู่แข่ง ในปี 2006 ซึ่งเจ้าหน้าที่ทั้ง 7 คนนี้จะถูกตั้งข้อหารวมทั้งสิ้น 1,223 กระทงตาม
กฎหมายเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ในทางทุจริต ขณะที่สื่อสิงคโปร์รายงานว่า ข้อหาเหล่านี้มี
โทษปรับมากกว่า 100,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (70,000 ดอลลาร์สหรัฐ) หรือกว่า
2,300,000 บาท หรืออาจมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปี
นอกจากนี้ รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า โอลิเวอร์ไวย์แมน บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของ
สหรัฐฯ คาด อุตสาหกรรมการเงินโลกจะได้รับความเสียหายจากวิกฤตซับไพร์มสหรัฐฯเป็นมูลค่า
อีกไม่ต่ำกว่า 300 พันล้านดอลลาร์ และตลาดเงินโลกจะมีความผันผวนตลอดอย่างน้อย 1-2 ปีข้าง
หน้า
โดยในบทวิเคราะห์ที่มีชื่อ We expect a stormy 2008 ของโอลิเวอร์ไวย์แมน ระบุว่า
แม้รัฐบาล ธนาคารกลาง และหน่วยงานเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และในหลายประเทศจะพยายามกู้
วิกฤตที่เกิดขึ้นจากซับไพร์ม แต่คาดว่า ปัญหาใหญ่ต่างๆ ยังคงไม่หมดไป
การชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอังกฤษและสเปน ซึ่ง
เป็นปัจจัยเสี่ยงให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงอย่างรุนแรง รวม
ถึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม ในบทวิเคราะห์ดังกล่าวระบุ
นอกจากนี้ โอลิเวอร์ไวย์แมนยังระบุด้วยว่า การชะลอตัวของตลาดหุ้นอินเดียและจีนยังเป็น
อีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกปีนี้
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ของโอลิเวอร์ไวย์แมนได้เผยแพร่ออกมา 1 วัน ก่อนที่ ซอคเจน สถาบัน
การเงินยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศสประกาศแผนเพิ่มทุน 8.02 พันล้านดอลลาร์ หลังพบธุรกรรมที่ผิด
ปกติที่อาจสร้างความเสียหายถึง 7.14 พันล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันยังได้รับความเสียหายจาก
การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตซับไพร์มอีก 2.99 พันล้านดอลลาร์

* วงใน เผยมาตรการกระตุ้นศก.สหรัฐฯ ใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว
ล่าสุดสำนักข่าวเอพีรายงานว่า สมาชิกระดับแกนนำในสภาคองเกรสทั้งจากพรรคเดโมแคร
ต และรีพับลิกันเปิดเผยว่า การหารือระหว่างสภาคองเกรสกับรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับมาตรการ
กระตุ้นเศรษฐกิจใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว โดยคาดว่า จะมีการออกมาตรการลดภาษีฉุกเฉิน และเพิ่ม
สิทธิประโยชน์เพื่อกระตุ้นการลงทุน
เราจะหารือต่ออีกวันในวันพรุ่งนี้ และใกล้จะได้ข้อสรุปแล้ว นาย จอห์น โบห์เนอร์ แกนนำ
สมาชิกสภาคองเกรสพรรครีพับลิกันกล่าว
การเปิดเผยของนาย โบห์เนอร์เป็นสัญญาณว่า การหารือระหว่างนาง แนนซี่ เปโลซี่
ประธานสภาคองเกรส และนาย เฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งดำเนิน
มาแล้ว 3 ครั้งจะได้ข้อสรุปในการประชุมครั้งที่ 4 ซึ่งจะมีขึ้นคืนนี้ตามเวลาในประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวสมาชิกสภาคองเกรสหลายคนที่ระบุว่า มาตรการกระตุ้น
เศรษฐกิจสหรัฐฯที่คาดว่าจะมูลค่าประมาณ 150 พันล้านดอลลาร์ อาจเพิ่มเป็น 250 พันล้าน
ดอลลาร์
ขณะที่วันก่อน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้นเกือบ 300
จุด เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังว่า การลดอัตรดอกเบี้ยฉุกเฉินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ
