April 27, 2024   5:01:58 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ขนาดชูหุ้นไทยถูกสุดในเอเซีย แต่หุ้นบวกแค่ 5 จุด
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 13/09/2007 @ 19:17:42
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

" มาร์ค โมเบียส" ชู ตลาดหุ้นไทยน่าลงทุนสุดในเอเซีย ระบุพี/อีต่ำสุดในภูมิภาค ไม่ช่วยหนุนหุ้นไทยตามลมปาก หุ้นขึ้นแค่ 5 จุด แถมฝรั่งยังดาหน้าขายต่อกว่า 600 ล้านบาท แต่ ตลท.ฟุ้งไม่เลิก ไทยแลนด์ โฟกัส 2007 ประสบความสำเร็จ ระบุหุ้นแบงก์-อสังหาฯ-สื่อสาร-การแพทย์ ฮ็อตสุดต่างชาติสนใจ ส่วน "เมอร์ริล ลินช์" เชื่อ เลือกตั้งเป็นปัจจัยหลักกระตุ้นการลงทุน ระบุหากเลือกตั้งเสร็จทุกอย่างชัดเจนขึ้น ขณะที่ ปชป.-พลังงานประชาชน แถลงนโยบายศก. "อภิสิทธิ์" ลั่น เป็นรัฐบาลเลิกมาตรการ 30% -แก้พ.ร.บ.ต่างด้าว ด้าน "สุวัจน์" หันจับมือ"สมคิด-ประดิษฐ์" ร่วมกลุ่ม "รวมใจไทยชาติพัฒนา"

ผันผวนรายวันสำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ แม้ว่าจะมีงานไทยแลนด์ โฟกัส 2007 ที่ตลาดหลักทรัพย์เป็นแม่งานใหญ่ กับการเชิญชวนนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน และหน่วยงานภาครัฐและเอกชน หลายแห่งเข้ามารับฟังข้อมูลระหว่างกัน แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้การลงทุนในตลาดฯ คึกคักแต่อย่างใด ซึ่งเมื่อวันที่ 12 ที่ผ่านมานั้น เห็นได้ชัดเจนว่างานไทยแลนด์ โฟกัส ไม่ได้ช่วยผลักดันดัชนีตลาดฯ เลยด้วยซ้ำ โดยดัชนีปิดที่ 802.00 จุด เพิ่มขึ้นแค่ 0.40 จุด จนมาถึงเมื่อวานนี้ (13 ก.ย.) ที่ภาวะการลงทุนเริ่มดีขึ้น โดยตลาดปิดที่ระดับ 807.10 จุด เพิ่มขึ้น 5.10 จุด หรือ 0.64% มีมูลค่าการซื้อขาย 9,857.51 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมตลาดหุ้นจะปิดบวกได้ก็จริง แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้วเห็นว่าดัชนีปิดบวกไม่กี่จุดเท่านั้นเอง ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงมียอดขายสุทธิวานนี้อีก 608.03 ล้านบาท และเป็นการขายติดต่อกันมา 2 วันแล้ว โดยเป็นการขายสุทธิรวมเกือบ 1.4 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันที่ขาย 143. 92 ล้านบาท มีแต่นักลงทุนทั่วไปเท่านั้น ที่ซื้อสุทธิ 751.96 ล้านบาท เพราะปัจจัยบวกที่มีเข้ามาไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีฯ ในภูมิภาคเอเซียที่ช่วยหนุน งานไทยแลนด์ โฟกัส ของตลาดหลักทรัพย์ และล่าสุด ข่าวของกูรูชื่อดัง มาร์ค โมเบียส ผู้จัดการกองทุนชื่อดัง ที่ระบุชัดเจนว่าตลาดหุ้นไทยนั้นน่าลงทุนที่สุดในเอเซีย ก็ช่วยกระตุ้นให้ตลาดวานนี้ดีดตัวได้มากขึ้นอีก

