May 5, 2024   3:52:04 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นไทยได้ฤกษ์ "กระทิง" -ไล่เก็บตั้งแต่ตอนนี้ ....
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 27/09/2007 @ 09:19:18
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

สมาคมนักวิเคราะห์ประเมินถึงเวลากลับเข้าตลาดหุ้น มองดัชนีสิ้นปีนี้แตะ 871 จุด ปีหน้า 1033 จุด เหตุปัจจัยลบการมืองและปัญหาซับไพร์มหมดไป ขณะที่กำไรบจ.โตกว่า 15% ในปี 51 แนะเก็บหุ้นตั้งแต่เดือนต.ค.เป็นต้นไป ในกลุ่มพลังงานและหุ้นเอ็มเอไอที่ยังต่ำกว่าพื้นฐานถึง 20%

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในปีนี้จะสามารถปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 871 จุดได้ ส่วนปลายปีหน้ามีโอกาสไปถึง 1033 จุด เนื่องจากปัจจัยลบด้านการเมืองในระยะ 2 ปีที่ผ่านมาหมดไป อีกทั้งประเมินว่าในช่วงเดือนต.ค. ควรจะเป็นจังหวะที่นักลงทุนพิจารณาเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่สนใจ เพราะระดับดัชนีจะได้ประโยชน์จากเรื่องการเลือกตั้ง ซึ่งจะได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ โดยประเมินว่าหลักทรัพย์ในตลาดจะขึ้นกระจายกันทุกกลุ่ม โดยเฉพาะในตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดีสนับสนุนด้วย

ทั้งนี้ ระดับดัชนีที่ประเมินดังกล่าวได้รวมผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาฯที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ(ซับไพร์ม)ไปแล้ว และในเดือนพ.ย. นี้จะมีการประเมินระดับดัชนีใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะไม่แตกต่างจากระดับนี้มากนัก

?จากนี้ไปเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลดีจากปัจจัยบวกหลายด้าน โดยเฉพาะเดือน ต.ค. นี้หลังจากการเลือกตั้งจะทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งปัญหาซับไพร์มที่ประเทศสหรัฐฯก็น่าจะหมดไป ซึ่งหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เช่น PTT และ PTTEP ก็ถือว่าน่าสนใจลงทุน? นายสมบัติ กล่าว

ทั้งนี้ คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นถึง 12-15% จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 3% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการตั้งสำรองของกลุ่มธนาคารซึ่งจะสะท้อนเป็นผลบวกไปยังปีถัดไป อีกทั้งในกลุ่มวัสดุก่อสร้างและที่อยู่อาศัย ก็จะยังได้รับผลบวกจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้มองว่า หุ้นในตลาดเอ็มเอไอ( mai) มีหลายบริษัทที่น่าสนใจลงทุนและนักลงทุนควรเลือกศึกษาและเข้าลงทุนในหลายๆบริษัทที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตที่ดี อีกทั้งปัจจุบันมีประมาณ 25-27 บริษัทในตลาด mai ที่ราคาหุ้นถือว่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน โดยบางบริษัทต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานถึง 20% ประกอบกับภาพรวมความผันผวนของ mai ยังมีน้อยกว่าตลาดใหญ่ เนื่องจากมีแรงซื้อขายจากนักลงทุนต่างชาติน้อยกว่าเพราะฉะนั้นเมื่อเม็ดเงินต่างชาติย้ายออกจากประเทศไทย ตลาด mai จึงลดลงในระดับที่น้อยกว่าปกติ

?ข้อดีของ mai ก็คือผันผวนน้อยกว่า ซึ่งในรอบ 2 ปีกว่าๆ มานี้ แม้จะมีปัญหาต่างๆ รวมถึงซับไพร์ม ตลาดก็ไม่ได้ลดลงมาก ผลตอบแทนก็สูงกว่า SET อยู่เล็กน้อยประมาณ 0.3% ส่วนหุ้นที่ราคาต่ำกว่าพื้นฐานมีเยอะ เช่น ACAP, ADAM, CMO, D1, MBAX, TRC? นายสมบัติ กล่าว

นายสมบัติ กล่าวต่อว่า แนวโน้มการควบรวมธุรกิจหลักทรัพย์ยังคงมีแนวโน้มที่จะเกิดมากขึ้น เนื่องจากการเปิดเสรีในอนาคต และการแข่งขันในปัจจุบันที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะบริษัทหลักทรัพย์ขนาดเล็กจำเป็นต้องลดต้นทุนการบริหาร ตัวอย่างเช่น บริษัทที่มีทีมวิจัย แต่ไม่มีทีมวาณิชธนกิจ ก็จำเป็นต้องหาบริษัทที่มีทีมวาณิชธนกิจเข้ามาเสริม เป็นต้น เพื่อให้สามารถแข่งขันกับบริษัทหลักทรัพย์อื่นๆ ในธุรกิจได้ในระยะยาว

?แม้จะมีการควบรวมของบริษัทหลักทรัพย์เกิดขึ้น แต่ในที่สุดเชื่อว่าจำนวนบริษัทหลักทรัพย์ในอนาคตน่าจะไม่แตกต่างจากปัจจุบันมากนัก เนื่องจากขั้นตอนการควบรวมไม่ได้ทำให้จำนวนใบอนุญาตลดลงไปด้วย ดังนั้นใบอนุญาตที่ซ้ำกัน จึงสามารถนำไปขายต่อเพื่อให้เกิดผลกำไรได้? นายสมบัติ กล่าว


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com