เฟด ประกอบกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวจากภาวะ
ถดถอยได้
อย่างไรก็ดี นายจอห์น สแปรตต์ ประธานคณะกรรมาธิการงบประมาณสภาคองเกรส กล่าว
ว่า จากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้อาจส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณสูงถึง
379 พันล้านดอลลาร์ หรือ กว่า 2 เท่าของการขาดดุลงบประมาณปีก่อน

* เมอร์ริลลินช์ ให้น้ำหนักลงทุนหุ้นไทยต่ำกว่าเฉลี่ย-มอร์แกนมองศก.โลกทรุดตามสหรัฐฯ
ด้านสถานการณ์การลงทุนในประเทศไทยนั้น สำนักข่าวต่างประเทศระบุว่า เมอร์ริล ลินช์
ได้ให้น้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นไทยต่ำ กว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย (marginally underweight) หลัง
มองแนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย รวมทั้งนโยบายเกี่ยวกับ
การลงทุนของต่างชาติยังไม่น่าสนใจเมื่อ เทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน
โดยระบุคำสัมภาษณ์ของ นายแดเนียล คาซาลี รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ด้านหุ้น ประจำภูมิ
ภาคเอเชีย-แปซิฟิกของเมอร์ริลฯ ว่า การที่ไทยใช้มาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น เป็น
การปิดกั้นเงินลงทุนจากต่างชาติด้วย การใช้ capital control นั้น เป็นการหยุดการลงทุนต่าง
ชาติที่จะไหล เข้าประเทศ และกล่าวด้วยว่า หากมองไปที่ภาคส่งออกของไทย ก็จะเห็นว่าอาจ
ถูกกระทบจากการแข็งค่าของบาทได้ ขณะที่ภาพการเมืองยังไม่เอื้อต่อการลงทุนนัก
อย่างไรก็ตาม หุ้นบางกลุ่มในตลาดหุ้นไทยก็ยังน่าสนใจลงทุน เช่น กลุ่มสินค้า
โภคภัณฑ์ แต่เราก็ไม่ได้ underweight ประเทศไทยอย่างรุนแรง อย่างเช่นที่เรามีมุมมองต่อ
ตลาดหุ้นเกาหลี และไต้หวัน เป็นเพราะยังมีหุ้นหลายตัว เป็นหุ้น commodities และได้กล่าวถึง
การจัดอันดับการลงทุนในภูมิภาคเอเชียว่า ประเทศที่น่าสนใจ ลงทุนที่สุด 2 อันดับแรก คือ
ฮ่องกง และ จีน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ
ขณะที่สามประเทศในอาเซียนที่ได้ให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่า ตลาด (overweight) คือ
สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ขณะที่จัดอันดับ market weight สำหรับอินโดนีเซีย เขากล่าว
ด้วยว่า กลุ่มที่น่าสนใจลงทุนในแถบเอเชีย คือ ด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน และสินค้าโภคภัณฑ์
(commodities) ส่วนกลุ่มที่ไม่น่าสนใจลงทุนคือ ธนาคารพาณิชย์ และเซมิคอนดัคเตอร์
ส่วนรายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า นายโรช กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกต้อง
พึ่งพาการบริโภคจากสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำวกว่า 9.5 ล้านล้านดอลลาร์/ปี
เศรษฐกิจโลกไม่มีทางรอดพ้นภาวะชะลอตัวรุนแรง เนื่องจากต้องอาศัยพลังการบริโภคจาก
สหรัฐฯถึงปีละ 9.5 ล้านล้านดอลลาร์ นายโรช กล่าว
ทั้งนี้ นายโรช กล่าวว่า นักลงทุนเริ่มคาดการณ์ถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเผชิญภาวะ
ซบเซาแล้ว ตั้งแต่ภาคบริโภคของสหรัฐฯ ประสบปัญหา ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อ
เศรษฐกิจโลก

* ปัจจัยกดดันในปท. ยังมาจากการเมือง-PTT-เงินไหลเข้าหลังดบ.ต่ำ
สำหรับปัจจัยภายในประเทศที่กดดันตลาดหุ้นไทย ยังคงเป็นปัจจัยหลักๆ ได้แก่
สถานการณ์ทางการเมือง ที่กำลังเข้าสู่ความสมบูรณ์แบบของการจัดตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ โดย