ตลอดจนเรื่องการเมืองที่มีความชัดเจนขึ้น ทั้งการประกาศนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมือง อย่างประชาธิปัตย์ และพลังประชาชน รวมไปถึงกลุ่มก้อนการเมืองที่ประกาศจับมือกันเพิ่มขึ้น และทยอยเปิดตัวอย่างเป็นทางการไม่ว่าจะกลุ่มเพื่อแผ่นดิน ืที่รวมตัวกันระหว่างพรรคประชาราช ของนายเสนาะ เทียนทอง และกลุ่มมัชฌิมา ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รวมไปถึงนักการเมืองมากประสบการณ์อย่างนายสุวิทย์ คุณกิตติ นายพินิจ จารุสมบัติ นายสรุนันทน์ เวชชาชีวะ นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และล่าสุดวานนี้กับการจับมือระหว่างนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และนายประดิษฐ์ ภัทร์ประสิทธิ ที่ประกาศรวมกลุ่ม รวมใจไทยชาติพัฒน ขึ้นมา ตลอดจนความคืบหน้าการแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารบก หรือ ผบ.ทบ. ที่พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี บอกว่าโผรายชื่อทหารจะถึงมือในวันนี้ ก่อนจะเสนอทูลเกล้าฯ เป็นขั้นตอนต่อไป จึงทำให้บรรยากาศการเมืองเริ่มมีความชัดเจน

แต่ทั้งนี้เห็นได้ว่าปัจจัยบวกที่มีเข้ามานั้น เมื่อพิจารณาดูแล้วกลับไม่ได้ช่วยตลาดฯ มากนัก รวมไปถึงงานไทยแลนด์ โฟกัส ด้วยเช่นกัน เพราะมองแล้วปัจจัยที่เข้ามาช่วงนี้เป็นเพียงแค่ช่วยในด้านจิตวิทยาการลงทุนมากกว่า ไม่ได้เป็นการเข้ามาซื้อลงทุนในระยะยาวอย่างจริงจัง อีกทั้งการปรับขึ้นก็น่าจะมาจากตัวช่วยคือหุ้นพลังงาน ที่เพิ่มขึ้นเพราะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่พุ่งเกือบถึง 80 ดอลลาร์สหรัฐ / บาร์เรล มากกว่าด้วย

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักลงทุนต่างชาติจะขาย และมูลค่าการซื้อขายโดยรวมยังเบาบาง จากการชะลอลงทุนของนักลงทุนส่วนใหญ่ ที่ยังรอความชัดเจนเรื่องการประกาศนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟด ในวันที่ 18 กันยายน ที่จะถึงนี้ ว่าจะลดดอกเบี้ยหรือไม่ เพื่อแก้ปัญหาตลาดสินเชื่อด้อยคุณภาพหรือซับไพร์มในสหรัฐ ที่ยังคงกังวลว่าจะลุกลามและกระทบกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และทั่วโลก ขณะที่ปัจจัยในประเทศ เรื่องการเมืองก็ยังรอคอยการประกาศวันเลือกตั้งที่ชัดเจนอีกครั้ง เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีการเลื่อนเลือกตั้งจากวันที่ 23 ธันวาคมนี้อย่างแน่นอน และหรือความเคลื่อนไหวของบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ที่ตอนนี้แม้จะทยอยเปิดตัวกันไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ชัดเจนในเรื่องของขั้วการเมือง ว่าใครจะอยู่ฝ่ายใดนโยบายจะเป็นอย่างไร จะมีก็แต่พรรคประชาธิปัตย์ เท่านั้นที่เริ่มต้นประกาศนโยบายที่ชัดเจน ซึ่งประเด็นเหล่านี้ยังเป็นเรื่องที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังรอคอยอยู่ ว่าการเมืองในประเทศจะเดินหน้าอย่างไร พรรคการเมืองจะเริ่มเทศกาลหาเสียงอย่างจริงจังตอนไหน เศรษฐกิจในประเทศจะเริ่มฟื้นตัวได้หรือยัง นอกจากนี้บางส่วนอาจกลับไปสรุปข้อมูล และรายละเอียดหลังงานไทยแลนด์ โฟกัส ที่จะจบลงในวันนี้ด้วย เพราะฉะนั้นประเด็นเหล่านี้จึงไม่ได้ช่วยให้ดัชนีฯ ที่ปรับขึ้นเมื่อวานนี้ เป็นการปรบขึ้นอย่างยั่งยืน จนกว่าปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดจะชัดเจน และคลี่คลายไปได้


