May 12, 2024   4:30:32 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กลยุทธ์เล่นหุ้นวันนี้
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 07/01/2008 @ 10:25:07
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ภาวะตลาดหุ้นรายวัน

ทยอยขายเมื่อดีดขึ้น
สัดส่วนการลงทุน : หุ้น 25% เงินสด 75%

KKS View : ?คาด SET เคลื่อนไหวกรอบ 810-825 จุด ทยอยขายเมื่อดีดขึ้น ได้แก่ PTTEP, TOP, BANPU?

นักลงทุนตามปัจจัยพื้นฐาน
ระยะสั้น
- SCB คาด SCB ประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/50 มีกำไรสุทธิ 4,533 ล้านบาท ลดลง 14.8%QoQ เนื่องจากไม่มีเงินปันผลพิเศษเหมือนไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นถึง 276.3%YoY จากการตั้งสำรองที่ลดน้อยลงจากจากไตรมาส 4/50 ที่มีการตั้งสำรองตามเกณฑ์ IAS39 ในไตรมาส 4/50 การปล่อยสินเชื่อฟื้นตัวขึ้นมากคาด ณ สิ้นปี 2550 ทั้งนี้ SCB จะปล่อยสินเชื่อได้ 13% ตามเป้าที่ตั้งไว้ 12-15% คาด SCB จะมีกำไรสุทธิปี 2550 17,865 ล้านบาท และคาดจะมีการจ่ายปันผล 2.50 บาท ในปี 2551 ยังคงจะเน้นการเติบโตอยู่ โดยเราคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 19,736 ให้ราคาเหมาะสม 91 บาท และยังคงแนะนำ ?ซื้อ?

นักลงทุนตามปัจจัยเทคนิค
ระยะสั้น (1 วัน) : ซื้อเก็งกำไรที่แนวรับ DTAC (38.75-40 Stop loss 38.50), D1(0.70-0.74 Stop loss 0.69)
ระยะกลาง (1/2 ? 1 เดือน) : ทยอยขายเมื่อดีดขึ้น PTTEP (140,145-156), TOP (76-83), BANPU (340-378)
ระยะยาว (3 เดือน) : รอซื้อลงทุนรอบใหม่ PTT, SCC, BBL, ITD, LH, ASP

TFEX : S50H08 ?แนะนำ trading short ช่วง 580-600 จุด?

กลยุทธ์ : ถ้า S50H08 < 605 = trading short, ในกรณีที่ S50H08 > 605 = close แล้ว trading long

วันศุกร์ SET ปิดลบต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 สวนทางตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปิดแดนบวก ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันในปี 51 สวนทางกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปิดในแดนบวก หลังมีแรงขายหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะ PTT ทำให้ SET ปิดที่ 821.71 จุด ลดลง 10.92 จุด (-1.31%) ด้วยมูลค่าการซื้อขายจำนวน 22,434.69 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 2,895.65 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดวันนี้
เราคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวในช่วง 810-825 จุด เป็นแนวโน้มแกว่งตัวลบจากดาวโจนส์ที่ -256 จุด จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ชี้ถึงแนวโน้มที่อ่อนแอ โดยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นยังกดดันตลาดหุ้นอยู่ด้วย
ทำให้เราประเมินว่าดัชนีหุ้นมีโอกาสที่จะแกว่งตัวลดลงในวันนี้ โดยหุ้นไทยจะลงทดสอบแนว 805-800 จุดใน 1-2 วันนี้ได้
ด้านการเมืองไทยหลังจากที่พรรคพลังประชาชนถูกไม่รับรองสถานะ ส.ส. ถึง 65 คน ทำให้การจัดการเรื่องการตั้งรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาในวันข้างหน้าได้ ซึ่งได้ตอกย้ำถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุนในช่วงนี้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมยังไม่เห็นปัจจัยบวก
ด้านต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 2,896 ล้านบาท แสดงถึงหลังปีใหม่ต่างชาติยังเน้นขายหุ้นอยู่ในช่วงนี้
ในแง่ของกลยุทธ์การลงทุน ในช่วงนี้เรามองว่าน่าทยอยขายเมื่อดีดขึ้นในหุ้นกลุ่มหลัก มองแนวรับของดัชนีที่ แนวรับระดับ 795-800 จุด ส่วนแนวต้านขายหุ้นอยู่ที่ 825 จุด สำหรับสัดส่วนการลงทุนระยะสั้นในช่วงนี้เป็นถือหุ้น 25% ถือเงินสด 75%