นักลงทุนยังคงรอว่าทีมเศรษฐกิจจะมีหน้าตาอย่างไร และจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร
นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากคดี บมจ.ปตท. (PTT) ที่ยังไม่ข้อสรุปด้านการโอนท่อก๊าซ
โดยวานนี้ (24 ม.ค.) นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยก่อน
การเข้าหารือกับนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการคิด
อัตราค่าเช่าท่อก๊าซของ PTT ว่า หากในการประชุมวันนี้ไม่เป็นที่พอใจของกระทรวงพลังงานก็จะ
ไม่ตกลงใดๆ ด้วย
บทสรุปจากนี้คือ ปตท.สามารถใช้ท่อก๊าซต่อไปได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่า ซึ่งเป็นการ
ดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมาย พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจที่อยู่ข้างปตท. และพ.ร.บ.ดังกล่าว
กระทรวงการคลังเป็นผู้ร่างขึ้นมาเอง นายปิยสวัสดิ์ กล่าว
หลังการหารือในวันเดียวกัน มีข้อสรุปว่า การจ่ายค่าเช่าท่อก๊าซ จะจ่ายแบบขั้นบันได เริ่ม
ตั้งแต่ 5-35% และ PTT ต้องจ่ายค่าเช่าท่อก๊าซย้อนหลังคืนกระทรวงการคลัง 2-3 พันล้านบาท
รวมดอกเบี้ยและภาษี จากฐานรายได้ 5 ปี ที่ 3.6 พันล้านบาท ซึ่งบทสรุปนี้ต้องมาติดตามต่อว่าจะ
มีผลกระทบอย่างไรต่อไป
ขณะที่ บล.กิมเอ็ง ระบุว่า ยังมองการซื้อขายหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนเพราะแรงขายจากนัก
ลงทุนต่างประเทศ และจิตวิทยาในประเทศที่ดูอ่อนแอ ซึ่งจะเห็นได้ว่าตลาดภูมิภาคได้ทะยานขึ้น
แรงต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินครั้งใหญ่ของธนาคารกลางสหรัฐวานนี้ แต่ตลาดไทยกลับ
อ่อนตัวลงจากแรงขายสุทธิ 1.9 พันล้านบาทจากนักลงทุนต่างประเทศ
ทั้งนี้ แม้ตลาดไทยจะเป็นตลาดหุ้นที่ถูกที่สุดในเอเชียในด้านที่พีอีต่ำ แต่จะได้รับผลลบจาก
ความเสี่ยงต่อวิกฤติการเงินในสหรัฐฯ มากที่สุดเพราะปัจจัยการเมืองไม่มีเสถียรภาพเทียบกับ
ตลาดเพื่อนบ้าน นอกจากนั้น ข้อพิพาทเรื่องกรณีการเช่าท่อก๊าซของ PTT ได้ส่งผลลบไปถึง
ดัชนีฯ โดยรวมด้วย

* ตลท.แนะจังหวะนี้ ดีที่จะได้เก็บหุ้นถูกถือยาว 6 เดือน - 1 ปี
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า
สำหรับในภาวะที่หุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยปรับลดลงรุนแรงนั้น นักลงทุนควรใช้เป็นจังหวะใน
การซื้อหุ้นพื้นฐานดีราคาถูก ซึ่งปัจจุบันมีหลายหลักทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น แต่การลงทุน
จะต้องเป็นลักษณะการซื้อและถือระยะยาว 6 เดือนถึง 1 ปี เนื่องจากผลกระทบจากเศรษฐกิจต่าง
ประเทศอาจไม่ได้มีผลโดยตรงกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยซึ่งส่วนใหญ่มี
อัตราการเติบโตดี
นอกจากนี้ ยังมองว่าหลังจากที่ปัญหาต่างๆ เริ่มคลี่คลายลง ราคาหุ้นจะปรับกลับขึ้นมาสูง
อีกครั้งเช่นในอดีตที่ผ่านมาที่ทุกครั้งหลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2-4 เดือน ราคาหุ้นทั่วโลกจะมีการปรับ
ขึ้นอย่างรวดเร็ว และการที่ทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับลดดอกเบี้ยไปแล้วถึง 0.75%
และยังมีแนวโน้มว่าระยะอันใกล้นี้จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก
นั้นย่อมจะมีผลให้ช่วงห่างระหว่างดอกเบี้ยทั้งในและนอกประเทศมีมากขึ้น และหาก ธปท. ไม่ได้
ควบคุมระดับอัตราดอกเบี้ยในประเทศให้เหมาะสมก็อาจจะทำให้เกิด
ภาวะการไหลเข้าของเงินทุนเป็นจำนวนมาก และสะท้อนผลไปยังค่าเงินบาททำให้มีโอกาสที่จะ
แข็งค่าเพิ่มขึ้นอีกจากระดับปัจจุบัน
ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมในประเทศถือว่ายังประเมินยาก เพราะปัจจุบันยังไม่มีการ
วิเคราะห์ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากปัญหาซับไพร์มที่ชัดเจน ซึ่งเรื่องดังกล่าวควรจะต้องให้ผู้ส่ง
ออก แบงก์ชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันก่อนตัดสินใจเรื่องนโยบายดอกเบี้ยใน
ประเทศ ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% จะส่งผลบวกหรือลบ
ต่อภาพรวมเศรษฐกิจเพียงใด ซึ่ง ตลท. มีความต้องการจะหารือร่วมกับ ธปท. เพื่อให้ได้ข้อสรุป
เรื่องดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของตลท.จะไม่ได้รับผลลบโดยตรงแต่ในส่วนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาด
หลักทรัพย์จะประสบปัญหาในการออกขายหุ้นกู้ต่างประเทศซึ่งจะทำได้ยากขึ้นกว่าปกติ
ปัจจุบันแม้จะมีมาตรการกันสำรองแต่เงินบาทก็ยังแข็งอยู่ ซึ่งถ้าจะยกเลิกตอนนี้ก็ยังตอบ
ไม่ได้ว่าจะมีผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน แต่ในส่วนของเราคงไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง ยกเว้น
การออกขายหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนเท่านั้น นายวิเชฐ กล่าว

* หุ้นไทยหลุดแนวรับสำคัญ 740 จุด-แนะติดตามผลกระทบ ซอคเจน
นายสิทธิพร เจนในเมือง ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศ
ไทย) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง หลังจากที่หลุดแนวรับทางเทคนิค 740 จุด ซึ่งถือ
เป็นสัญญาณไม่ค่อยดีนัก มีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงไปถึงระดับ 730 จุด จึงมองว่าไม่ใช่จังหวะ
ของการเข้าลงุทน แนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน รอดูสถานการณ์ภาพรวมตลาดหุ้นไทยไป
ก่อน
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ดัชนี
ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงในช่วงบ่ายวันนี้ เพราะได้รับแรงกดดันจากดัชนีในตลาดหุ้นภูมิภาคที่
ส่วนใหญ่อ่อนตัวลลง เช่น ดัชนีฮั่งเส็ง ลดลง 550.90 จุด 2.29% ทำให้บรรยากาศการลงทุนแย่
ลง ส่วนการที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.75% ไม่ช่วยให้ภาพรวมดีขึ้นนั้น เพราะนักลงทุนตี
ความการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็น 2 ทางคือ เศรษฐกิจของสหรัฐฯแย่มากจนเฟดต้องปรับลด
ดอกเบี้ย ส่วนอีกประเด็นคือ เป็นการชะลอไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอยมากเป็นกว่าเดิม
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น ควรระมัดระวังการลงทุน ส่วนระยะกลางและยาว แนะนำถือ
แนวรับ 730 จุด แนวต้าน 750 จุด
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน จำกัด
ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดลง น่าจะเกิดผลกระทบจาก ซอคเจน ซึ่งคงต้องตามไปดูว่าความเสีย
หายของซอคเจนมีอะไรบ้าง และ ซอคเจน ไปลงทุนต่างประเทศที่ไหนบ้าง รวมทั้งซอคเจนได้เข้า
มาลงทุนในโบรกเกอร์ไทยบางโบรกเกอร์ด้วยหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ดัชนีฯ พร้อมจะสร้างนิวโลว์อยู่แล้ว ดูจากฟอร์มแล้วน่าเป็นห่วง มองกรอบ
ดัชนีฯ พรุ่งนี้มีแนวรับทางจิตวิทยาที่ 720 จุด และแนวต้าน 740 จุด ซึ่งต้องมีต่างชาติช่วยหนุน
ด้วย ส่วนกลยุทธ์การลงทุน คงต้องเลือกเล่นหุ้นตามกระแส เช่น กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เช่น LPN
และ SPALI ที่น่าจะได้รับผลดีจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com