* "โมเบียส" เชียร์ปีนี้หุ้นไทยถูกสุด พี/อีแค่ 12 เท่า
นายมาร์ค โมเบียส ผู้จัดการกองทุนแฟรงคลิน เทมเพิลตัน และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดเกิดใหม่ดัง กล่าวในการแถลงข่าวที่กรุงโซล เกาหลีใต้ว่า ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ได้รับเลือกในการลงทุนอันดับ 1 จากการที่มีมูลค่าที่น่าจูงใจ โดยตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแล้ว 17.9 % ในปีนี้ และยังคงเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มีราคาถูกที่สุดในเอเชีย โดยมีอัตราราคาต่อกำไรต่อหุ้น หรือ พี/อีเรโช ที่ระดับราว 12 เท่าในปีนี้
ขณะที่ประเด็นตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ปล่อยกู้ให้แก่ลูกหนี้ ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพร์ม) ของสหรัฐนั้น เขาระบุว่า ได้สิ้นสุดลงแล้วสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้น แต่ก็เตือนว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความเสี่ยงอย่างมาก


* ตลท.ฟุ้งไม่เลิก ไทยแลนด์ โฟกัส 2007 ประสบความสำเร็จ
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงการจัดงานไทยแลนด์ โฟกัส 2007 ซึ่งร่วมจัดโดยบริษัทหลักทรัพย์เมอร์ริล ลินช์และบล.ภัทร จำกัด (มหาชน) ว่า ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งถึงแม้จะมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยในช่วง 2 วันแรกของการจัดงาน (12-13ก.ย.2550) ได้มีการนำเสนอข้อมูลรวม 6 หัวข้อสัมมนาในประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสถาบันต่างประเทศ ทั้งในเรื่องที่เกี่ยวนโยบายของภาครัฐภาพรวมและแนวโน้ม อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ อาทิ การท่องเที่ยวและการบิน ยานยนต์แอนิเมชั่น และการสื่อสารโทรคมนาคม รวมไปถึงแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคต ดังนั้นภาพรวมของงานที่จัดขึ้นจึงถือได้ว่าตอบสนองความต้องการของสถาบันที่ต้องการรับทราบข้อมูลปัจจุบันของไทยได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ในวันแรกนั้น ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ปาฐกถาพิเศษให้ความมั่นใจแก่ผู้ลงทุนและแนวทางที่จะกระตุ้นการเติบโตด้านเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านสังคมและการพัฒนาหลักการประชาธิปไตย รวมทั้งให้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งน่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือนมกราคมปี 2551
สำหรับการพบบริษัทจดทะเบียนเพื่อหาข้อมูลเพื่อการลงทุนแบบรายต่อรายนั้นผู้ลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมากโดยตลอด 2 วันที่ผ่านมามีการพบปะกันรวมถึงกว่า 600 ครั้ง โดยเมื่อครบ 3 วันจะมีการพบปะกันรวมประมาณ 1,000 ครั้ง โดยบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมพบปะผู้ลงทุน 63 บริษัทนั้น มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมกันประมาณร้อยละ 70 ของทั้งตลาด และเป็นตัวแทนจาก 15 หมวดธุรกิจ ซึ่งคาดว่าตลอด 3 วันของงานจะมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจดทะเบียนถึง 151 คนเข้าร่วม

ทั้งนี้ จำนวนผู้ลงทุนสถาบันที่เข้าร่วมงานทั้งหมด 270 รายนั้นมีผู้ลงทุนสถาบันที่เข้าร่วมพบปะกับบริษัทจดทะเบียน มีจำนวนสูงถึง 203 ราย แบ่งเป็นต่างประเทศ 91 ราย และ 112 รายจากไทย รวมจำนวนผู้บริหารของผู้ลงทุนสถาบันที่เข้าร่วมพบปะบริษัทจดทะเบียนถึง 538 คน

