May 11, 2024   10:13:42 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > รวย กับตลาดหุ้น ปี 51
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 01/01/2008 @ 20:21:11
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ทั้งขาใหญ่ ชั้นเซียน ไล่ไปจนถึง รายเล็ก รายย่อย รายน้อย หรือแม้กระทั่งแมลงเม่าหน้าเก่า และนักลงทุนหน้าใหม่ ที่กำลังคิดจะก้าวเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทุกคน ต่างหวังที่จะเข้ามา ?รวย? หรือได้กำไรจากการลงทุนแทบทั้งสิ้น

แต่จะมีวิธีใด กลยุทธ์ไหน ที่ลงทุนซื้อหุ้นแล้วจะไม่ขาดทุน บาดเจ็บ-เจ็บตัวทำอย่างไรจึงจะมีกำไรหาโอกาสรวยกับตลาดหุ้นได้

โดยเฉพาะภายใต้ภาวการณ์ที่บรรดาเกจิ นักวิเคราะห์แทบทุกสำนักต่างฟันธงตรงกันว่า ตลาดหุ้นปีหน้ามีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ทั้งจากภายในและนอกประเทศ เข้ามาประเดประดังถล่มตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทยให้แกว่งตัวขึ้น-ลงผันผวนรุนแรง

ทำให้การประเมินทิศทางตลาดยากขึ้น ส่งผลให้การกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนยากขึ้นตามไปด้วย!!

?ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล? เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ถึงกับออกโรงเตือนว่า หุ้นในตลาดของประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) รวมทั้งตลาดหุ้นไทยจะยังผันผวน ดัชนีมีจังหวะการขึ้นลงรุนแรงสวิงเป็นฟันปลา ซึ่งเป็นผลจากกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้า-ออกแรงและเร็ว

ที่สำคัญยังต้องเผชิญกับปัญหาซับไพร์ม (การปล่อยสินเชื่อซื้อบ้านให้ลูกหนี้คุณภาพต่ำ) ของสหรัฐฯ ที่ยังฟาดงวงฟาดงาใส่ตลาดเงินและตลาดทุนโลกอย่างไม่จบสิ้นง่ายๆ ทำให้ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนรุนแรงต่อเนื่องไปอีกหลายเดือน!!

?ทีมเศรษฐกิจ? จึงได้โฟกัสเจาะลึกให้นักวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ชั้นเซียน ที่คลุกคลีอยู่กับตลาดหุ้นและนักลงทุนมาเผยกลยุทธ์ เคล็ดลับ แนะแนวทางการลงทุนในตลาดหุ้นปี 2551 ให้นักลงทุนรายย่อยได้กำไรกระเป๋าตุง และมีโอกาสรวย...รวย...รวย...รวย.!!!

a a a a a a

มาเริ่มเปิดตลาดภาคเช้ากับ ?คุณทอม ทิสโก้? ไพบูลย์ นลินทรางกูล กรรมการผู้จัดการที่โตมาจากสายงานวิจัย บล.ทิสโก้ ระบุว่า ก่อนอื่นต้องมองภาพตลาดให้ออก ซึ่งทอมมองว่าตลาดหุ้นครึ่งปีแรกไม่นิ่ง จะมีความผันผวนมาก ดัชนีจะแกว่งตัวขึ้น-ลงแรงหลายรอบตามข่าวและปัจจัยต่างๆที่เข้ามากระทบ

โดยประเมินว่าดัชนีที่แกว่งขึ้นลงเร็วและแรงนี้ จะได้เห็นความต่างระหว่างจุดสูงสุดกับจุดต่ำสุดห่างกันถึง 200-250 จุด!!

ดังนั้น จึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุนเพื่อให้ได้รวยว่า หากไม่ใช่นักลงทุนที่ถือหุ้นระยะยาว แนะให้ ?เล่นเป็นรอบๆ? ที่สำคัญให้เลือก ?หุ้นพื้นฐาน? คือหุ้นขนาดใหญ่ ที่มีปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจที่ดีรองรับ

พวกหุ้นร้อน หุ้นปั่นตัวเล็กตัวน้อย ที่มีเจ้ามือเข้ามาปั่นราคา อดใจไว้อย่าไปแตะอย่าไปร่วม อย่าไปผสมโรง ตกเป็นเครื่องมือ!!

