May 10, 2024   12:03:15 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > PTT รอด.. แต่หุ้นไทยยังไม่หมดเคราะห์
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 18/12/2007 @ 19:20:27
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ตลาดหุ้นไทยยังไม่หมดเคราะห์ แม้ปัญหา PTT คลี่คลาย แต่ดัชนีฯ ยังถูกกดดันจากตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจถดถอย อีกทั้งความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองของไทยเอง ที่หลายคนกลัวว่าอาจเกิดวิกฤติตามมาในอนาคตอันใกล้อีกครั้งหรือไม่ หากพรรคการเมืองที่ได้จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในประเทศ โบรกเกอร์ฟันธง! January Effect ไม่เกิด

* หุ้นไทยคลายกังวล PTT พ้นวิกฤติ
หลังจากปัญหา บมจ.ปตท. (PTT) คลี่คลายลง และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ปลดเครื่องหมาย SP หุ้น PTT ให้กลับมาซื้อขายได้ตามปกติรอบบ่ายวานนี้ (18 ธ.ค.) ส่งผลให้นักลงทุนได้คลายความวิตกกังวลไปเปลาะหนึ่ง เพราะ PTT จะยังคงอยู่ในตลาดหุ้นไทยต่อไป พร้อมกับการจ่ายค่าเช่าท่อก๊าซ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่ทุกคนคาดหมาย จึงเข้ามาทยอยซื้อหุ้นอีกรอบหนึ่ง

ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ ปิดที่ระดับ 813.90 จุด ลดลงเล็กน้อย 3.72 จุด หรือ 0.45% พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่คึกคักถึง 18,793.04 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์วันก่อนหน้า ปิดที่ระดับ 13,167.20 จุด ลดลง 172.65 จุด หรือ 1.29%

* ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดภูมิภาคยังกดดัน
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทย น่าจะบวกได้ดีกว่านี้ถ้าไม่ถูกกระทบจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นเพื่อนบ้านที่อยู่ในแดนลบ หรือบวกก็ดูเหมือนแค่รีบาวน์ทางเทคนิค โดยส่วนใหญ่ยังคงอิงอยู่กับดัชนีดาวโจนส์เป็นหลัก และดูเหมือนว่าดัชนีดาวโจนส์ ยังมีแนวโน้มปรับลดลงเรื่อยๆ ตามความวิตกกังวลต่อปัญหาซับไพร์มที่ขยายวงกว้าง จนส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอย
ประเด็นภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ถดถอยนี้ ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ในวันที่ 30 มกราคม 2551 มีแนวโน้มจะปรับลดดอกเบี้ยน้อยลง หลังจากพบว่าสหรัฐฯ กำลังประสบกับปัญหาเงินเฟ้ออีกครั้ง

* แอ๊ดคินซัน มองหุ้นไทยปลายปีผันผวนสูง การเมืองยังกดดัน
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บล.แอ๊ดคินซัน เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงปลายปีนี้ จะค่อนข้างมีความผันผวนสูง เนื่องจากมองว่าในช่วงเวลานี้ตลาดฯ อยู่ในช่วงจุดทางแยก และตลาดเองอยู่ในช่วงของการรอรับข่าวต่างๆ โดยแม้ว่าคดี PTT จะคลี่คลายลงในทิศทางที่ดี แต่ว่ายังมีปัจจัยเรื่องของการเลือกตั้งในช่วงปลายสัปดาห์นี้ คือวันที่ 23 ธ.ค. 50 นี้

โดยนักลงทุนเองยังมีความกังวลว่า พรรคการเมืองใดจะเข้ามาเป็นรัฐบาล และจะได้รับการยอมรับมากน้อยเท่าใด และอาจจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงหรือไม่ ประกอบกับเรื่องการโอนทรัพย์สินท่อก๊าซ ไปยังกระทรวงการคลังของ PTT เองอาจจะยังไม่จบสิ้น ขณะที่ปัจจัยภายนอกประเทศนั้นมองว่า ไม่มีผลต่อทิศทางของดัชนีฯ เนื่องจากต่างประเทศเริ่มที่จะชะลอการลงทุน เพื่อไปท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว

* ฟันธง! January Effect ไม่เกิด
สำหรับปรากฏการณ์ January Effect ในปีนี้เชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากปรากฏการณ์ดังกล่าวมักจะเกิดขึ้นเมื่อตลาดฯ ไม่มีปัจจัย แต่ในปีนี้แตกต่างจากทุกๆ ปีที่ผ่านมา เพราะมีปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดฯ เยอะมาก ทำให้กองทุนมีการปรับพอร์ตการลงทุนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่กองทุนต่างๆ จะต้องเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อทำให้พอร์ตการลงทุนมีการเคลื่อนไหว

โดยประเมิน ระดับดัชนีฯ ในปีหน้า จะมีค่าเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 874 จุด และมีโอกาสแตะระดับ 1,000 จุดได้ ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำให้เก็งกำไรระยะสั้น ในหุ้นที่เคยได้รับผลกระทบทางลบจากคดีของ PTT เช่น PTTEP-MCOT และหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่ได้รับผลกระทบจากคดี PTT น้อย เช่น KBANK แต่หากผลการเลือกตั้งที่จะออกมาดี และเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป แนะนำให้เข้าซื้อลงทุนในหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่