กลุ่มที่ผู้ลงทุนสถาบันให้ความสนใจมากเป็นพิเศษได้แก่ กลุ่มธนาคาร อสังหาริมทรัพย์โทรคมนาคม และกลุ่มบริการทางการแพทย์ โดยสนใจที่จะพบกับบริษัทที่เป็นผู้นำในแต่ละธุรกิจ(leading player) เนื่องจากต้องการติดตามผลการดำเนินงาน และแนวโน้มของการดำเนินธุรกิจในอนาคตโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจโลกเริ่มชลอตัวเริ่มส่งผลในบางอุตสาหกรรมโดยผู้ลงทุนเชื่อว่าจะเริ่มมีการฟื้นตัวของการบริโภคในปีหน้า
สำหรับคำถามที่ผู้ลงทุนสถาบันสอบถามจากบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่เป็นเรื่องกลยุทธ์การดำเนินงาน แนวโน้มการเติบโตของบริษัทและการบริหารเงินทุนของบริษัท (Capital Management)โดยให้ความสนใจเกี่ยวกับการเติบโตของบริษัทข้อมูลเกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลว่าสมดุลกับการเติบโตของบริษัทหรือไม่ รวมทั้งยังสนใจเรื่องบรรษัทภิบาล โดยสอบถามถึงการดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นด้วย

ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนบางแห่งมีคิวพบผู้ลงทุนสถาบันตลอดทั้งวันจนกระทั่งต้องจัดให้มีการร่วมรับประทานอาหารกลางวันไปพร้อมกัน สิ่งที่น่าสนใจคือผู้ลงทุนสถาบันได้พบปะกับบริษัทขนาดกลางที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ maiเพื่อหาบริษัทที่มีศักยภาพเพื่อเข้าลงทุน โดยในปีนี้มีบริษัทใน mai เข้าร่วมงาน 3 บริษัท และได้พบปะกับผู้ลงทุนโดยเฉลี่ย 4 ? 5 ครั้งต่อ 1 บริษัท ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดี


* เมอร์ริล ลินช์ ระบุ เลือกตั้งเป็นปัจจัยหลักกระตุ้นการลงทุน
นายแอนเดอร์ส วิลห์บอร์น กรรมการผู้จัดการกลุ่มงานบริหารลูกค้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บล.เมอร์ริล ลินช์ (เอเชีย แปซิฟิก) จำกัด กล่าวว่าจากการสอบถามผู้ลงทุนสถาบันที่เข้าร่วมงานบางรายเห็นว่าการจัดงานครั้งนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง โดยการมาร่วมงาน Thailand Focus 2007ทำให้ได้รับข้อมูล และได้พบบริษัทที่สนใจจะเข้าลงทุน ทั้งนี้เห็นว่าการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนั้นนับเป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่จะทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นโดยจะมีผลต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุน รวมทั้ง ความเชื่อมั่นด้านการบริโภค ทั้งนี้ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ และให้ความสำคัญกับคุณค่าและผลตอบแทนจากการลงทุนได้ให้ความเห็นว่าหลังมีความชัดเจนทางการเมืองแล้วอาจให้ความสนใจที่จะลงทุนในบางบริษัทในกลุ่มโทรคมนาคม และสาธารณูปโภคและผู้ลงทุนรายหนึ่งได้ให้ความเห็นว่า ในระยะสั้นอาจมีการลงทุนในสถาบันการเงินขนาดกลางบางแห่ง โดยเฉพาะที่ทำธุรกิจประกันชีวิต กองทุนรวมและธุรกิจเงินทุนในขณะที่นักลงทุนบางรายสนใจที่จะเข้าลงทุนในบริษัทที่ได้รับผลดีจากการเลือกตั้ง เช่นบริษัทในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น