และให้หาจังหวะในการเข้าทยอยซื้อสะสม เมื่อตลาดมีข่าวร้ายเข้ามากดดันมากๆ กดราคาหุ้นให้ปรับตัวลงแรงๆ จนต่ำกว่าราคาพื้นฐานหรือราคาเหมาะสม ที่บรรดาสำนักวิเคราะห์ต่างๆ ให้ไว้มากๆ

จากนั้นให้ตั้งราคาเป้าหมายที่เราจะขายไว้ในใจ โดยดูจากราคาเหมาะสมในรอบ 1 ปี ที่นักวิเคราะห์แต่ละแห่งให้ไว้นำมาดูค่าเฉลี่ย โดยอาจจะปรับลดราคาลง(Discount) ไปอีกซัก 5?10%

หลังจากนั้นให้ติดตามปัจจัยและข่าวต่างๆที่เข้ามากระทบตลาดอย่างใกล้ชิด เมื่อสถานการณ์ต่างๆเริ่มคลี่คลาย ข่าวลบข่าวร้ายผ่านไป ให้หาจังหวะรอ ?ขายทำกำไร? หากราคาหุ้นปรับขึ้นมาตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว

ขอย้ำว่า การเล่นอย่างนี้ต้องมีวินัย หากถึงราคาเป้าหมายแล้วต้องขาย นอกจากจะมีข่าวดีใหม่เข้ามาทำให้พื้นฐานของราคาหุ้นเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ก็อาจทยอยขายทำกำไรไปครึ่งหนึ่งก่อน ส่วนที่เหลือเก็บไว้รอดูสถานการณ์

แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วบทวิเคราะห์ต่างๆมักจะประเมินวิเคราะห์ปัจจัยล่วงหน้า ไว้ในราคาเหมาะสมที่ให้ไว้แล้ว ดังนั้น จึง ?อย่าโลภ? ได้กำไรแล้วต้องขาย!!

แม้ขายหุ้นไปแล้ว ราคาจะขึ้นไปได้ต่อ ก็อย่าเสียดาย...เพราะรอบนี้เราได้กำไร ก็ถือว่าชนะหรือประสบความสำเร็จแล้ว เพราะมีนักลงทุนจำนวนมากที่ไม่ยอมขายเมื่อราคาขึ้นมาถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ หวังจะได้กำไรมากๆ สุดท้ายเมื่อสถานการณ์ภาพรวมตลาดเปลี่ยนไป ต่อให้หุ้นตัวนั้นราคาพื้นฐานดีแค่ไหน เวลาตลาดร่วงหุ้นก็ร่วงเหมือนกันหมด ดังนั้น ควรตัดใจขายกำเงินสดไว้และรอเล่นรอบหน้าต่อดีกว่า

ในทางตรงกันข้าม หากซื้อแล้ว ราคาหุ้นกลับไม่ขึ้นตามที่ประเมินไว้ แต่กลับปรับตัวลงเรื่อยๆ ก็ควรตั้งราคาเป้าหมายที่จะ Cut loss หรือตัดใจขายขาดทุนออกไปก่อน โดยตั้งเป้าการขาดทุนไม่เกิน 5-10% แล้วแต่ศักยภาพของเงินในกระเป๋าและความใจเสาะของแต่ละคน

แต่อย่างไรก็ตาม หากมั่นใจว่าหุ้นที่ซื้อเป็น ?หุ้นน้ำดี? ของจริง มั่นใจว่าพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยน และซื้อในราคาที่ต่ำมากแล้วแต่ ราคาหุ้นยังลงต่อ ก็อดใจ ?รอขาย? รอบหน้าได้เช่นกัน หรือหากหุ้นยังลงต่อ ก็สามารถเข้าไปซื้อหุ้นดีราคาถูกเพิ่มได้อีก

ท่องคัมภีร์สำคัญเอาไว้ว่า ต้อง ?เลือกซื้อหุ้น (พื้นฐาน) ดี มีเป้าหมาย (ขาย) รักษาวินัยและไม่โลภ? แค่นี้ โอกาสรวยกับตลาดหุ้นมีมากกว่าเจ็บตัวแน่!! ?ทอม ทิสโก้? ฝากให้ท่องไว้เตือนใจ

a a a a a a

:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 01/01/2008 @ 20:22:02 :
มาเปิดตลาดภาคบ่ายกับ ?สุกิจ อุดมศิริกุล? บล.นครหลวงไทย ที่บอกว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยปีนี้เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้เลย เพราะส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยภายนอกทั้งสิ้น แต่ความผันผวนของตลาดเป็นทั้งความเสี่ยง และเป็นโอกาสที่ดีในการหากำไรจากตลาดหุ้น จึงถือเป็นปีที่ท้าทายอย่างมาก!!