* โกลเบล็ก เชื่อดัชนีฯ เริ่มเดินหน้าบวกหลัง PTT-การเมืองคลี่คลาย

ขณะที่ นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก กล่าวถึงทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงระยะนี้จนถึงปลายปีว่า คาดว่าดัชนีฯ มีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาขึ้น เนื่องจากปัจจัยต่างๆ มีความชัดเจนขึ้น หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้ PTT โอนสินทรัพย์และท่อก๊าซคืนให้กระทรวงการคลัง ซึ่ง PTT ต้องจ่ายค่าเช่าท่อก๊าซ ขั้นต่ำ 5% ย้อนหลังเป็นระยะเวลา 5 ปี ส่วนสินทรัพย์ที่โอนให้กระทรวงการคลังมีมูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยถือว่าน้อยกว่าที่ตลาดฯคาดการณ์ไว้ ปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นแรงหนุนให้ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้น

ประกอบกับมองว่า หลังการเลือกตั้งแล้วมีรัฐบาลใหม่เข้ามานั้น เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งโบรกเกอร์มองว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด และคาดว่า GDP จะฟื้นตัวขึ้น ปัจจัยทั้งหมด จึงน่าจะเป็นแรงหนุนให้ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยคาดว่าสิ้นปีนี้ดัชนีฯ น่าจะทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 900 จุดได้

อย่างไรก็ตาม ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในกรอบจำกัด เนื่องจากยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ในส่วนของตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับลดลง หลังมีความวิตกว่าระดับเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ เฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยลงในการประชุมครั้งหน้าวันที่ 30 ม.ค. 2551 ปัจจัยดังกล่าวจึงกดดันให้ดัชนีฯ เคลื่อนไหวได้ไม่ไกลนัก

สำหรับทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวันนี้ (19 ธ.ค.) คาดว่า ดัชนีฯ น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องจากวานนี้ แต่คงเคลื่อนไหวได้ไม่ไกลนัก อย่างไรก็ตามต้องติดตามทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศและตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากอาจส่งผลให้ดัชนีฯ เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันได้
กลยุทธ์การลงทุน แนะซื้อ BEC เมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลง เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้ง

* ทรีนีตี้ มองหุ้นไทยเขียวถึงต้นปีหน้า-รอรัฐบาลใหม่กระตุ้นศก.
นางสาววชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีนี้ น่าจะเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยได้รับแรงหนุนจากกรณีที่ PTT ต้องจ่ายค่าเช่าท่อก๊าซ ขั้นต่ำ 5% ย้อนหลังเป็นระยะเวลา 5 ปี ส่วนสินทรัพย์ที่โอนให้กระทรวงการคลังมีมูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ถือว่าเป็นวงเงินที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับวงเงินที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ผ่อนคลายมาตรการสำรอง 30% บางส่วนโดยทำให้ต้นทุนเงินกู้ยืมลดลง จูงใจให้เกิดการลงทุนขยายธุรกิจเพิ่ม รวมถึงทำให้ต่างชาติที่ถือหน่วยลงทุนของกองทุน สามารถลงทุนเพิ่มในกองทุนเดิมที่ออกขายเพิ่มเติมไม่ต้องกันสำรอง จึงเป็นผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

แต่อย่างไรก็ตาม ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นปี 2551 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าในช่วงปีนี้ หลังช่วงที่ผ่านมาได้รับแรงกดดันจากคดีแปรรูป PTT ประกอบกับ ได้รับแรงหนุนจากการที่ ธปท.ผ่อนคลายมาตราการสำรอง 30% น่าจะส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้ามาค่อนข้างดีกว่าเดิมที่ถูกมาตราการกดดัน แต่ทั้งนี้ให้ติดตามรัฐบาลใหม่ว่าใครจะมาดำรงตำแหน่ง เพราะน่าจะส่งผลต่อการเข้ามาดำเนินงานโครงการต่างๆ ต่อไป

* เคทีบี มองเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าไทยหลังมีรัฐบาลใหม่
นางจันทนา วัฒนกูล ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี กล่าวถึงทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีนี้ถึงปีหน้าว่าน่าจะมีการปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่มีความชัดเจนมากขึ้นในประเด็นคดีแปรรูป PTT โดยคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจ่ายค่าเช่าท่อก๊าซขั้นต่ำ 5% ย้อนหลังเป็นระยะเวลา 5 ปี ส่วนสินทรัพย์ที่โอนให้กระทรวงการคลังมีมูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้ต้องรอให้กรมธนารักษ์ประเมินการจ่ายภาษีอีกครั้งโดยข้อสรุปทุกอย่างน่าจะเสร็จภายในสิ้นปีนี้

โดยในช่วงนั้นจะได้รับผลดีอีกประการหนึ่งคือรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามา น่าจะส่งผลให้เมกะโปรเจ็กต่างๆ เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยไปข้างหน้า และคาดว่าในช่วงนั้นเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง โดยประเมินดัชนีฯ ปีหน้าไว้ที่ 1,013 จุด และแนะนำให้เข้าลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์

"ช่วงปีหน้าดัชนีฯ จะเริ่มไต่ระดับไปเรื่อยๆ หลังจากคดี ปตท.เสร็จสิ้นทุกอย่าง อีกทั้งการเลือกตั้งเกิดขึ้นซึ่งเมกะโปรเจ็กต่างๆ คงเริ่มขับเคลื่อน ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยให้ดีขึ้นได้" นางจันทนา กล่าว

:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com