ปัจจัยที่ส่งผลต่อหุ้นวันนี้ :
(-) 1. ตลาดหุ้นสหรัฐวันศุกร์ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ของปี 51 หลังการพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของอัตราการว่างงาน ทำให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์มาปิดที่ระดับ 12,800.18 จุด ลดลง 256.54 จุด (-1.96%) ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงในกรอบ 1.26-1.83% ติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และอังกฤษ (BOE) ในวันที่ 9-10 ม.ค.51 ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของ ECB และ BOE อยู่ที่ระดับ 4% และ 5.5% ตามลำดับ
(-) 2 นักลงทุนต่างประเทศวันศุกร์ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ของปี 51 จำนวน 2,895.65 ล้านบาท
(0) 3. ค่าเงินบาท On shore วันศุกร์ยังคงแข็งค่าและปิดที่ระดับ 33.41 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าเช่นเดียวกับค่าเงินสกุลต่าง ๆ ในเอเชีย
(0) 4. ค่าเงินเยน เช้านี้เคลื่อนไหวแข็งค่าในกรอบ 108.50-108.75 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ
(-) 5. ราคาน้ำมันวันศุกร์ปรับตัวลงหลังสหรัฐรายงานอัตราการว่างงานที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปี และตัวเลขดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะส่งผลลบต่ออุปสงค์น้ำมัน ส่งผลให้ราคาน้ำมัน NYMEX ปรับลง 1.27 ดอลลาร์ (-1.28%) ปิดที่ 97.91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับลง 81 เ.ซนต์ (-0.83%) ปิดที่ 96.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
(-) 6. ค่าระวางเรือวันศุกร์ปรับตัวลงต่อเนื่องอีกจำนวน 54 จุด มาปิดที่ระดับ 8,702 จุด
(0) 7. การเมือง ติดตามความคืบหน้าการฟอร์มทีมรัฐบาลชุดใหม่ โดยมีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคประชาราช พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ทั้งนี้ ติดตามความชัดเจนกรณีพรรคชาติไทย และพรรคเพื่อแผ่นดิน จะร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน

ปัจจัยที่ส่งผลต่อ SET ในสัปดาห์นี้

ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศ
- ติดตามการเปิดเผยยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขายของสหรัฐประจำเดือน พ.ย.50 และดุลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐประจำเดือน พ.ย.50 ในวันที่ 8 และ 11 ม.ค.51 ตามลำดับ
- ติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และอังกฤษ (BOE) ในวันที่ 9-10 ม.ค.51 ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของ ECB และ BOE อยู่ที่ระดับ 4% และ 5.5% ตามลำดับ

การเมืองไทย
รอบสัปดาห์นี้ ติดตามความคืบหน้าการฟอร์มทีมรัฐบาลชุดใหม่ โดยมีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคประชาราช พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ทั้งนี้ ติดตามความชัดเจนกรณีพรรคชาติไทย และพรรคเพื่อแผ่นดิน จะร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ภายหลังสัปดาห์ที่ผ่านมา กกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.แล้ว 397 คน และไม่รับรอง 83 คน โดยเป็น ส.ส.พรรคพลังประชาชนมากสุดถึง 65 คน ประชาธิปัตย์ 6 คน ชาติไทย 4 คน เพื่อแผ่นดิน 6 คน มัชฌิมาธิปไตย และรวมใจไทยชาติพัฒนาอย่างละ 1 คน รวมทั้งกรณีการแจกใบเหลือง-ใบแดง ส.ส.พรรคต่างๆ

ทิศทางค่าเงินบาท
- คาดว่าค่าเงินบาทตลาด On shore ยังแข็งค่าโดยเคลื่อนไหวในกรอบ 33.35-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากทิศทางดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง จากเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวอันเนื่องมาจากปัญหาซับไพร์ม ส่งผลให้ FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของ FED มาอยู่ที่ 4.25% และเป็นผลให้ความน่าดึงดูดของอัตราผลตอบแทนของเงินดอลลาร์สหรัฐลดลง

ทิศทางราคาน้ำมัน

คาดว่าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกมีแนวโน้มแกว่งตัวสูงในระดับใกล้เคียงสัปดาห์ก่อน หลังทำ New High ที่ระดับ 100.09 ดอลลาร์/บาร์เรล ภายหลังสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 7 นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบยังคงได้แรงหนุนจากเหตุการณ์รุนแรงในไนจีเรีย การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ช่วงฤดูหนาวในสหรัฐและยุโรป และคำสั่งซื้อของนักเก็งกำไร

ยอดการลงทุน นลท.ต่างประเทศ
- สัปดาห์แรกของปี 51 (2-4 ม.ค.51) และตลอดเดือน ม.ค.51 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 5,946 ล้านบาท ส่งผลให้ทั้งปี 2551 เป็นยอดขายสุทธิ 5,946 ล้านบาท
- ทิศทางการลงทุนนักลงทุนต่างประเทศสัปดาห์นี้ (7-11 ม.ค.51) ติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศภายหลังจากยังวิตกการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐอันเนื่องมาจากปัญหาซับไพร์ม รวมทั้ง ความคืบหน้าการฟอร์มทีมรัฐบาลชุดใหม่ โดยมีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคประชาราช พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรคมัชฌิมาธิปไตย และที่ต้องติดตามใกล้ชิดคือพรรคชาติไทย และพรรคเพื่อแผ่นดินจะตอบรับร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนหรือไม่