สุกิจประเมินว่า ตลาดหุ้นครึ่งปีแรกหลังผ่านช่วง ?ฮันนีมูน? เรื่องการเลือกตั้งไปแล้ว ตลาดจะปรับตัวลงเพราะจะกลับไปเจอกับปัจจัยลบเดิมๆ ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลก ปัญหาซับไพร์มของสหรัฐฯ

สุกิจให้ข้อสังเกตว่า ในช่วงหลังๆนี้ ตลาดหุ้นไทยที่ปรับขึ้น-ลง แทบไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน แต่เกิดจากเงินทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อ-ขาย มากกว่า!!

จะเห็นว่าปัญหาซับไพร์มซึ่งอยู่ไกลจากบ้านเรามาก โดยไทยแทบไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว แต่ตลาดหุ้นไทยกลับปรับตัวลงแรงตามตลาดหุ้นสหรัฐฯและตลาดหุ้นอื่นๆ เนื่องจากเงินที่ลงทุนเป็นเงินก้อนเดียวกัน โดยเงินที่ลงทุนในซับไพร์มและตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งไทยก็เป็นเงินก้อนเดียวกัน ซึ่งเป็นกระแสเงินทุนหมุนเวียนในตลาดโลก

ดังนั้น เมื่อเกิดผลกระทบกับอีกที่หนึ่งก็จะส่งผลสะเทือนไปอีกที่หนึ่งด้วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก

ที่สำคัญปัจจุบัน เงินที่หมุนเวียนไปทั่วโลกนี้ เป็นเงินที่เน้นลงทุนระยะสั้นมากกว่าระยะยาวเพราะเป็นเงินที่กู้มาลงทุน จึงเป็นเงินที่มีต้นทุน จึงเน้นลงทุนแบบเข้าเร็ว-ออกเร็ว บอกได้เลยว่ากองทุนต่างชาติยุคนี้ไม่มีรูปแบบการซื้อขาย เมื่อได้กำไรตามที่ตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ไว้แล้วก็จะเทขายหุ้นออกมาทันที โดยเน้นการซื้อขายหลายรอบ

ฉะนั้น พวกเราจึงต้องจับจังหวะหรือจับทางการซื้อขายของต่างชาติให้ถูก เพื่อกำหนดกลยุทธ์ หรือจังหวะในการซื้อหรือขายหุ้นของตัวเอง หากต่างชาติเข้าก็เข้าตาม เห็นสัญญาณว่าจะออก ก็ต้องรีบออกตัวขายออกมาก่อน กำไรแต่ละรอบอาจไม่สูงนัก แต่อาศัยเล่นได้หลายรอบ

ที่สำคัญคือเมื่อหุ้นขึ้นแรงๆ ไม่ควรเข้าไปไล่ราคาซื้อตาม แต่ถ้าหุ้นลงมามากๆก็ต้องหาจังหวะซื้อได้เลย!!

ขอย้ำว่า การประเมินหรือดูจังหวะการซื้อขายของต่างชาติ คือต้องทำการบ้าน ขยันอ่านบทวิเคราะห์ ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดหุ้นต่างประเทศ เพราะต้องรู้เหตุผลว่า ต่างชาติที่เข้ามาซื้อแต่ละรอบนั้นมีปัจจัยอะไรเป็นตัวหนุน เพื่อให้สามารถประเมินตอนขาออกของต่างชาติได้

สุกิจยังได้ให้เคล็ดลับถึงการเลือกตัวหุ้น ซึ่งสอดคล้องกับ ?ทอม ทิสโก้? ว่า การเลือกหุ้นที่เป็นเกราะป้องกันตัวที่ดีที่สุดคือหุ้นที่มีความปลอดภัยสูง นั่นคือหุ้นตัวใหญ่ พื้นฐานดี เน้นหุ้นที่มีหนี้น้อย ฐานะมั่นคง ทิศทางธุรกิจมีโอกาสโต โดยไม่ได้ รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจ

ส่วนคนที่รักจะเล่นหุ้นตัวเล็ก สุกิจฝากเตือนว่า ต้องติดตามข้อมูลข่าวสารให้เร็ว...ทันชาวบ้าน เพราะหุ้นตัวเล็ก เวลาขึ้นลงมักจะมีข่าวหรือปัจจัยเข้ามากระทบเป็นการเฉพาะเจาะจง

ดังนั้น เวลาหุ้นตัวเล็กขึ้นจะไปได้เร็วมาก แต่ถึงเวลาลงก็จะลงเร็วและแรง เรียกว่าไม่ทันให้ตั้งตัวก็มีโอกาสขาดทุน บาดเจ็บหมดตัวกันได้ง่ายๆ

ปิดท้าย สุกิจยังได้แนะการเลือกหุ้น 4 รูปแบบ โดยรูปแบบแรก เลือกหุ้นอุตสาหกรรมที่มีความมั่นคงสูง มีความสามารถในการแข่งขันคือ โรงพยาบาล โรงแรม เช่นหุ้น MINT แบบที่ 2 หุ้นที่ปลอดภัยจากความผันผวนของตลาดคือ กลุ่มโรงไฟฟ้า และน้ำประปา (กำลังจะเข้าตลาดปีหน้า) แถมยังเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลงาม เลือกหุ้นบริษัท ผลิตไฟฟ้า หรือ EGCO

แบบที่ 3 หุ้นบริษัทใหญ่ที่มีหนี้น้อย เช่น บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH), บริษัท เดลต้าอีเลคโทรนิคส์ (DELTA) บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย) (TATA) บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และบริษัท บีอีซี เวิลด์ (BEC)

แบบที่ 4 หุ้นเก็งกำไร โฟกัสไปที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์, ธนาคารและรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่ราคาปรับขึ้นแล้ว แต่ควรซื้อและขายออกทำกำไรเป็นระยะ เพราะมีความไม่แน่นอนสูง ขณะที่ยังต้องจับตาหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวกับราคาน้ำมัน, หุ้นเดินเรือและถ่านหินที่ได้ดีจากเศรษฐกิจจีนและอินเดียขยายตัว

a a a a a a

ปิดท้ายปิดตลาดกับนักวิเคราะห์ชั้นเซียน ?วิศิษฐ์ องค์พิพัฒน์กุล? รองกรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.ทรีนีตี้ ที่เปิดฉากมาก็บอกว่า ปีนี้นักลงทุนรายย่อยต้องทำการบ้านให้หนัก!!

หมั่นศึกษาหาความรู้ อ่านบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์หลายๆสำนัก ติดตามข่าวสารที่มีผลหรืออิทธิพลต่อเศรษฐกิจ ตลาดเงินและตลาดทุนโลกเพราะต่างมีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันหมด ซึ่งมีผลต่อการซื้อ-ขายและขึ้น-ลงของตลาดหุ้น

นอกจากนี้ ยังต้องพยายามเข้า ไปร่วมงานสัมมนาที่มีการให้ความรู้ และกลยุทธ์การลงทุนในแต่ละสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ที่ตลาดหลักทรัพย์และโบรกเกอร์ต่างๆจะจัดกันแทบตลอดทั้งปี เพื่ออัพเดทข้อมูลและกลยุทธ์การลงทุน

และที่สำคัญที่สุด รายย่อยอย่างพวกเราต้องรู้จักการบริหารและจัดสรรเงินลงทุนให้ดี!! เพราะเป็นเรื่องที่จำเป็นมากโดยเฉพาะตลาด ที่จะมีการสวิงขึ้นลงแรงและเร็วเช่นปีนี้ หากจัดสรรเงินลงทุนไม่ดี เมื่อโอกาสรวยมาถึงตัว อาจคว้าไว้ไม่ได้ เพราะเงินหมดมือ แต่ ?ติดหุ้น? เต็มพอร์ต!!