* ศุภวุฒิ ชี้ นลท. มั่นใจ หลังเลือกตั้งทุกอย่างชัดเจนขึ้น
สำหรับการสัมมนา 4 หัวข้อในวันที่ 13 กันยายน ปรากฏว่าได้รับความสนใจอย่างมาก โดย ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการและผู้จัดการ ประธานสายงานวิจัย บล.ภัทร จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า หัวข้อแรกในวันนี้ คือเรื่อง Policy Option for Future Government นั้นดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เสนอข้อมูลที่ชี้ให้เห็นชัดว่าในอนาคตประเทศไทยมีความต้องการในด้านใดสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อคืออะไร การสัมมนาในหัวข้อนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าทั้งผู้นำของประเทศและนักการเมืองรู้ว่าประเทศต้องการอะไร และจะต้องทำอะไรซึ่งจะทำให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าหลังการเลือกตั้งประเทศไทยมีแนวทางชัดเจนว่าจะต้องทำอะไรต่อไปแต่สิ่งที่ต้องมีการติดตามคือจะสามารถนำนโยบายต่าง ๆไปดำเนินการให้เห็นผลได้มากน้อยเพียงใดในอนาคต

ในการเสวนาหัวข้อนี้ ผู้นำพรรคและกลุ่มการเมืองทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชาชนได้ให้ความสำคัญกับการดึงความเชื่อมั่นกลับมา การสร้างความมั่นคงทางการเมือง รวมทั้งความโปร่งใสในการบริหารงาน รวมถึง ความชัดเจนในนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในอนาคตโดยส่วนใหญ่ชูนโยบายผลักดันเศรษฐกิจโดยมีการให้ความสำคัญกับระบบการออมภาคบังคับเพื่อความมั่นคงหลังเกษียณอายุการสร้างความสามารถในการแข่งขัน อาทิ การลดต้นทุนการวางระบบโลจิสติกส์ซึ่งปัจจุบันไทยยังมีค่าใช้จ่ายด้านนี้ที่สูงกว่าประเทศอื่น การพัฒนาสังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งการพัฒนาด้านการศึกษา

สำหรับการสัมมนาหัวข้อ Thailand?s Productivity & Competitiveness หรือความสามารถด้านการผลิตและขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยนั้นวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิให้ความสำคัญกับความสามารถในการผลิตและแนวทางการจัดการการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แนวทางการใช้ทรัพยากรทดแทนารส่งเสริมเทคโนโลยีชีวภาพ รวมทั้งแนะนำว่าภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความสามารถในการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์ในตลาดโลกรวมถึงการเน้นจุดขายที่คุณภาพของสินค้าเป็นหลักด้วย

ดร.ศุภวุฒิ กล่าวเสริมว่า ในด้านการเกษตรและภาคการผลิตซึ่งดูที่ภาคการเกษตรนั้นในช่วงหลังมีการชลอตัวลง ดังนั้น รัฐบาลจะต้องมีนโยบายในการจัดการที่ชัดเจนภาคที่น่าเป็นห่วงคือภาคอุตสาหกรรมซึ่งเรามีอันดับที่ลดลงเรื่อย ๆ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องมีการจัดการเช่นกันและหวังว่ารัฐบาลใหม่จะต้องสานต่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่อไป
ด้านอนาคตของธุรกิจโทรคมนาคมในการสัมมนาหัวข้อ Telecommunications: Future Directions ซึ่งผู้บริหารจากผู้ประกอบธุรกิจเอกชน 3 รายได้แก่ บมจ. โทเทิล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชัน บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และบมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส มาร่วมแสดงความคิดเห็นถึงทิศทางในอนาคต โดยทางเอกชนเห็นว่าประเทศไทยจะก้าวไปสู่วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้นรวมถึงการใช้อินเทอร์เน็ตในภาคครัวเรือนที่แพร่หลายมากขึ้น อย่างไรก็ดีจำเป็นต้องรอให้มีรัฐบาลใหม่ และมีกฎหมายรองรับการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียงโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) เสียก่อนจึงจะเห็นความชัดเจนของการนำวิวัฒนาการต่างๆ มาพัฒนาในตลาดไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับการเสวนาเกี่ยวกับศักยภาพของธุรกิจแอนิเมชั่นของไทยในหัวข้อ ?Thailand?s Animation Industry? ประธานสมาคมส่งเสริมธุรกิจคอมพิวเตอร์กราฟฟิก เปิดเผยว่าอุตสาหกรรมด้านแอนิเมชั่น คอมพิวเตอร์ กราฟฟิค และเกมส์มีการเจริญเติบโตสูงมากในช่วงสามปีที่ผ่านมา และปัจจุบันได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอโดยยกเว้นภาษีให้กับบริษัทที่ประกอบการด้านแอนิเมชั่นเป็นระยะเวลา 8 ปี และยังเปิดเสรีให้กับการลงทุนของชาวต่างชาติด้วยจึงเชื่อว่าธุรกิจนี้ยังจะสามารถเติบโตจาก 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็น 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในเวลาห้าปี