Stocks Highlights

บทวิเคราะห์พื้นฐานวันนี้ : SCB ซื้อ (target ปี 51 ที่ 91 บาท)

Daily Stock (ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์ หัวข้อ Daily Stock)
SCB (คำแนะนำพื้นฐาน : ซื้อ)
Target : ปี 51 ที่ 91 บาท
Upside : 13%

SCB : คาด SCB ประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/50 มีกำไรสุทธิ 4,533 ล้านบาท ลดลง 14.8%QoQ เนื่องจากไม่มีเงินปันผลพิเศษเหมือนไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นถึง 276.3%YoY จากการตั้งสำรองที่ลดน้อยลงจากจากไตรมาส 4/50 ที่มีการตั้งสำรองตามเกณฑ์ IAS39 เหมาะสม 91 บาท และยังคงแนะนำ ?ซื้อ?

คาด SCB ประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/50 มีกำไรสุทธิ 4,533 ล้านบาท ลดลง 14.8%QoQ เนื่องจากไม่มีเงินปันผลพิเศษเหมือนไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นถึง 276.3%YoY จากการตั้งสำรองที่ลดน้อยลงจากจากไตรมาส 4/50 ที่มีการตั้งสำรองตามเกณฑ์ IAS39 ในไตรมาส 4/50 การปล่อยสินเชื่อฟื้นตัวขึ้นมากคาด ณ สิ้นปี 2550 SCB จะปล่อยสินเชื่อได้ 13% ตามเป้าที่ตั้งไว้ 12-15% คาด SCB จะมีกำไรสุทธิปี 2550 17,865 ล้านบาท และคาดจะมีการจ่ายปันผล 2.50 บาท ในปี 2551 ยังคงจะเน้นการเติบโตอยู่ โดยเราคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 19,736 ให้ราคาเหมาะสม 91 บาท และยังคงแนะนำ ?ซื้อ?

:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 07/01/2008 @ 10:25:47 :
Analyst Recommend
การเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีเกี่ยวกับที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ของ KH ไม่กระทบกระแสเงินสด และมูลค่าเหมาะสมปี 51Event : KH มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีเกี่ยวกับที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานบัญชี ฉบับที่ 45 เพื่อให้เงินลงทุนในบริษัทร่วมของงบการเงินรวม และงบการเงินเฉพาะกิจการ เป็นไปตามนโยบายบัญชีเดียวกัน โดยตัดรายการส่วนเกินทุนจากการตีราคาทรัพย์สินในงบการเงินออก ทั้งนี้จะเริ่มมีผลตั้งแต่รอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.50 เป็นต้นไป
View : เราประเมินการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีดังกล่าว อิงงบการเงินงวด 9M50 ของ KH ส่งผลให้มูลค่าทางบัญชี (Book value) ปรับลดลงเหลือ 2.68 บาท/หุ้น จากเดิม 3.11 บาท/หุ้น แต่ไม่กระทบต่อกระแสเงินสด และมูลค่าเหมาะสมปี 51 ของ KH ตามวิธี Discount Cash flow Model (DCF) เราคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการ 4Q/50 คาดว่าจะดีต่อเนื่อง จาก 1) จำนวนผู้ใช้บริการที่จะเพิ่มขึ้น จากการเปิดพื้นที่ให้บริการหลังปรับปรุงใหม่ เพื่อรองรับลูกค้าเงินสด 2) การปรับขึ้นอัตราค่าบริการผู้ป่วย OPD ประมาณ 3% และ 3) การปรับขึ้นงบประมาณต่อหัวโครงการ 30 บาท เป็น 2,100 บาท มีผลตั้งแต่ 1 ต.ค.50 เราประมาณการปี 50 คาดว่า KH จะมีกำไรสุทธิ 420 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 0.44 บาท เพิ่มขึ้น 4% Y-O-Y และประมาณการเงินปันผลปี 50 ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท คิดเป็น Dividend yield 3% โดยจะจ่ายในงวด 2H/50 ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท Dividend yield 2% ส่วนปี 51 คาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้น 10% Y-O-Y เป็น 465 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 0.49 บาท
Recommendation : แนะนำ ?ซื้อ? เราเห็นว่า KH มีราคาที่ค่อนข้างถูก จาก PE ปี 51 ที่ 16.9 เท่า ต่ำกว่า PE เฉลี่ยของกลุ่มการแพทย์ที่ 24.5 เท่า ประกอบกับ ณ ราคาปัจจุบันมี upside 17% จากมูลค่ามูลค่าเหมาะสมปี 51 เท่ากับ 9.70 บาท ตามวิธี DCF WACC @ 10% จึงเห็นว่าราคาหุ้นยังไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่ดี