โดยนักลงทุนต้องจัดสรรหุ้นกับเงินสดให้เหมาะสม ไม่ควรซื้อหุ้นไว้เต็มพอร์ตจนไม่เหลือเงินติดมือ และให้ยืดหยุ่นหรือปรับสัดส่วนระหว่างเงินสดกับหุ้นได้ตลอดเวลา เพราะปีนี้จะถือหุ้นไว้เฉยๆไม่ได้ ต้องเทรดดิ้ง หรือหาจังหวะซื้อขายทำกำไรเป็นรอบๆ ให้ท่องคาถาไว้เลยว่า ?หุ้นขึ้นต้องขาย? เพื่อถือเงินสดไว้รอกลับเข้ามาซื้อหุ้นรอบใหม่

แต่ไม่ต้องรีบซื้อ ควรรอให้ราคาปรับฐานลงมาถึง 10-15% นั่นแหละคือจังหวะเข้าซื้อ!!

วิศิษฐ์แนะให้สังเกตข่าวหรือปัจจัยที่จะมีผลทำให้หุ้นปีนี้ปรับขึ้นได้ไว้น่าสนใจ โดยระบุว่าจากสถิติ 15 ปี ย้อนหลังนับจากปี 2536 ดัชนีหุ้นไทยได้ทำจุดพีค (Peak) หรือจุดสูงสุดของปี ในช่วงไตรมาสแรกถึง 12 ครั้ง โดยเป็นการทำจุดสูงสุดในเดือน ม.ค. หรือเกิด January Effect ถึง 6 ครั้ง และทำจุดสูงสุดในเดือน ก.พ.ถึง 5 ครั้ง

ดังนั้น จึงเชื่อว่าเดือน ม.ค. ปีนี้ ดัชนีหุ้นไทยน่าจะทะยานขึ้นทำจุดสูงสุดหรือใกล้เคียงจุดสูงสุดของปีได้ ซึ่งสอดคล้องกับช่วง ม.ค.ปีนี้ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ ?ฮันนีมูน พรีเรียด? ของการเลือกตั้งได้รัฐบาลใหม่พอดี อะไรๆช่วงนี้จึงดูดีไปหมด

นอกจากนี้ ยังมีสถิติที่น่าสังเกตอีกคือ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันคือประมาณปลายเดือน ม.ค. ที่คณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีการประชุม ที่คาดว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

ซึ่งจากสถิติการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในรอบปี 2544 ถึง 2546 การปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกและครั้งที่ 4 หุ้นจะเด้งขึ้นแรง (ทั้งดาวโจนส์และดัชนีหุ้นไทย) ซึ่งหากเฟดปรับลดดอกเบี้ยปลายเดือน ม.ค.นี้ จะเป็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งที่ 4 ของรอบนี้

ซึ่งหากเป็นไปตามสถิตินี้ เชื่อว่าการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดรอบที่จะถึงนี้ ก็น่าจะทำให้ตลาดหุ้นขึ้นได้

นอกจากนี้ ให้สังเกตว่า เมื่อใดที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีลบด้วยอัตราเงินเฟ้อ) เริ่มติดลบจะเป็นปัจจัยบวกกับตลาดหุ้น เพราะคนจะนำเงินออมออกมาลงทุนมากขึ้นทำให้ตลาดหุ้นคึกคัก ปีนี้ยังมีข่าวดีเรื่องเงินทุนไหลเข้า ที่นอกจากจะเป็นเงินที่หมุนเวียนในตลาดโลกแล้ว ประเทศต่างๆในเอเชียที่มีเงินทุนสำรองจำนวนมาก จะนำเงินออกมาลงทุนในตลาดเอเชียหาผลตอบแทน เช่น เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงลึกๆ ซึ่งเชื่อว่าเงินจำนวนนี้มีมากกว่า 100,000 ล้านบาท ที่จะเป็นสภาพคล่องทะลักเข้ามาในตลาดหุ้นทั่วเอเชียรวมทั้งไทย

ส่วนข่าวร้ายปีนี้ที่ต้องระวัง เพราะจะเป็นตัวกดดันให้หุ้นลง คือวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ โดยเฉพาะปัญหาซับไพร์มและการขายทำกำไรของพวกกองทุนเก็งกำไรต่างชาติ(เฮดจ์ฟันด์) ที่หากทะลวงเทขายออกมาแต่ละรอบ ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสลงแรงๆได้ 10-15% ในแต่ละรอบ ซึ่งวิศิษฐ์ให้ระวังต้นไตรมาส 2 มีโอกาสได้เจอ

แต่ท่องไว้ให้ขึ้นใจ ทุกครั้งที่หุ้นลงแรง คือจังหวะในการซื้อหุ้นดีราคาถูก!! วิศิษฐ์ย้ำ.


:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com