*กิมเอ็ง ชี้ "โมเบียส"เชียร์หุ้นไทย ไม่มีผล แต่นลท.ให้ความสำคัญการเมืองมากกว่า
นายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า กรณีที่นายมาร์ค โมเบียส ระบุว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ได้รับการเลือกในการลงทุนอันดับ 1 จากการที่มีมูลค่าที่น่าจูงใจ และยังคงเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มีราคาถูกที่สุดในเอเชีย ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงความคิดเห็นของนักธุรกิจรายหนึ่งที่มีต่อประเทศไทย ดังนั้นจึงเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นผลที่ช่วยสนับสนุนที่ทำให้เกิดการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเท่าไรนัก

ส่วนการออกมาแถลงนโยบายเศรษฐกิจของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% หากได้เข้าเป็นรัฐบาลใหม่ และจะเร่งพัฒนาประสิทธิภาพของคนไทยว่า หากมีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30 % จริงก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่จะช่วยให้ตลาดตอบรับในทางที่ดี แต่ทั้งนี้มองว่า การที่ประเทศไทยมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง น่าจะเป็นประเด็นที่ช่วยสนับสนุน และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในไทยมากกว่า เนื่องจากหากประเทศไทยมีรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย น่าจะดึงความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้

แต่ทั้งนี้ได้ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปว่า สำหรับระยะกลางยังอยู่ในระดับที่ดี เพราะมีเรื่องของการเลือกตั้ง แต่คงต้องรอดูในระยะใกล้นี้ โดยเฉพาะในวันที่ 18 ก.ย. 50 นี้ก่อนว่า ทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีความเห็นต่อเรื่องซับไพร์มอย่างไรบ้าง และเรื่องซับไพร์มเองจะสามารถจบสิ้นลงได้หรือไม่
" เชื่อว่าก่อนที่มีการเลือกตั้งตลาดหุ้นไทยน่าจะมีการตอบรับในทิศทางที่ดีอยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมาก่อนที่มีการเลือกตั้งตลาดหุ้นไทยก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยกลยุทธ์การลงทุน ให้เลือกหุ้นที่มีอัตราการเติบโตที่ดี อาทิ TOP รตวมถึงหุ้นในกลุ่มมาร์เก็ตแคปขนาดเล็ก" นายพงศ์พันธ์ กล่าว


* เคทีบี ชี้ โมเบียสเชียร์หุ้นไทยทำหุ้นคึก / ปชป. เล็งยกเลิก30% หนุนต่างชาติเชื่อมั่น
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล. เคทีบี กล่าวว่า การที่มาร์ค โมเบียส ให้ตลาดหุ้นที่ได้รับเลือกในการลงทุนอันดับ 1 จากการที่มีมูลค่าที่น่าจูงใจ และเป็นตลาดหุ้นที่มีราคาถูกที่สุดในเอเชีย ว่า จะช่วยสนับสนุนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ เพราะสิ่งที่นายโมเบียสพูดเรื่องค่า P/E ของไทยนั้น ยังอยู่ใระดับที่ต่ำจริง เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย มีการปรับขึ้นไปสูง ขณะที่ประเทศไทยนั้นยังคงย่ำอยู่ที่ระดับเดิม