ประเด็นเศรษฐกิจ และการเมืองที่สำคัญ

SET สัปดาห์แรกปี 51 ดัชนีปรับตัวลดลงกว่า 4% วิตกเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไม่คืบหน้า
SET สัปดาห์แรกของปี 51 ดัชนีปรับตัวลงต่อเนื่องติดต่อกัน 3 วัน จากระดับ 858.10 จุด (ดัชนีปิด 28 ธ.ค.50) มาที่ระดับ 821.71 จุด (ดัชนีปิด 4 ม.ค.51) หรือปรับลง 36.39 จุด หรือ -4.24% ตามทิศทางการปรับตัวลงของตลาดหุ้นต่างประเทศซึ่งวิตกการชะลอตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงอัตราการว่างงานสหรัฐเดือน ธ.ค.50 เพิ่มสูงถึง 5% ซึ่งสูงสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่ตำแหน่งการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 18,000 ตำแหน่ง และการเมืองในประเทศการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ยังไม่ชัดเจน กดดันนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิตลอด 3 วันทำการแรกของปี 51 มูลค่า 5,946 ล้านบาท โดยตลอดสัปดาห์มีแรงขายหนักในกลุ่มพลังงาน ขนส่ง แบงก์ ไฟแนนซ์ อสังหาริมทรัพย์ วัสดุก่อสร้าง และเคมีภัณฑ์
นอกจากนี้ ปัจจัยดังกล่าวยังกดดันเงินดอลลาร์สหรัฐให้อ่อนค่าเมื่อเทียบสกุลเงินภูมิภาค และสกุลเงินสำคัญ และเป็นปัจจัยหนุนให้เงินบาท วันศุกร์ (4 ม.ค.51) แข็งค่าสุดในรอบ 5 เดือนครึ่ง แตะระดับ 33.41 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และล่าสุดเช้านี้ (7 ม.ค.51) เงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่องแตะระดับ 33.38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

ข่าวหุ้นที่น่าสนใจ

BANPU คาดรายได้ปี 50 ลด 7% YOY
BANPU คาดรายได้ปี 50 อาจลดลง 7% จากปี 49 ซึ่งมีรายได้ 3.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ขณะที่คาดว่าในปี 51 จะมีรายได้เติบโตกว่า 10-12% เบื้องต้นจากราคาถ่านหินสูงขึ้น นอกจากนี้ คาดว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวที่ 37% YOY และมีแผนลงทุนในจีนและอินโดนีเซียประมาณ 330 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

กองทุนสหรัฐเข้าถือหุ้น SIAM 7.58%
Liberty Square Offshore Partners, L.P.ซึ่งเป็นกลุ่มกองทุนของสหรัฐ เข้ามาถือหุ้นใน SIAM จำนวน 45 ล้านหุ้น หรือในสัดส่วน 7.58% โดยซื้อผ่าน ตลท.ตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 ม.ค.51 ประเด็นดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้น SIAM วันศุกร์ (4 ม.ค.51) ปรับตัวขึ้นทำราคาสูงสุดในรอบ 1 เดือนที่ระดับ 4.60 บาท หรือ +11%

AKR ตั้งเป้ายอดขายรวมปี 51 ที่ 4 พันล้านบาท
AKR ตั้งเป้ายอดขายรวมปี 51 อยู่ที่ 4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 50 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 2 พันล้านบาท เนื่องจากมองว่าธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าและโซลาร์เซลล์ยังเติบโต นอกจากนี้ บริษัทมีแผนส่งออกเพิ่มเป็น 15% จากปี 50 ที่ 12% ซึ่งตลาดหลักยังคงเป็นตะวันออกกลางซึ่งมีความต้องการสูง

DIMET มั่นใจหุ้นซื้อขายวันแรก 21 ม.ค.51 ยื่นเหนือจอง
บมจ.ไดเมท (สยาม) หรือ DIMET ซึ่งทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายสีคุณภาพสูง มั่นใจหุ้นเข้าซื้อขายใน ตลท.MAI ในวันที่ 21 ม.ค.51 จะสามารถยื่นเหนือจองได้ เนื่องจากราคา IPO ไม่สูง และภายหลังการโรดโชว์พบนักลงทุนตอบรับค่อนข้างดี ทั้งนี้ DIMET จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 40 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 1 บาท ราคาพาร์ละ 0.50 บาท ระหว่างวันที่ 10-11 และ 14 ม.ค.51 จะเข้าซื้อขายใน ตลท.MAI วันที่ 21 ม.ค.51 บริษัทแอสเซทโปร แมนเนจเม้นท์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

โดย บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด ประจำวันที่ 7 มกราคม 2551

:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com