ส่วนที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% หากได้เข้าเป็นรัฐบาลใหม่นั้น เป็นสิ่งที่ดีต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้ง่าย และคคล่องตัวมากขึ้น เพราะหากยกเลิกมาตรการดังกล่าวจะทำให้ข้อจำกัดในการลงทุนนั้นลดอุปสรรคลง แต่ทั้งนี้มองว่าไม่น่าจะเป็นสิ่งที่สนับสนุนให้เกิดการลงทุนในประเทศไทยอย่างมากมาย เพราะในช่วงนี้แม้ว่าจะมีมาตรการกันสำรอง 30% อยู่ นักลงทุนต่างประเทศก็ยังคงเข้ามาลงทุนในไทยอยู่

" คิดว่าหากเค้าได้เป็นรัฐบาล คงจะทำได้อยู่แล้ว ซึ่งหากยกเลิกมาตรการถือว่าดี ทำให้การลงทุนนั้นง่ายขึ้น แต่เชื่อว่าการลงทุนของต่างประเทศก็คงจะไม่ได้เข้ามามากมายอะไรนัก เพราะทุกวันนี้ยังใช้มาตรการดังกล่าวอยู่ ก็ยัคงมีเข้ามาลงทุน ดังนั้นก็คงจะไม่แตกต่างมากนัก ก็คงน่าจะแค่ช่วยให้ดูมีสีสันมากขึ้น " นายเจริญ กล่าว
อย่างไรก็ดี ยังคงมองทิศทางตลาดหุ้นไทย ว่าน่าจะยังคงปรับเพิ่มขึ้นได้อยู่ เนื่องจากยังคงมีความคาดหวังจากเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลว่าจะเกิดขึ้น ดังนั้นจึงเชื่อว่าในช่วงที่ก่อนจะมีการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นไทยน่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ และน่าจะมีการเข้ามาเก็บหุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลดีจากเรื่องทางการเมืองที่คลี่คลาย ประกอบกับข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา ก่อนที่มีการเลือกตั้ง ดัชนีฯก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว

แต่ทั้งนี้ที่ตลาดฯในช่วงนี้ยังคงค่อนข้างจะเงียบเหงานั้น มองว่า นักลงทุนอาจจะรอผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด รวมถึงจจากทางธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ จึงทำให้นักลงทุนมีการชะลอการลงทุนไปก่อน โดยกลยุทธ์การลงทุนหากมีหุ้นต่อให้ถือ เพื่อรอการปรับขึ้นของตลาดหุ้น และให้ทยอยสะสมหุ้นในกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
โดยทาง บล. เคทีบี คาดว่าดัชนีฯ ณ สิ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ 900 จุด ซึ่งเป็นเป้าหมายดัชนีฯเดิมที่ตั้งไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี เนื่องจากการคำนวณนั้นขึ้นอยู่กับ GDP ของประเทศ และปัจจุบัน GDP ของประเทศก็อยู่ในระดับที่ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนแนวรับในสัปดาห์นี้ประเมินไว้ที่ 794 จุด แนวต้าน 808 จุด และ 810 จุด


"อภิสิทธิ์" สานฝัน นโยบายศก.พรรคฯ เตรียมยกเลิกมาตรการ 30% -แก้กม.ธุรกิจต่างด้าว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) แถลงนโยบายเศรษฐกิจพรรค ในงานไทยเลนด์ โฟกัส 2007 ต่อนักลงทุนในและต่างประเทศ ว่า พรรคจะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ทันทีหากได้เข้าเป็นรัฐบาลใหม่ รวมถึงจะแก้ปัญหากฎหมายอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น เช่น กฎหมายธุรกิจต่างด้าว และการเปิดเสรีธุรกิจโทรคมนาคม โดยจะปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณชนเป็นหลัก

เขากล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่างบัญญัติประชาชน(peoples agenda) ขึ้น โดยมีหลักการที่จะผลักดันประสิทธิภาพของประชาชนในประเทศเป็นหลัก โดยมีแนวทาง 3
อย่าง คือ ฟื้นฟูความเชื่อมั่น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการลงทุนในคน ซึ่งในเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถให้กับประชาชนในประเทศนั้น จะหาทางเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น รวมถึงพลังงานทางเลือกและการหาทางในการลดต้นทุนค่าขนส่ง หรือโลจิสติกส์ ส่งเสริมธุรกิจภาคบริการเช่น การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นตัวผลักดันสำคัญในการพัฒนาประเทศ

ส่วนการลงทุนในบุคลากร จะจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านเพื่อที่จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้กับประชาชนระดับรากหญ้า สนับสนุนเรื่องโอกาสทางการศึกษา และโครงการ Universal Health Care ตลอดจนการยืดอายุประกันสังคม เพื่อส่งเสริมให้เกิดการออมและเงินบำนาญต่อผู้สูงอายุ
" ตอนนี้ประเทศไทยล้าหลังประเทศเพื่อนบ้าน เห็นได้ชัดจากตลาดทุนซึ่งปรับตัวต่ำกว่าตลาดอื่นๆ เนื่องจากปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมือง นโยบายรัฐบาลที่มีช่องโหว่ และการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอลง" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว


*พลังประชาชน" เตรียมเสนอนโยบายศก. พรรคต้นเดือนหน้า
นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน(พปช.) กล่าวแถลงนโยบายเศรษฐกิจพรรค ในงานไทยเลนด์ โฟกัส 2007 วันนี้ ว่า พรรคจะเสนอนโยบายสำคัญด้านเศรษฐกิจของพรรคได้ภายในต้นเดือนหน้า โดยจะเน้นเรื่องการหารายได้เข้าประเทศ และสร้างขีดความสามารถการแข่งขัน

" มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยหลังจากการเลือกตั้ง จะไม่เลวร้ายเหมือน 5 ปีก่อน เพราะขณะนี้ประเทศอยู่บนปัจจัยพื้นฐานที่ยังเป็น ทั้ง การขยายตัวของจีดีพี เงินเฟ้อในระดับต่ำกว่า 2% ดุลบัญชีเดินสะพัดที่คาดว่าจะเกินดุลประมาณ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ รวมไปถึงเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ที่อยู่ระดับสูงกว่า 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แม้ว่า เรายังมีปัญหาที่น่าเป็นห่วง มีอยู่ 2 ปัจจัยคือ เงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งปัจจุบันได้ส่งผลกระทบกับภาคการส่งออก และอุตสาหกรรมการเกษตร รวมถึงการลดลงของความต้องการภายในประเทศ" เลขาฯ พรรคพลังประชาชน กล่าว


* "สุวัจน์-สมคิด-ประดิษฐ์"ประกาศรวมกลุ่ม"รวมใจไทยชาติพัฒนา"

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำกลุ่มสมานฉันท์การเมือง ในฐานะอดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ร่วมกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ แกนนำกลุ่มรวมใจไทย เปิดแถลงข่าวประกาศรวมตัวภายใต้ชื่อกลุ่มรวมใจไทยชาติพัฒนา เพื่อเตรียมจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งพร้อมเปิดกว้างรับกลุ่มการเมืองอื่นเข้าร่วมเป็นพันธมิตร
นายสุวัจน์ กล่าวว่า การรวมกลุ่มทางการเมืองในครั้งนี้ เห็นว่ามีนโยบายตรงกัน มีทีมเวิร์คที่จะช่วยเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นทางการเมืองของประเทศได้ ทางกลุ่มชาติพัฒนาเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ที่จะร่วมทำงานกับกลุ่มรวมใจไทยภายใต้ชื่อกลุ่มใหม่ว่ารวมใจไทยชาติพัฒนา
ส่วน สาเหตุที่ไม่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มเพื่อแผ่นดิน เพราะหลังจากหารือกับแกนนำกลุ่มรวมใจไทยแล้วเห็นว่ามีแนวทางนโยบายที่ไปด้วยกันได้ ซึ่งเชื่อว่าเมื่อกลุ่มการเมืองเล็กๆ รวมตัวกันแล้วจะช่วยให้การเมืองเกิดเสถียรภาพมากขึ้น


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com